ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

วุตถสูตร ว่าด้วยผู้เจริญในวินัยของพระอริยเจ้า


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๒๑๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ
ข้าพระองค์จำพรรษาอยู่ในกรุงสาวัตถีแล้ว
ข้าพระองค์ปรารถนาจะหลีกจาริกไปในชนบท
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตรเธอจงสำคัญกาลอันควรในบัดนี้เถิด
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.


ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระสารีบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน
ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว
ไม่ขอโทษ หลีกจาริกไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า
ภิกษุ เธอจงมานี่ จงไปเรียกสารีบุตรตามคำของเราว่า
อาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
แล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
อาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ท่านพระสารีบุตรรับคำของภิกษุนั้นแล้ว
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระอานนท์
ถือลูกดานเที่ยวประกาศไปตามวิหารว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงรีบออกเถิด ๆ
บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรจะบันลือสีหนาทเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า.


ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
สารีบุตร เพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้กล่าวหาเธอว่า
ข้าแต่พระองค์เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว
ไม่ขอโทษ หลีกจาริกไปแล้ว.


ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน
แผ่นดินก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยแผ่นดิน อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์เจริญ ชนทั้งหลายย่อมล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงในน้ำ
น้ำก็ไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยน้ำ อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ไฟย่อมไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยไฟ อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลมย่อมพัดซึ่งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ลมย่อมไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยลม อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าสำหรับเช็ดธุลี ย่อมชำระของสะอาดบ้าง
ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง สูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ผ้าเช็ดธุลีย่อมไม่อึดอัด ระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยผ้าสำหรับเช็ดธุลี
อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมารหรือกุมาริกาของคนจัณฑาลถือตะกร้า
นุ่งผ้าเก่า ๆ เข้าไปยังบ้านหรือนิคม ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเข้าไป แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยกุมารหรือกุมาริกาของคนจัณฑาล อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โคเขาขาด สงบเสงี่ยม ฝึกดีแล้ว ศึกษาดีแล้ว
เดินไปตามถนนหนทาง ตามตรอกเล็กซอกน้อย
ก็ไม่เอาเท้าหรือเขากระทบอะไร ๆ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยโคเขาขาด อันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาวเป็นคนชอบประดับตบแต่ง
พึงอึดอัด ระอา รังเกียจด้วยซากงู หรือซากสุนัขที่เขาคล้องไว้ที่คอ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมอึดอัด ระอา และรังเกียจ ด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนประคองภาชนะมันข้น
มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ กระฉอกออกไหลออกอยู่ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมบริหารกายนี้มีรูทะลุเป็นช่องช่องเล็กช่องใหญ่ ไหลขึ้นไหลออกอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติอันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว
ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่.


ลำดับนั้น ภิกษุนั้นลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โทษได้ครอบงำข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาด
ที่ข้าพระองค์ได้กล่าวตู่ท่านพระสารีบุตรด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดรับ (ทราบ) ความผิดล่วงเกินของข้าพระองค์นั้น
โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุ โทษได้ครอบงำเธอผู้เป็นคนพาล คนหลง
เป็นคนไม่ฉลาด ที่เธอได้กล่าวตู่สารีบุตรด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง
แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว กระทำคืนตามธรรม
เราย่อมรับ (ทราบ) โทษของเธอนั้น
ภิกษุ ข้อที่ภิกษุเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป
นี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยเจ้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
สารีบุตร เธอจงอดโทษต่อโมฆบุรุษผู้นี้
มิฉะนั้น เพราะโทษนั้นนั่นแล ศีรษะของโมฆบุรุษนี้จักแตก ๗ เสี่ยง.


ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าท่านผู้มีอายุนั้นกล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้
ข้าพระองค์ย่อมอดโทษต่อท่านผู้มีอายุนั้น
และขอท่านผู้มีอายุนั้นจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วย.


วุตถสูตร จบ



(วุตถสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)


Kesara
About the author:


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP