สารส่องใจ Enlightenment

ความรักและความชัง (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร
แสดงธรรม ณ วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี พุทธศักราช ๒๕๐๘




ความรักและความชัง (ตอนที่ ๑) (คลิก)



เมื่อสังขารไม่มีแล้ว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็ไม่มี
ความทุกข์ทั้งหลายมันก็ไม่มี มันจะเอาอะไรมาทุกข์ มันไม่ได้ปรุงได้แต่งนี่
มันก็สุข จิตของเราก็สงบนิ่งอยู่ภายใน มันไม่ได้ก่อภพก่อชาติ
ภเว ภวา สัมภวันติ ภพน้อยๆ ใหญ่ ๆ มันไม่ได้ไป
มันก็นิ่งอยู่อย่างเดียว เห็นความบริสุทธิ์อยู่อย่างเดียว
มันไม่ได้ส่งข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา อดีตอนาคต
มันกำหนดอยู่แห่งเดียวเท่านั้นแหละ
ความรู้มันไม่ใช่เป็นของแตกของทำลายของสูญของหาย มันก็รู้อยู่ยังงั้น
เป็นอมะตัง เป็นของไม่ตาย เป็นของไม่ทำลาย ยั่งยืนถาวรอยู่ยังงั้น
พ้นทุกข์ก็พ้นตรงนั้นแหละ ไม่ได้พ้นที่อื่น พ้นที่รู้อยู่นั่นแหละ


เพราะเหตุไฉนจึงพ้นทุกข์ จิตมันไม่ทุกข์ ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์
มันนิ่ง มันไม่สำคัญมั่นหมาย ดีมันก็ไม่ได้ว่า ชั่วมันก็ไม่ได้ว่า
ทุกข์มันก็ไม่ได้ว่า สุขมันก็ไม่ได้ว่า
ถูกมันก็ไม่ได้ว่า ผิดมันก็ไม่ได้ว่า มันไม่ได้ว่าอะไรทั้งหมด
เป็นสมุทเฉทปหานนี่ เป็นสมุจเฉทวิรัติซี่ ปฏิเสธหมด ไม่รับรองรับรู้เจ้าทั้งนั้น
เวลานี้มันรับรองหมดนี่ ทุกข์เกิดขึ้นมันก็รับรองว่าตัวทุกข์
ยากเกิดขึ้นมันก็รับรองว่าตัวยาก ดีเกิดขึ้นก็ว่าตนดี ชั่วเกิดขึ้นก็ว่าตนชั่ว
ความรักเกิดขึ้นก็ว่าตนรัก ความชังเกิดขึ้นก็ว่าตนชัง
มันไปรับรองอยู่ยังงั้นนี่ มันก็เป็นทุกข์น่ะซี่
เราปล่อยวางซี่ เราเพ่งดูอยู่ภายในอย่างเดียว
เราไม่รับรอง ของมันก็ไม่เข้ามาหาเรา เราไม่มีเครื่องรับก็ไม่มีอะไรเข้า
เปรียบเหมือนกับส่งวิทยุมาสักเท่าไหร่
ถ้าเราไม่มีเครื่องรับมันก็เงียบ ไม่เข้ามาถึงเราสักอย่าง
ถ้ามีเครื่องรับรองแล้วมันก็เข้ามาถึงที่
เราดับเครื่องซี อย่าไปรับซี มันก็เข้าไม่ได้
ในไม่ออกนอกไม่รับแล้ว มันก็อยู่เป็นเอกเทศอยู่ซี่ อยู่ใครอยู่มันซี่
เอโกธัมโมซี่ เอกัง จิตตัง มีจิตเป็นเอกซี่
เอโก ธัมโม เป็นธรรมอันเอก เป็นเอกก็เป็นใหญ่ซี่
เอโก อิตถิโย ผู้หญิงก็เป็นใหญ่ เอโก ปุริสโส ผู้ชายก็เป็นใหญ่ล่ะ
มันไม่หวั่นไหวอะไรทั้งหมด เป็นใหญ่ได้แล้ว
นั่นแหละมันใหญ่ตรงนั้นซี่ มันได้ตรงนั้นซี่ จะไปหาที่ไหนล่ะ
นี่แหละธรรมเป็นเอกราชแล้ว ธรรมราชาก็เป็นใหญ่แล้ว



ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมเห็นในตนของตน สันทิฐิโก เป็นอย่างไรล่ะ
นี่เราไปคอยจะรับเอา เห็นเขาว่าดีก็ดีตามเขา ชั่วขึ้นมาก็ว่าชั่วตามเขา
เขาไม่ได้ว่าเขาดีเขาชั่ว
ทะเลนี้เขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นน้ำทะเล
ถามเขาว่าเจ้าเป็นทะเลไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรสักอย่าง
เราไปว่าเอาเองน่ะซี ถามเขาว่าเจ้าเป็นภูเขาไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าอะไร
เจ้าเป็นดินไหม เงียบ เขาไม่ได้ว่าอะไร เขาเฉยหมด เราเป็นผู้สมมติเอาเอง



นี่แหละสัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในมหาสมุทร คือตกอยู่ในความสมมตินิยม
เขาว่าดีก็จะดีกับเขา เขาว่าชั่วก็จะชั่วกับเขา เขาว่าทุกข์ก็ทุกข์กับเขาล่ะ
เราไม่ต้องหลงซี่ ให้รู้เท่าในสังขาร
เขาว่าดี เราไม่ดีก็จะว่ายังไงล่ะ เขาว่าชั่ว เราไม่ชั่วก็จะว่ายังไง
เขาว่าสุข เราไม่สุขจะว่ายังไงล่ะ เขาว่าทุกข์ เราไม่ทุกข์จะว่ายังไงล่ะ
นั่นคือเป็นเอกราชา เป็นใหญ่ ไม่หวั่นไหวอย่างนี้น่ะซี นี่คือรู้เท่ากองสังขาร


เมื่อจิตรู้เท่าในกองสังขารแล้ว มันก็ตัด
จิตไม่เป็นสังขารแล้ว มันก็เป็นวิสังขาร ถึงธรรมอันวิเศษ
วิสังขารคือไม่มีสังขาร ก็ไม่ปรุงไม่แต่งซี่ ก็หมดซี่
มันอยู่ที่ใจอันเดียวเท่านั้นล่ะ จะไปหาที่ไหนล่ะ
ถ้าเราภาวนาลูบๆ คลำๆ โน่นนี่ๆ ก็ใช้ไม่ได้ซี่
อยู่ที่ใจอันเดียวเท่านั้น นิ่งอยู่อันเดียวเท่านั้น มาแก้มันอยู่ซี่
นั่งแก้ เดินแก้ นอนแก้ ยืนแก้ แก้อยู่อย่างเดียวเท่านั้นล่ะ
มันมีของอันเดียวเท่านั้นล่ะ อย่าไปมัวหาตนของตนอยู่
ถ้าทำไปมันก็เห็นละ นั่งอยู่สักหน่อยมันก็เห็น
ธรรมทั้งหลายมันหากแสดงขึ้นอันหนึ่งอันใดปรากฏขึ้นมาในตัวของเรา ทางใดก็แล้วแต่
มันย่อมแสดงขึ้นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
บางทีมันแสดงสุขให้เห็น บางทีมันแสดงทุกข์ให้เห็น
ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง จึงเชื่อแน่ ไม่สงสัย


มันแสดงสุขมันก็รับความสุขความสบาย เบาร่างเบากาย
หายเหน็ดหายเหนื่อย หายเมื่อยหายหิว หายทุกข์หายยาก หายลำบากรำคาญ
มันไม่มีทุกข์ มีแต่ความเบิกบานในจิตในใจ
นี่สุขมันก็เห็น หากแสดงทุกข์ขึ้นมา
ทุกข์ตรงโน้นทุกข์ตรงนี้ตามอวัยวะร่างกายของเรา นี่มันก็ทุกข์ มันก็เห็น
ทุกข์เหล่านี้จะเป็นเหตุให้เราได้ทำความเพียร
ให้เรานั่งสมาธิภาวนาเพื่อแก้สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้แก้สิ่งอื่น
แก้สิ่งที่ปรากฏในตัวของเราที่รู้อยู่เดี๋ยวนี้ล่ะ
รู้สึกเป็นทุกข์ด้วยความเย็นและร้อนก็ตาม
ความทุกข์ปรากฏอยู่ที่อารมณ์หรือสัญญาก็ตาม
สิ่งที่เป็นทุกข์จะน่ารักหรือน่าชังก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นมันเป็นทุกข์
เมื่อความรักเกิด มันก็เป็นทุกข์ เมื่อความชังเกิด มันก็เป็นทุกข์


ทุกข์เหล่านี้แหละพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ให้พากันพิจารณา
ในคำสอน เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา
ดูกรท่านทั้งหลาย อย่าพึงเสพสองฝั่ง ฝั่งอะไรล่ะ ก็คือความรักความชังนี่ล่ะ
เมื่อความรักเกิดขึ้น ให้รู้เท่ามัน อย่าไปยึดไว้ อย่าไปถือมัน
หากถือแล้วมันจะเป็นทุกข์ เมื่อไม่ได้ตามความประสงค์
ทีนี้เมื่อความชังเกิดขึ้น ความเกลียดเกิดขึ้น มันก็เป็นทุกข์
ทั้งสองเรื่องนี้ท่านไม่ให้ไปยึด มัชฌิมาปฏิปทา ให้อยู่กลาง ให้รู้เท่าไว้
อย่าไปยึดความรัก อย่าไปยึดความชังไว้
นึกภาวนา พุทโธ พุทโธ เพ่งเล็งดูดวงใจของเรา ให้รู้เท่าเหล่านี้
รักเราก็ไปว่าเอาเอง เราเป็นผู้ว่า ว่ารัก เขาไม่ได้ว่า
ดีเขาไม่ได้ว่า ชั่วเขาไม่ได้ว่า เราเป็นผู้ไปว่า


เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่ว่าแล้ว ใครจะรักล่ะ
มันก็ไม่มีอะไรรัก เพราะเราไม่ได้ไปยึดความรัก
ทีนี้ความชัง เราก็ไปว่าเอา ว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้ว่าอะไร
เช่นต้นไม้ภูเขาเลากายังงี้ ฟ้าอากาศยังงี้
เขาไม่ได้ว่าเขาเย็น เขาไม่ได้ว่าเขาร้อน เขาไม่ได้ว่าเขาทุกข์เขายาก เราเป็นผู้ไปว่าเอา
เมื่อทั้งสองเรื่องนี้เราไม่ว่าเสียแล้ว เรามีอุเบกขาคือความวางอารมณ์ของเราอยู่
เราก็นิ่ง นึกน้อมเข้ามาภายใน หากจิตเราสงบนิ่งอยู่ภายในแล้ว
มันก็ไม่เข้าไปยึดความรัก ไม่เข้าไปยึดความชัง แล้วมันก็ไม่มีทุกข์



เพราะฉะนั้นจึงให้รู้เท่าสองเรื่องนี้ล่ะ
ดีเราก็เป็นผู้ว่า ถ้าเราไม่ว่าล่ะ มันก็หมด
ชั่วก็เราเป็นผู้ว่า ถ้าเราไม่ว่าล่ะ มันก็ไม่มี
ดีไม่มี ชั่วก็ไม่มี ที่มีก็เพราะเราไปสมมุติเอา
เรามาเพ่งดูดวงใจของเรา เราฟังตรงนี้ เราสนทนาตรงนี้ ให้เห็นให้รู้ธรรมะตรงนี้
เหตุนี้ล่ะพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงห้ามไว้ ภิกษุทั้งหลาย อย่าพึงเสพสองฝั่ง
คือความรักและความชัง นี่แหละ มันเป็นทุกข์



เมื่อบุคคลห้ามทั้งสองฝั่งแล้ว มันก็เดินมัชฌิมาคือท่ามกลาง
เหมือนเราเดินไปกลางทาง ไม่แวะเข้าข้างนั้น ไม่แวะเข้าข้างนี้
หากแวะเข้าข้างนั้นก็เป็นทุกข์ แวะเข้าข้างนี้ก็เป็นทุกข์
เหมือนกับมีทางไปท่ามกลาง สองข้างเป็นป่า
เหมือนกับเรานั่งรถไปตามถนน ทั้งสองข้างมองข้างไหนก็ตกตายทั้งนั้น
ข้างซ้ายตกถนนก็ตาย ข้างขวาตกถนนก็ตาย อุปมายังงั้น
นี่ก็เหมือนกัน ใจของเราแวะออกไปข้างรักมันก็เป็นทุกข์
แวะออกไปข้างชังมันก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องแวะออกไปไหน
ก็ต้องนิ่งอยู่แห่งเดียวภายใน ทำดวงใจให้รู้ไว้
ให้รู้เท่าสังขารไว้ ให้รู้เท่าวิญญาณไว้ ให้รู้เท่าสมมติของเราไว้
เราไปนึกระลึกเอา ถ้าเราไม่ไปนึกระลึกเอาแล้วมันก็ไม่มี



เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ให้ใช้โอปนยิกธรรม น้อมเข้าไป อย่าให้มันออกไป
อย่าให้มันส่งไปข้างซ้ายข้างขวา ข้างหน้าข้างหลัง ข้างบนข้างล่าง
ตั้งอยู่แห่งเดียว ดูอยู่แห่งเดียว เราจะดูอันใดก็ดูอยู่แห่งเดียว ของอันเดียว
สรุปลงแล้วมีของอันเดียว มันเกิดขึ้นจากแห่งเดียว ไม่ได้เกิดจากหลายแห่ง
เดี๋ยวนี้เราเข้าใจว่ามันมาก คือธรรมทั้งหลายถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มันมาก
แม้เมื่อสังเขปนัยเข้าแล้วก็เหลือของอันเดียว
ธรรมก็ธรรมดวงเดียว จิตก็จิตดวงเดียว
เพราะเราพูดไปมาก พรรณนาไปมากก็เลยมากไป สรุปแล้วของอันเดียวเท่านั้น
ท่านจึงว่า เอกัง จิตตัง จิตดวงเดียวเท่านั้น เอกัง ธัมมัง ธรรมดวงเดียวเท่านั้น
ฟังดูถี จิตถ้าไม่คิดแล้วมันก็ไม่มีอะไร มีแต่รู้อยู่เท่านั้น มันก็สงบได้ มันก็นิ่งได้



เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงว่าไว้
ในสัจจธรรมเรื่องอริยสัจจ์ทั้งหลาย ว่าทุกข์ควรกำหนด
กำหนดอย่างไร กำหนดเพื่ออะไร กำหนดเพื่อให้มันรู้จักทุกข์
เมื่อรู้จักทุกข์แล้วท่านไม่ให้ละจากทุกข์ ท่านให้ละสมุทัย
เพราะว่าทุกข์นั้นเป็นเรื่องสมมติ เราสมมติเอาว่าเป็นทุกข์
ถ้าเราไม่ว่าแล้วเขาก็ไม่ว่าอะไร
แข้งขา มือตีน หู ตา จมูก ลิ้น กาย เหล่านั้นเขาไม่ได้ว่าเป็นสุข
เขาไม่ได้ว่าเป็นทุกข์ เขาไม่ได้ว่าเขาเหนื่อย เขาหิว เขาเจ็บเขาปวดอะไร
เขาอยู่ธรรมดาหมด เราสมมติเองว่าแข้งว่าขา ว่าตัวว่าตน ว่าสุขว่าทุกข์ ว่าดีว่าชั่ว
เป็นเรื่องสมมติทั้งหมด ธรรมชาติแล้วเขาไม่ได้ว่าอะไร
ท่านจึงให้รู้เท่าสมุทัย เมื่อเราไม่ว่าแล้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร
ขาเขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นขา แข้งเขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นแข้ง แขนเขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นแขน
ตัวเรานี้เขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไร เนื้อหนังมังสังเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นเนื้อ เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นหนัง เขาอยู่เฉยๆ หมด
ถามดูซี่ เขารับรองไหม เปล่าทั้งนั้นแหละ เขาไม่รับรองอะไรซักอย่าง



นี่แหละผู้ปฏิบัติจะออกจากทุกข์ได้ก็เพราะมาเห็นสมมตินี่แหละ
ทุกข์เพราะสมมติ สมมุติว่าเป็นโน่นเป็นนี่
เราไม่สมมติ หยุดสมมติล่ะ มันก็เป็นวิมุตติ หลุดพ้นหมดสิ่งสารพัดทั้งหลาย
หลุดพ้นเพราะเหตุใด หลุดพ้นเพราะเราไม่สมมติ
มันเป็นวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เราได้เห็นแล้วก็พ้นจากสมมติ
นี่แหละท่านจึงได้เทศนาไว้ สมุทเฉทปหานะ ผู้ละได้แล้ว
สมุจเฉทวิมุตติ หลุดพ้นหมดสมมติทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติจึงพ้นทุกข์



ต่อไปให้เพ่งดูจิตของเรานี่ล่ะ มันเป็นยังไงอยู่ อย่าไปดูแห่งอื่นๆ
มันเฉยๆ ก็ดูมันเฉย ๆ มันว่างก็รู้ว่ามันว่างนะ
มันคิดโน่นมันคิดนี่ มันไปโน่นไปนี่ ก็ให้รู้เท่าสมมติว่ามันไป
เมื่อรู้เท่าทุกอย่างแล้ว สมมติทั้งหลายไม่มี ก็เป็นวิมุตติหลุดพ้นจากทุกข์
ให้พากันนั่งพิจารณาต่อไป



(ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ ถอดจากเทป
อวย เกตุสิงห์ เรียบเรียง)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก “อาจาโรวาท” ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๕๐


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP