ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

หลังจากทำสมาธิแล้ว ทำไมยังมีความต้องการในกามอยู่



ถาม – หลังจากที่ผมทำสมาธิแล้ว พบว่าตนเองมีความต้องการในกามขึ้นมา
เกิดจากสาเหตุใดและควรแก้ไขอย่างไรครับ



คือพอพูดวิธีแก้แบบพระพุทธเจ้าแนะนำไปจริงๆ น่ะ ไม่มีใครอยากทำหรอก
แต่อันนี้ผมจะพูดเป็นคอนเซ็ปต์ (
concept) นะ
ว่าการนั่งสมาธิไม่ใช่การที่เราไปกำจัดกามราคะนะครับ
การที่เรานั่งสมาธิอย่างถูกต้องเลยนะ จิตใสใจเบาเลย
มันเป็นการลดความต้องการทางกายลง
คืออันนี้เรายังไม่พูดถึงกามราคะนะ
เราพูดถึงความต้องการพึ่งพาทางกายเลยทีเดียวนะ
อย่างถ้าเราอยู่ในสมาธิ เราจะรู้สึกว่าความเบา ความนิ่ง ความใส
ตรงนั้นมันมีความน่าพิศวาส มีความน่าติดใจ
พูดง่ายๆ ว่าเราไปพิศวาสรสชาติทางจิตแทน ในกรณีที่เรานั่งสมาธิได้จริงๆ นะ


จากเดิมที่เรามีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าอยากเห็นนั่น อยากฟังนี่
อยากเห็น ก็อยากเห็นรูปที่งามที่สุด หล่อที่สุด สวยที่สุด
อยากฟัง ก็อยากฟังเครื่องเสียงที่มันมหึมาที่สุดนะ อลังการที่สุด ฟังแล้วเพราะที่สุด
อยากกิน ก็อยากกินเนื้อ หรือว่าอยากกินอาหารจานโปรดนะ
ที่มีรสเปรี้ยวหวานมันเค็มที่มันเด็ดขาดที่สุด
อันนี้คือความอยากทางกาย
มันจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเราไม่อิ่ม เราไม่เบื่อในกามคุณ
กามคุณมีทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นะครับ
แม้แต่คิดอะไรแล้วสนุก นั่นก็เป็นความติดใจที่มันเป็นกามได้เหมือนกันนะ
ถ้าเราตรึกนึกถึงสิ่งที่มันน่าติดใจทางผัสสะทั้ง ๕ อยู่
ล้วนแล้วแต่เป็นกามราคะทั้งสิ้น
ล้วนแล้วแต่เป็นกามคุณ ความติดในใจกามคุณ ๕ ทั้งสิ้นนะครับ



ทีนี้พอจิตได้เป็นอิสระจากผัสสะทั้ง ๕
มามีความรู้จักรสชาติของจิตที่เป็นอิสระ มีความวิเวก
มีความรู้สึกว่า เออ นี่เป็นความหวานชื่นอีกชนิดหนึ่ง
ตรงนั้นมันก็เลยถอนจากความต้องการทางกายไปชั่วคราว
แต่มันยังไม่ได้ถอนไปจากความติดใจในรสอันหวานชื่นทั้งหลายในกายใจนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
คือมันแค่เปลี่ยนมุม เปลี่ยนแง่ของรสชาติความน่าติดใจ
จากเปรี้ยวหวานมันเค็มทางปากไปเป็นความรู้สึกวิเวก ไปเป็นรสแห่งความวิเวกทางจิต



หรือบางคนบางทีไม่ถึงรสแห่งความวิเวกทางจิตด้วยซ้ำ
แต่เป็นสมาธิในแบบที่โฟกัส (
focus) ให้กล้ามเนื้อมันแข็งแรงขึ้น
ก็ไม่น่าแปลกใจว่าพอถอนออกจากสมาธิ
มันจะมีความรู้สึกเหมือนเนื้อตัวนี่มันพร้อม มันเหมือนกระทิงเปลี่ยว มันไปกระตุ้น
แล้วมันมีศาสตร์เลยนะ เกี่ยวกับศาสตร์ของโยคะ
เกี่ยวกับศาสตร์ของการทำสมาธิในแบบตะวันตก แบบใหม่ๆ ที่เขาคิดค้นกันขึ้นมา
เป็นสมาธิแบบที่จะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศโดยเฉพาะ
มันมีเรื่องของต่อม มีเรื่องของอะไรหลายอย่างที่เขาให้ความรู้กันนะ
ว่ามันจะไปทำให้เกิดความคึกคักขึ้นมา
นี่คือพูดง่ายๆ ใช้สมาธิในการแก้โรคกามตายด้านในบางคนได้


พอเราทำความเข้าใจอย่างนี้
ว่าการทำสมาธิไม่ได้ประกันว่าเราจะหมดกามราคะ หรือว่ากามราคะจะเบาบางลง
ตรงข้ามเราไปปลุก ไปเร้าให้มันกระเตื้องขึ้นมายังได้เลยนะ
เราก็มาดูว่าถ้าเป็นแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนไว้อย่างไรเพื่อที่จะดับราคะ
ท่านสอนว่าพอเรามีความสามารถที่จะรู้สึกถึงลมหายใจได้
ท่านก็ให้ดูต่อว่าลมหายใจที่เข้าออกนี่ เข้าออกอยู่ในกายนี้
ยิ่งมีความรู้สึกถึงความเป็นกายนี้ได้ชัดขึ้นเท่าไหร่นะ
เห็นว่ามันอยู่ในอิริยาบถไหนตามจริง
เราก็จะสามารถใช้อิริยาบถนั้นมาคว้าน มาควานลงไปหาความจริงนะ
ว่าภาวะทางกายนี่มันน่าเสพสมจริงๆ
หรือว่ามันเต็มไปด้วยความแออัดยัดทะนานของสิ่งของสกปรก
คือถ้ามันมีนิมิตขึ้นมาตามจริงว่าทั้งกายนี้เต็มไปด้วยของสกปรกนะ
จิตจะไม่มีความยินดี จิตจะถอนออกมา จิตจะมีความไม่ปลื้มนะในรสแห่งกามคุณ



พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่เจริญอสุภกรรมฐาน
มีความสามารถที่จะเห็นกายนี้โดยความเป็นของสกปรกได้
จิตจะมีความวิเวก คือมันจะถอนออกมาจากอาการยึดกาย
แล้วก็มีความตั้งมั่นเป็นฌานได้ง่าย อันนี้คือจุดประสงค์ของอสุภกรรมฐาน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะ พอเราเข้าใจเหตุเข้าใจปัจจัยแบบนี้
เราก็จะมองได้อีกว่าใครก็ตามจะมานั่งสมาธิให้เห็น เดินจงกรมให้เห็น
จะมีสมาธิอย่างไรก็ตาม
ถ้าไม่ได้พิจารณาเพื่อละความยึดติดในกายนี้นะ
มันก็ยังสามารถยินดีที่จะอยู่แบบฆราวาสได้ต่อไป
บางคนกลัวว่าถ้าขืนมาปฏิบัติธรรมภาวนาแล้วจะต้องเข้าป่าท่าเดียว
จริงๆ มันขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังไปถึงไหนของจิต
จิตไปถึงไหนในเส้นทางธรรมนะครับ เพื่อความปล่อยวาง เพื่อความละ



อย่างฆราวาสเรา พูดกันง่ายๆ เลยนะเราตั้งเป้าเอาแค่โสดาฯกัน
เอาแค่ตัดความเห็นผิด ทิ้งออกไปให้ได้เด็ดขาดว่ากายใจนี้เป็นตัวเป็นตนนะ

การบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ยังไม่ต้องถึงขั้นปลีกวิเวกออกเข้าป่าเข้าเขา
ซึ่งมันก็เหมาะสมถ้าหากว่าเราจะอยู่ในโลกต่อแล้วก็ปฏิบัติธรรมไปด้วยนะ
คือไม่ได้คิดหวังขนาดที่จะไปตัดกามราคะให้สิ้น
เพราะไม่อย่างนั้นคนที่เขาอยู่กับเราก็จะลำบากนะ
มันก็จะเป็นความย้อนแย้งขัดแย้งกันนะ
บางคนบอกว่า โอ๊ย นี่ไม่อยากให้คู่ของตัวเองมาปฏิบัติธรรมเลย
ไม่มีอะไรกันเลย อะไรอย่างนี้นะ
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะทราบด้วยตัวเองนะครับ
ว่าเรากำลังเจริญสติด้วยเงื่อนไขแบบไหน
ถ้ามีพันธะ ถ้ามีความผูกพันอยู่ เราก็ไม่ต้องปฏิบัติให้เหมือนกับพระนักก็ได้นะ
เอาแค่เป็นบางเวลา เป็นพาร์ทไทม์ (part-time) ยังไม่ต้องทำแบบฟูลไทม์ (full-time) นะครับ


แต่ถ้าเราไม่มีพันธะ เราโสด เราเดี่ยวอยู่ อันนั้นเต็มที่เลย
คือจัดหนักเลยนะ
ฆราวาสบางคนนะ ปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงมา ใช้เวลาไม่นานนะ
เป็นหลักเดือน อาจได้มากกว่าพระที่บวชแล้วเป็นสิบๆ พรรษาเสียอีก

เพราะการที่อยู่ในภาวะไหน เพศไหนนะ เป็นเพศฆราวาสหรือเพศบรรพชิต
ไม่ได้ประกันเสมอไปว่าจะต้องประสบความสำเร็จในการภาวนานะครับ

มันขึ้นอยู่กับว่าเราภาวนาอย่างไร แล้วรู้ตัวว่าเราต้องการอะไรจริงๆ นะ


เพราะบางทีอย่างหลายคนนะครับบอกตั้งใจทำเต็มที่เลย แต่ก็ยังอ้อยอิ่งอาลัยนะ
ยังมีอาการที่อาลัยอาวรณ์กับความบันเทิงแบบโลกๆ อยู่
มันก็จะขัดแย้งกับตัวเองมากๆ เลยนะ
เพราะบางทีมันมีความต้องการขึ้นมา เอ๊ จะเอาดี ไม่เอาดี
เราต้องรู้ตัวนะว่า ณ ขณะหนึ่งๆ ช่วงหนึ่งๆ
เรากำลังต้องการอะไร โลกหรือว่าธรรมนะครับ
ถ้าเรารู้ตัวว่า เออ ขณะนี้เราต้องการแบบโลกๆ อยู่ ไม่ต้องไปฝืนอะไรมาก
แต่ถ้าเราต้องการธรรม ต้องการธรรมะ
ปฏิบัติในแบบพระพุทธเจ้าสอนให้เต็มที่
มันก็จะเหมือนกับเป็นพระในคราบฆราวาสได้นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP