สารส่องใจ Enlightenment

จะทราบได้อย่างไรว่าจิตเป็นสมาธิแล้ว



วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร




ปุจฉา – การปฏิบัติกรรมฐานแบบฝึกหัดเริ่มต้น
หากเรานั่งกำหนดจิตอยู่ที่ "พุทโธ" และลมหายใจเข้าออกแล้ว
แต่หูก็ยังคงได้ยินสิ่งที่มากระทบจากภายนอกอยู่บ้าง
อันนี้ถือว่าจิตลงถึงความสงบเป็นสมาธิหรือยังครับ
และตอนช่วงระยะที่นั่งฝึกไปนั้น ลมหายใจที่เรากำหนดอยู่ได้เริ่มเบาลงทุกทีๆ
กระทั่งแทบจะไม่มีนั้น ถึงจุดนี้ถือว่าจิตสงบเป็นสมาธิหรือยังครับ
และหากถึงตรงจุดนี้เราควรทำอย่างไรต่อไปครับ



วิสัชนา – การที่เราภาวนาลมละเอียดเข้าไป แต่ได้ยินเสียงอยู่
แต่ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานเดิมคือลมหายใจเข้าออก ก็รู้ชัดพร้อมกันกับเสียงที่มากระทบ
อันนั้นเป็นอุปจารสมาธิ
เมื่อละเอียดเข้าไป เบาเข้าไป อันนั้นละเอียดกว่าอุปจารสมาธิลงไปอีก
จิตในชั้นนี้ก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ไม่ให้ทิ้งกรรมฐานเดิมคือลมออกเข้า
ละเอียดลงไปขนาดไหนก็ไม่ให้ทิ้ง
จนวูบลงหรือวับลงไปไม่ปรากฏลมเสียเลย แล้วก็มีแต่ผู้รู้เบาหวิวอยู่
อันนั้นเรียกว่า "ปฐมฌาน" อัปปนาสมาธิก็ว่า
แต่เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา


เมื่อถอนออกมาก็เห็นลมออกเข้าเบาๆ อยู่
ถ้าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปทางอื่นก็เป็นเรื่องกรรมฐานแตกไป
แต่ถ้าทวนดูว่า เอ๊ะ...จิตขนาดนี้ก็ยังถอนออกมาอยู่
แล้วพิจารณาลงสู่อนิจจังให้เห็นพร้อมกับลมออกเข้าต่อไป
ก็แปลว่ามีวิปัสสนาควบกับสมถะด้วย
วิปัสสนาก็คือปัญญานั่นเอง เพราะเห็นอนิจจังควบกับลมหายใจเข้าออก



เมื่อเห็นอนิจจังชัดแล้วจะเห็นทุกข์สัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียด
จะเห็นสิ่งที่ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาสัมปยุตกันอยู่อย่างละเอียดอีก
คล้ายๆ กับเชือก ๓ เกลียวซึ่งกลมกลืนกันอยู่ ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลัง
พร้อมกับลมออกเข้าด้วย
อันนี้เรียกว่าสติสัมปชัญญะแก่กล้าในไตรลักษณญาณ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตากลมกลืนกันอยู่นั่นเอง
ก็ต้องพิจารณาอยู่อย่างนั้นติดต่ออยู่เสมอ
เมื่อถอนออกมาก็จับเข้าไปในที่นั้นให้จนได้
เพราะรู้รสรู้ชาติมันแล้ว รู้ลูกไม้ของมันอีกด้วย รู้วิธีจะเข้าไปจับมันอีกด้วย



ยกอุทาหรณ์เช่น ลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งก็เห็นทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากลมกลืนกันอยู่ด้วย
ไม่ใช่อยู่คนละเป้า ไม่ใช่อยู่คนละขณะอีกด้วย
เมื่อเห็นชัดอยู่อย่างนั้นแล้วกิเลสทั้งปวงที่เคยยึดมั่น
ว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนก็สลายไปในตัวอยู่ ณ ที่นั้นเอง
ทางนี้เป็นทางพ้นทุกข์ ง่ายดีกว่าจะเอานิมิตต่างๆ ไปอวดกัน



คำว่านิมิตก็แปลว่า "เครื่องหมาย" หมายในรูปก็เรียกรูปนิมิต
หมายไว้ในนามก็เรียกว่านามนิมิต
รูปก็ดี นามก็ดี เป็นเมืองขึ้นของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ในปัจจุบันนั้นแล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีท่านผู้ใดจะพ้นความสงสัยของตนไปได้
และก็ไม่มีท่านผู้ใดจะข้ามความหลงตนไปได้อีก
ซ้ำเข้าไปอีกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นคืออะไร
ก็คือโลกทั้งปวง ก็คือสังขารทั้งปวง ก็คือกองทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง



เมื่อเวลาเห็นอยู่อย่างนั้นก็คือไตรสิกขานั่นเอง
ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันในขณะเดียวนั่นเอง
ก็คือผู้รู้ปัจจุบันนั่นเอง เป็นผู้รู้ตามเป็นจริงของปัจจุบัน
และก็ตามเป็นจริงของอดีตของอนาคตด้วย
เพราะเอาปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมเป็นพยานเอกอยู่ในตัวแล้ว
ก็ข้ามพ้นความสงสัยในโลกทั้งปวงไปแล้ว
ปัญหาอะไรจะเกิดมาก็ต้องเป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์ทั้งนั้น



อนึ่ง ผู้จะมาอวดสวรรค์ นรก หรือวัตถุนิยมอะไรๆ ก็ตาม
มันเป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์อยู่แล้ว
เพราะเราเห็นเองรู้เอง รู้ชัดในกรรมฐานที่ตั้งไว้ด้วย
จึงยืนยันว่าสันทิฎฐิโกเห็นเองได้ไม่ต้องตื่นข่าวเชื่อคนอื่น
เพราะได้จิบเกลือ ไม่ต้องสงสัยว่ารสเค็มมันเป็นยังไง
จะมีผู้อื่นบอกว่ารสเกลือหวานทั้งหมดโลกเราก็ไม่เชื่ออีกดังนี้
ในข้อนี้คงพอเข้าใจแล้วนะ



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP