วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๔๔



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            จากห้องแพรพลอยไปถึงห้องใต้หลังคาไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เส้นทางสะดวกราบรื่น ไม่ปรากฏผีสางขวางหน้าสักตน มีแค่บรรยากาศเอื่อย ๆ หม่นซึม ความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านทั่วคฤหาสน์เท่านั้น

            สภาพห้องใต้หลังคาเหมือนเดิม ไม่ต่างจากตอนเมษาเข้ามาเห็นครั้งแรก รูปภาพที่นำมาจัดแสดงในงานเปิดรั้วศิวาดลทั้งหมด ถูกเก็บคืนดังเดิม

            รูป ‘ดลดารา’ วางบนขาหยั่งคลุมผ้ากันฝุ่น ที่เพิ่มมาด้านข้าง คือภาพเขียนลายเส้นขาว-ดำ ‘ศิวาดล’ ที่แม่บ้านเข็มทองนำมาวางบนขาหยั่งคลุมผ้าคู่กัน

            ไฟในห้องเปิดสว่าง ไม่เกรงฝ่ายตรงข้ามจะเห็นในระยะไกล

            “จิก...เวลาเท่าไหร่?” เมษาถาม

            “เกือบทุ่มนึงแล้ว” ชายหนุ่มบอกเวลา

            สองหนุ่มสาวเดินทั่วห้องใต้หลังคา กวาดตามองรอบห้อง สังเกตหาร่องรอยผิดปกติ แผ่จิตสัมผัสออกตรวจค้น ไม่พบดวงวิญญาณที่ถูกกักขัง

            “เก่งว่ะ” พิจิกพูดลอย ๆ ไม่แสดงว่ากล่าวถึงใคร

            เมษาไม่ตอบรับ ชายหนุ่มไม่ได้ชมเธอ แต่ชมผู้ที่ซ่อนกรงขังดลดาราอย่างแนบเนียน...

            ทั้งที่แน่ใจว่าอดีตนายหญิงศิวาดลทั้งหมดถูกขังอยู่บนนี้ จิตสัมผัสพวกตนยังไม่สามารถตรวจค้นเจอเลย

            พิจิกไม่ใส่ใจค้นหาดวงวิญญาณที่ถูกขัง เดินไปเปิดผ้าคลุมรูปภาพทั้งสองบนขาหยั่ง ส่งรอยยิ้มให้ดลดาราในภาพ แล้วหันไปมองภาพ ‘ศิวาดล’ ดูลายเส้นดินสอขาว-ดำที่ราวกับมีชีวิต หนุ่มสาวกับน้ำพุเทรวี ความรู้สึกแห่งรักแรกที่ฉายออกมาโดยไม่มีการปิดบังอำพราง

            หากสังเกตให้ดี ภาพขาวดำลายเส้นดินสอนั้น ดูคล้ายเป็นสาส์นบอกความรู้สึกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายอาจไม่ทันสังเกต รับรู้มันได้

            เมษาสะกิดไหล่พิจิก เป็นสัญญาณที่รู้กันเอง ชายหนุ่มยกนาฬิกามองผ่านตา ก่อนยื่นให้หญิงสาวดู

            ...เวลาขณะนี้ ทุ่มเศษ...

            หญิงสาวพยักหน้า พิจิกอมยิ้ม สำรวมจิตขยับริมฝีปาก ร่ายอาคมสั้น ๆ อำพรางสิ่งที่พวกตนจะกระทำในห้องนี้ จากสายตาภูตผีสายสืบทั้งหลาย

            “คราวหน้าหัดใส่นาฬิกาซะบ้างนะ” ชายหนุ่มบ่นหญิงสาว

            “มันเกะกะ ฉันไม่ชอบ” เมษาบอกหน้าตาเฉย “มาเริ่มกันได้แล้ว”

            “โอเค”

            พูดจบชายหนุ่มหลับตา แผ่จิตสัมผัสออกพร้อมเมษา คราวนี้สามารถรับรู้จุดที่ตั้งกรงขัง และวิธีไขกรงปลดปล่อยดวงวิญญาณอย่างง่ายดาย

            พิจิกลืมตาขึ้นมาก่อน ระบายลมหายใจแผ่วเอ่ยวาจาแกมขบขัน

            “พวกนั้นมันตรงเวลาดีแฮะ”

            เมษาไม่ตอบวาจาไร้สาระ ก้าวขาไปยืนตรงจุดกึ่งกลางห้อง ตรงกับยอดหลังคาคฤหาสน์ พิจิกหันมองดวงตาของดลดาราในรูป นัยน์ตาจ้องเขม็ง เพ่งสมาธิแลลึกส่งกระแสทะลุทะลวงเข้าไปในนั้น...ชั่วขณะหนึ่งได้ยินเสียงดัง...แกร๊ก...คล้ายกุญแจถูกไข

            จุดที่หญิงสาวยืนบังเกิดกระแสคลื่นมืดดำโถมลงมา เมษาไม่ก้าวหลบ ปากร่ายคาถาสองสามคำคลื่นมืดนั้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานบางอย่างพุ่งทะลุลงบนพื้นตรงหน้า เกิดเสียง...แกร๊ก...กุญแจอีกดอกถูกไข...

            ดลดารา รายา พรนรี พยาบาลโสภีปรากฏขึ้นเป็นร่างค่อนข้างชัดเจนตรงหน้าสองหนุ่มสาว

            พวกเธอทั้งสี่หลุดออกมาจากกรงขังที่สามารถปิดบังได้แม้กระทั่งผู้ทรงเวทแล้ว!

            ตอนเมษาอยู่ในห้องแพรพลอย ต้องใช้กำลังสมาธิที่ลึก กล้าแข็งกว่าปกติจึงสามารถรู้ร่องรอยคลื่นความมีอยู่ของดลดารา และผู้ร่วมกักขังเพียงเจือจางมาจากห้องใต้หลังคา

            พอขึ้นมาถึง จิตสัมผัสที่แผ่ออกสำรวจรอบแรกไม่อาจตรวจจับคลื่นพวกเธอได้ เมษาจึงหันไปถามเวลากับพิจิก พอรู้ว่ายังไม่ถึงหนึ่งทุ่ม จึงสงบใจรอคอย...

            เพราะจากที่ศึกษาคัมภีร์แก้อาคมพระยาคงเวท หากผู้ทรงเวทในเงาทั้งสอง จะทำพิธีส่ง ‘ของ’ ไปจัดการปู่พวกเธอซ้ำสอง ช่วงเริ่มต้นเตรียมการพิธีคือเวลาหนึ่งทุ่มตรง ซึ่งนับจากเวลานั้น ต้องตัดการรับรู้โลกภายนอก ไม่อาจส่งพลังออกมาแทรกแซง ปิดบังกรงขัง หรือเสริมอำนาจแก่สมุนตนเองได้

            พิจิก เมษาจึงรอจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม แล้วค่อยใช้จิตสัมผัสออกค้นหากรงขังรอบสองจนเจอ และปลดปล่อยพวกเธอออกมาสำเร็จ

            เมื่อปล่อยดวงวิญญาณทั้งสี่สำเร็จ...งานต่อไปคือ...

            “ฉันจะปลดตรวนอาคมให้พวกคุณ” เมษาบอก

            “อย่าเพิ่งเลย รีบไปหยุดพิธีพวกนั้นก่อนเถอะ ไม่งั้นปู่คุณจะเป็นอันตราย” ดลดาราพูดชัด แสดงว่าล่วงรู้แผนการสองมารร้ายพอสมควร

            “ไม่ต้องห่วงหรอก” พิจิกบอกด้วยรอยยิ้มยากเข้าใจ

            ดวงวิญญาณทั้งสี่มีอาการงุนงง ไม่รู้แผนการ เจตนาสองหนุ่มสาว รู้แค่รอบห้องใต้หลังคานี้ถูกปกคลุมด้วยอาคมบางอย่าง สมุนปิศาจสายสืบทั้งหลายไม่อาจล่วงรู้การกระทำของผู้อยู่ภายในได้

            เมษาปลดกระเป๋าสะพายออกจากไหล่ ล้วงเข้าไปหยิบถุงผ้าขนาดเหมาะมือ ดูแล้วไม่มีอะไรสะดุดตาน่าสนใจขึ้นมา

            จนกระทั่งหญิงสาวเปิดถุงผ้า ดวงวิญญาณทั้งสี่ค่อยรู้ว่าในนั้นมีอะไรเก็บไว้บ้าง...

            เข็มกลัดลายเซ็นดลดารา แหวนแต่งงานรายา กำไลข้อมือพรนรี และสุดท้ายเศษเถ้ากระดูกพยาบาลโสภี!

            นอกจากเข็มกลัดดลดาราที่เมษาได้มาจากห้องใต้หลังคานี้แล้ว ของอีกสามสิ่งถูกนำมารวมกันได้อย่างไร?

            กระทั่งภูตผี สายสืบจอมมารยังไม่รู้ เมษาจงใจทิ้งกระเป๋าสะพายนี้ไว้ในห้องครัว ทำให้ดูเหมือนในนั้นไม่มีของสำคัญใด ๆ ทั้งสิ้น

            “เริ่มกันเลยนะ” เมษาเงยหน้าบอกผู้โดนล่ามตรวนอาคมทั้งสี่

            ดลดารา รายา พรนรี โสภียืนหันหลังเป็นวงกลมโดยจอมเวทสาวไม่ต้องบอก โซ่ล่ามข้อเท้า ตรวนอาคมปรากฏชัดกว่าทุกคราว

            เมษาหยิบเข็มกลัด แหวน กำไล เศษเถ้ากระดูกวางไว้ตรงหน้าแต่ละตนโดยไม่มีคำอธิบาย เสร็จแล้วลุกขึ้นยืนในจุดเหมาะสมตรงหน้าดลดารา

            พิจิกเลือกยืนฝั่งตรงข้าม ด้านหน้าพยาบาลโสภีเช่นกัน สีหน้าสองหนุ่มสาวสงบนิ่ง ไร้ร่องรอยหยอกล้อ ช่างเล่นเช่นเคย บอกให้ทราบ การปลดตรวนอาคมแก่สี่ดวงวิญญาณนี้เป็นงานยาก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

            เสียงสวดอาคมเริ่มต้นสั้น ๆ เพียงสองสามคำ แต่มันสามารถเชื่อมโยงดวงวิญญาณทั้งสี่เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว

            จากนั้นพิจิก เมษาค่อยเริ่มต้นบทสวดที่ยาวขึ้นพร้อมกัน กระแสเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล ผะแผ่วราวสายลมไหวที่ค่อย ๆ พัดผ่านเคล้าเคลียดวงวิญญาณ แล้วกระจายออกไปทั่วห้อง ทำให้อากาศที่เย็นยะเยียบจากอำนาจอาคมฝ่ายตรงข้ามและพลังงานผีร้ายค่อยเจือจาง กลายเป็นความอบอุ่นร่มเย็นขึ้นมาทดแทน

            อำนาจจิต พลังอาคมจอมเวทหนุ่มสาวผสานรวมกันเป็นเนื้อเดียว แปรเปลี่ยนเส้นใยละเอียดหนาแน่น แผ่กระจายเป็นผืนคลี่คลุมจากด้านหนึ่งออกไปจรดอีกด้าน ดูเผิน ๆ จะเห็นสีส้มเหลืองอ่อนปกคลุมรอบพิจิก เมษาและดวงวิญญาณทั้งสี่

            เมื่ออำนาจอาคมเข้าสัมผัสวัตถุเชื่อมโยงตรงหน้าวิญญาณแต่ละดวง แสงสีเหลืองส้มจัดจ้าเข้มข้นแผ่เข้าเคลือบเข็มกลัด แหวน กำไล เศษเถ้ากระดูกจนมันเปล่งขึ้นมาเป็นลำแสงอาบร่างเจ้าของจนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน

            มนตรา อาคม และอำนาจจิตสองจอมเวทหนุ่มสาว เข้าไปเสริมกำลังให้แก่ดวงวิญญาณทั้งสี่ผ่านวัตถุเชื่อมโยงประจำตัว ทำให้ดลดารา รายา พรนรี พยาบาลโสภีรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างมหาศาล ช่วยให้พลังจิตตนแข็งแกร่ง มีพละกำลังเพิ่มขึ้นทวีคูณ

            ทั้งสี่รู้แล้วว่าจะใช้พลังกล้าแข็งนี้ทำสิ่งใด

            เพียงแค่เพ่งจ้องลงไปยังตรวนอาคมที่ล่ามข้อเท้า ชั่วเวลาไม่นาน พันธนาการอันร้ายกาจก็ถูกทำลายดังโพละ สายโซ่ ตรวนล่ามข้อเท้าป่นละเอียด กลายเป็นผงคลีเลือนหายต่อหน้าต่อตา

            พิจิก เมษาขยับมายืนคู่กัน ดวงวิญญาณทั้งสี่กลับมายืนเรียงต่อหน้า พลังวิญญาณดูเจิดจ้า แจ่มใส ด้วยเพราะพลังมนตรา อำนาจจิตสองหนุ่มสาวยังแฝงอยู่ในนั้นไม่ใช่น้อย

            “ยินดีด้วยค่ะ พวกคุณได้รับอิสระแล้ว” เมษาแสดงความยินดีจากใจ

            ดลดาราพยักหน้ารับ แล้วชะงักงันแววตาฉายรอยประหลาด เงยหน้ามองสองหนุ่มสาวอย่างเข้าใจ

            “ฉันรู้แล้ว ทำไมพวกคุณถึงใจเย็น...มาช่วยพวกฉันก่อน” วิญญาณอดีตนายหญิงศิวาดลคนแรกพูดอย่างมองเห็นเหตุการณ์ทะลุปรุโปร่ง

            รายา พรนรี โสภีพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวไม่ต่างจากดลดารา

            “ขอบคุณนะคะ” พยาบาลโสภีเอ่ยปากแทนทุกคน

            “เราต้องรีบไปใช่มั้ย” รายาเอ่ยขึ้น พรนรีมีสีหน้าวิตก

            “ครับ...ถ้าได้พวกคุณช่วยอีกแรง ผมจะสบายใจขึ้น” พิจิกเป็นฝ่ายตอบ

            “แล้วพวกคุณล่ะ” พรนรีเอ่ยอย่างเป็นห่วง สำนึกในบุญคุณ

            “ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก” เมษาไม่กังวล “พวกคุณรีบไปเถอะ”

            ดลดารามองรอบห้องใต้หลังคา รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง แต่บอกชัดไม่ได้ว่าเป็นอะไร จึงเอ่ยปากเตือนสองหนุ่มสาว

            “ฉันว่าพวกคุณอย่ากลับทางเดิมเลย ตรงประตูมีอะไรแปลก ๆ พิกลที่ฉันไม่รู้...ที่มุมห้องนั้นมีทางลับลงไปข้างล่างได้เร็ว และปลอดภัยกว่าเยอะ”

            “ขอบคุณค่ะ...ฉันทราบแล้ว” เมษายิ้มรับ

            ดลดารา รายา พรนรี พยาบาลโสภีหายวับราวกับมีธุระด่วนต้องรีบกระทำ เมษาก้มตัวลงเก็บเข็มกลัด แหวน กำไล เศษเถ้ากระดูกกลับใส่ถุงผ้าโดยไม่เร่งร้อน

            “แกรู้เรื่องที่ฉันไม่รู้ด้วยเหรอ” พิจิกถามอย่างสงสัย

            “แล้วแกคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าฉันงั้นสิ” เมษาย้อนเข้าให้

            พิจิกหัวเราะขัน

            “เออ...ฉันยอมโง่กว่าแกหน่อยนึงก็ได้...บอกมาสิว่าที่ประตูนั้นมีกับดักอะไรซ่อนอยู่ ทำไมตอนเดินเข้ามาฉันถึงไม่รู้อะไรเลย”

            “อย่างแกคงไม่โง่กว่าฉันหน่อยนึงหรอก” เมษาได้ทีพูดใส่ “ตรงประตูนั่น มีคนไปวางสายสัญญาณบางอย่างเอาไว้ ถ้าเราเปิดประตูลงไปอีกครั้ง จะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร แผงสวิตช์ใหญ่ระเบิด ไฟไหม้ศิวาดลแน่”

            “หา...ลงทุนขนาดนั้นเชียว” พิจิกอุทาน ไม่สงสัยวาจาหญิงสาว “แกเห็นตอนใช้สมาธิสำรวจหากับดัก และดลดาราทั่วศิวาดลล่ะสิ”

            “เออ...รู้แล้วก็เงียบซะ ฉันจะไปปลดสายชนวนก่อน ไม่งั้นคนอื่นเผลอเปิดเข้ามาจะซวยเปล่า ๆ”

            คนที่น่าจะขึ้นมาเปิดห้องใต้หลังคาบ่อยสุดคงไม่พ้นแม่บ้านเข็มทอง

            “เอาสิ...ฉันเพิ่งนึกได้ว่าแกจบวิศวะ” พิจิกพูดพลางยกนาฬิกาขึ้นดู “แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เวลามันกระชั้นเข้ามาแล้วนะ”

            “ถ้าแกจำได้ว่าฉันจบวิศวะ” เมษาพูดอย่างวางฟอร์ม “ก็น่าจะรู้นะว่าฉันได้เกียรตินิยม...ผู้ชายทั้งคณะทำงานสู้ฉันไม่ได้”

            “อือ...ถึงยังตกงาน ต้องมาเป็นผู้ช่วยแม่ครัวอยู่นี่ไง” พิจิกหมั่นไส้ อดขัดคอไม่ได้

            “ไอ้หมาจิก...”

            เมษาถลึงตาใส่ ถ้าไม่คิดว่าตนเองมีภารกิจเร่งด่วน คงประคารมกับชายหนุ่มต่ออีกยกใหญ่

            เวลาผ่านไป...พิจิกเดินสำรวจช่องทางประตูลับที่ดลดาราแนะนำ เห็นว่ามันลึกลับ ซ่อนสายตาผู้คนภายนอกได้ดี ถ้าเจ้าของบ้านไม่บอก ก็ยากจะมีคนรู้

            เมษาใช้เวลาปลดสายชนวนเร็วกว่าที่ชายหนุ่มคิด เพียงไม่กี่นาทีก็เดินมาสะกิดบอกว่าเรียบร้อย

            “ถ้าไม่มีปัญหาแล้ว เราลงไปทางเดิมดีมั้ย” พิจิกไม่แน่ใจว่าใช้ทางลับจะเสียเวลามากกว่าหรือไม่

            “ไปทางลับดีกว่า ฉันไม่รู้ว่าจะมีกับดักอื่นซ่อนไว้อีกหรือเปล่า” หญิงสาวบอก

            “อ้าว...ฉันคิดว่าแกใช้ตาทิพย์สำรวจดูหมดทั้งคฤหาสน์แล้ว” พิจิกแหย่

            “แกทำได้หรือไง?” เมษาย้อนคืนให้บ้าง

            ชายหนุ่มไม่เถียง หันไปถามอีกเรื่อง

            “ในกระเป๋าแกมีไฟฉายมั้ย ฉันสำรวจคร่าว ๆ แล้ว ในนั้นมันมืดพอสมควร ยังหาสวิตช์ไฟไม่เจอเลย”

            “โง่อย่างแกจะหาเจอได้ไงวะ” เมษาบ่นแต่ก็หยิบไฟฉายยื่นให้ “ทำไมไม่รู้จักเก็บของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวขอยืมคนอื่นแบบนี้”

            “มันก็เหมือนแกที่ไม่ชอบใส่นาฬิกานั่นแหละ” ชายหนุ่มตอบวาจาทันกัน

            เมษาเป่าลมจากปากดังพรืด ปล่อยให้พิจิกฉายไฟเดินนำหน้าเข้าไปในช่องลับก่อน ตนเองค่อยเดินตาม

            เส้นทางลับที่ดลดาราแนะนำค่อนข้างสะดวก ลัดสั้น จะยากตรงแค่หาสวิตช์ไฟไม่เจอ ไม่รู้ซ่อนไว้ตรงไหน จึงอาศัยไฟฉายนำทางตลอด

            “แกเก็บพวกเข็มกลัด แหวน กำไลฯ ไว้คืน ‘เจ้าของ’ แล้วใช่มั้ย” พิจิกเอ่ยเบา ๆ กึ่งชวนคุยระหว่างทาง

            “เออ...” เมษาตอบ

            เข็มกลัดดลดารา แหวนแต่งงานรายา กำไลพรนรี รวมถึงเถ้ากระดูกพยาบาลโสภีถูกเก็บคืนเรียบร้อย พร้อมส่งคืน ‘เจ้าของ’

            “แล้วสายชนวนที่แกปลดน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นะ” ชายหนุ่มถามต่อ

            “เออ”

            “ทำไมตอนเราเปิดประตูเข้ามามันถึงไม่ทำงานล่ะ” เขาสงสัย

            “ตอนเปิดประตูครั้งแรก มันเป็นการเปิดระบบแสตนบายพร้อมทำงานเท่านั้น ถ้าเปิดออกครั้งที่สองมันถึงจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร” หญิงสาวอธิบายอย่างใจเย็น

            “เขาหวังจะฆ่าเราถึงขนาดยอมเผาบ้านตัวเองเลยเหรอ?” พิจิกอดสงสัยต่อไม่ได้

            “เอาไว้แกเจอตัวคนสั่งติดกับดักเมื่อไหร่ ค่อยถามเขาดีมั้ย” เมษาประชดบอกความรำคาญ

            พิจิกหุบปากไม่ถามต่อ สายตากวาดสำรวจบันไดทางลง มันแคบชันแต่ดูไม่อันตราย ไม่มีอุปสรรคกับดักใดจึงเดินนำหญิงสาวลงไปโดยไม่ลังเล

            ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็ลงมาถึงข้างล่าง พิจิกกวาดไฟฉายส่องมองหาทางออก พอเห็นแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ ดับไฟฉาย เงี่ยหูฟังเสียงภายนอก สงบใจสังเกตสิ่งผิดปกติ...

            ...ถ้าฝ่ายตรงข้ามลงทุนถึงขั้นวางกับดัก ต่อสายให้ไฟฟ้าลัดวงจร หวังให้แผงสวิตช์ไฟระเบิด ตั้งใจเผาพวกเขาที่ห้องใต้หลังคา ก็ไม่แปลกที่จะแอบวางกำลังคอยดักตรงทางหลบหนี

            ...เงียบ...นอกประตูไม่มีเสียงเคลื่อนไหว ปราศจากเสียงลมหายใจบุคคลอื่น อากาศยังเย็นเยียบ คลื่นภูตผี วิญญาณกระจายทั่วบริเวณ

            ...สำหรับพิจิก เมษา ภูตผีปิศาจไม่น่ากลัวไปกว่าคนแอบปองร้าย...

            ชายหนุ่มออกจากช่องลับก่อน กวาดตามองจนทั่ว พอเห็นว่าปลอดภัยจึงกวักมือเรียกเมษาให้ตามออกมา

            นอกช่องลับเป็นด้านหลังห้องประชุมย่อย อยู่สุดปีกตึกศิวาดล แสงสลัวเปิดไฟทิ้งไว้ดวงเดียว จากจุดนี้มีประตูข้าง สามารถพาออกนอกตัวตึกได้

            บริเวณนี้ไม่สว่างนัก พิจิก เมษาย่องด้วยฝีเท้าเบากริบ สังเกตจากกับดักที่ประสบมา ค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องระดมกำลังทุกด้านมาเพื่อขัดขวางพวกตน

            ชายหนุ่มมาถึงประตูด้านข้างตัวตึก มือจับลูกบิดหมุนช้า ๆ ไม่ให้เกิดเสียง แล้วชะงัก หันมองหญิงสาวที่ยืนเคียงข้าง ส่งสัญญาณมือบอกให้รออยู่ข้างในก่อน

            แง้มเปิดประตูโดยไร้เสียง แสงไฟระเบียงส่องเข้ามา เห็นเงาวอบแวบอยู่ทางด้านข้างประตู เหมือนคนซุ่มอยู่กำลังขยับตัว เตรียมพร้อม

            พิจิกไม่เปิดประตูให้กว้างกว่าเดิม ปล่อยกระแสลมเย็นภายนอกพัดผ่านลอดบานประตู กลิ่นอายฝนเพิ่งหยุดตกลอยแตะจมูกจาง ๆ สัมผัสความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามได้ว่ากำลังตึงเครียด กดดัน

            เวลาผ่านไป...หนึ่ง...สอง...สาม...สี่วินาที ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าผลีผลามบุกเข้ามา ชายหนุ่มยังไม่ออกไป ประลองความใจเย็น สร้างความกดดันจนถึงที่สุด...

            จากนั้นปล่อยมือจากลูกบิด เท้าถีบประตูดังปัง แล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าฝ่ายซุ่มดักจะทันตั้งตัว

            พิจิกกระโจนพ้นระเบียง ลงไปยืนนอกตัวตึก หันกลับมาเห็นชายร่างใหญ่สองคนหันตามมาอย่างคาดไม่ถึง กำลังจะกระโจนออกมาจัดการกับเหยื่อที่เพิ่งดิ้นหลุด ลืมไปว่ายังมีหญิงสาวร้ายกาจอีกคนคอยซุ่มอยู่หลังบานประตู หาจังหวะลอบเล่นงาน โดยไม่ทันให้ตั้งตัว

            การต่อสู้บนระเบียงเริ่มขึ้นทันที...

            ผัวะ...ตุบ...ตับ...ปึก...ปัง...

            เมษาเก่งศิลปะการป้องกันตัวก็จริง แต่ให้ใช้มือเปล่าสู้หนึ่งต่อสองกับผู้ชายร่างใหญ่ ฝีมือจัดจ้านพร้อมกันทีเดียวคงไม่ไหว ทำได้เพียงลอบทำร้ายตัดกำลังจากทางด้านหลังก่อน จากนั้นพิจิกค่อยกระโจนขึ้นมาบนระเบียงช่วยรับมือ รุกไล่อีกฝ่ายจนตั้งตัวไม่ติด มือไม้พัลวัน สุดท้ายก็สลบเหมือดกองกับพื้นอย่างรวดเร็วเรียบร้อย

            “รีบไปกันเร็ว” พิจิกเร่ง

            เมษากระชับกระเป๋าสะพายเตรียมออกวิ่ง ชายหนุ่มเพิ่งก้าวจากระเบียงลงบันไดได้เพียงก้าวเดียว ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

            ...เปรี้ยง...เสียงปืนดังลั่น กระสุนลงตรงบันไดขั้นที่สอง ห่างจากพิจิกแค่คืบเดียว

            สองหนุ่มสาวกระโดดหลบ ขึ้นมาแอบอยู่หลังเสาต้นใหญ่บนระเบียงตึก กวาดสายตามองหาเจ้าของเสียงปืนนั้น ด้วยความระวังตัวเต็มที่

            ...โดนผีหักคอ ถ้าสมาธิมั่นคง จิตใจเข้มแข็งเสียอย่าง ก็ไม่เป็นไร...แต่ถ้ากระสุนปืนระเบิดสมองจัง ๆ ต่อให้สำเร็จอาคมขั้นสูงสุดยิ่งกว่าไหน ๆ ก็ไม่มีทางหนีความตายพ้น...

            กระสุนนัดนี้หยุดพิจิก เมษาไว้ที่หลังเสาคฤหาสน์ต้นใหญ่ บนระเบียงได้อย่างชะงัด

            เจ้าของกระสุนหยุดจอมเวทเป็นหญิงสาวสวยท่าทางอ่อนแอ บอบบาง เธอมาพร้อมกับสมุนร่างใหญ่เจ็ดแปดคนขนาบข้าง สีหน้าแววตาเปลี่ยนไป กลายเป็นแม่เสือร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

            “เมษา...ฉันบอกให้เธอขึ้นไปรอข้างบนไม่ใช่เหรอ...ทำไมไม่เชื่อฟังกันบ้างล่ะ” แพรพลอยส่งเสียงถามเรียบเย็น

            ในเมื่อใช้ภูตผี อาคม กับดักต่าง ๆ ยังไม่สามารถหยุดสองหนุ่มสาวได้ วิธีต่อมาคือ ใช้พวกนักเลงมาดักซุ่มทุกประตูทางออกศิวาดล เสียงถีบประตู การต่อสู้เมื่อครู่ เรียกให้กำลังทุกด้านมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้นำทีมคือแพรพลอย...นายหญิงศิวาดลคนปัจจุบัน

            “คุณพลอยขา...” เมษาโผล่หน้าจากหลังเสามายิ้มสู้...ตั้งใจเอาตัวรอดด้วยสติปัญญาที่มี จึงแสร้งอ่อนข้อทำตัวเป็นลูกจ้างบ้านนอกต่อไป ทั้งที่รู้อีกฝ่ายทราบความเป็นมาพวกตนแล้ว

            “หนูขึ้นไปรอคุณข้างบนแล้วนะคะ...แต่ที่นั่นผีดุเหลือเกิน แล้วในศิวาดลก็วังเวง ไม่มีใครอยู่สักคน...หนูกลัวเลยขอลงมาก่อนน่ะค่ะ”

            “ผีที่ไหน?” แพรพลอยแกล้งทำเสียงสูง ปืนในมือกระดกขึ้นอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ศิวาดลไม่มีผีหรอก...แต่พวกลูกจ้างคนงานในนี้ ฉันสั่งให้กลับไปห้องพักหมดแล้ว ป่านนี้น่าจะนอนหลับฝันดียันเช้าแล้วล่ะ”

            “แล้วคุณพลอยจะไปจับโจรที่ไหนคะ ถึงขนาดถือปืน พาหนุ่มๆ มากันเต็มอย่างนี้” เมษาชวนคุยต่อ พร้อมหยั่งเชิงดูเจตนาแท้จริงฝ่ายตรงข้าม

            ...แพรพลอยได้รับคำสั่งให้มาฆ่า หรือแค่จับตัวพวกเธอไว้...

            “ไม่ได้จับโจรที่ไหน...ถือปืนมาเล่น ๆ อย่างนั้นเอง เผื่อมีใครขัดใจ ไม่ยอมทำตามจะได้ใช้ขู่สักหน่อย”

            ฟังอย่างนี้ได้ข้อสรุป...ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้รับคำสั่งสังหาร น่าจะจับตัวพวกเธอไว้ก่อน

            “คุณพลอยสั่งให้หนูมาพบ มีธุระอะไรหรือคะ”

            “ก็...นิดหน่อย” แพรพลอยยิ้มแกมเยาะหยัน “ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้”

            “อ๋อ...คงต้องรอให้ป้าเพ็ญแขสั่งมาอีกที!” เมษาเสี่ยงทิ้งไพ่ตาย

            นัยน์ตาแพรพลอยฉายแวววาวโรจน์

            “อือม์...ท่าทางเธอจะรู้จักญาติผู้ใหญ่ของฉันดีนะ” วาจาเชื่องช้า ดวงตาโหดเหี้ยมดุดันทุกขณะ

            “ถ้าจะให้เดา ป้าเพ็ญแขคงสั่งให้คุณพลอยกับลูกน้องมาจับพวกหนูไปนั่งดูแก กับญาติผู้ใหญ่ ‘อีกตน’ ทำพิธีอะไรสักอย่างใช่มั้ยคะ” เมษาเดาเจตนาออก

            ป้าเพ็ญแข กับปิศาจนายทองคงต้องการให้เธอกับพิจิกไปเห็นพิธีส่ง ‘ของ’ สังหารปู่ต่อหน้าต่อตา

            “ก็ถูก...” แพรพลอยยิ้มเยือกเย็น “และสั่งเพิ่มอีกหน่อยว่า ต้องทำให้พวกแกนั่งดูอย่างเรียบร้อย จะขยับตัวหรือใช้อาคมอะไรไม่ได้เลย!”

            คำพูดเหมือนขู่ เมษา พิจิกต่างรู้ว่ามันทำได้จริง ครูแกลงบอกว่า...มียาฉีดบางตัวทำให้เป็นอัมพาต สติมึนเบลอ สมาธิรวมไม่ติด ใช้อาคมไม่ได้ ทำได้แค่นั่งเปิดตาดูการกระทำฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว

            “น่ากลัวจัง” เมษาแกล้งห่อตัว “งั้นป้าเพ็ญแขคงสั่งให้ระเบิดศิวาดลด้วยใช่มั้ยคะ”

            เท่าที่ทราบ ‘ศิวาดล’ คือเป้าหมายที่เพ็ญแขต้องการ ไม่มีเหตุจำเป็นใดต้องวางกับดักเพื่อระเบิดแผงสวิตช์ใหญ่ จนเกิดเหตุไฟไหม้คฤหาสน์

            “ฮึ...พูดอย่างนี้แสดงว่าแกไม่รู้จักป้าฉันจริง ๆ” แพรพลอยขำขัน “ป้าเพ็ญแขอยากระเบิดศิวาดลทิ้งวันละร้อยครั้ง เพื่อสร้างเรือนไม้อย่างที่แกเคยอยู่สมัยเด็กขึ้นมาใหม่...เข้าใจไว้ซะ”

            เมษาถอนใจ หดหู่บอกไม่ถูก...คนที่คิดเช่นนั้นได้ แสดงว่าติดยึดกับอดีตอย่างเหนียวแน่น จนไม่อาจอยู่กับปัจจุบันได้อีกแล้ว

            พิจิกหลบอยู่หลังเสาถัดจากเมษา ก้มลงเหลือบดูนาฬิกา รอยยิ้มแปลกปรากฏบนใบหน้า

            “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมาก ขืนพวกแกขยับตัวหรือพูดอะไรโง่ ๆ ออกมาอีกคำ ฉันจะยิงทิ้งจริง ๆ”

            แพรพลอยนำหน้า ลูกสมุนทั้งหลายเดินตาม บางคนสะพายกระเป๋าบรรจุยาเตรียมพร้อม บางคนถือเชือกเส้นใหญ่ไว้มัดเหยื่อ แสดงว่าที่หญิงสาวพูดไม่ได้ขู่เกินจริง

            อีกไม่กี่ก้าว แพรพลอยกับลูกสมุนจะขึ้นบันไดมาจับพิจิก เมษา เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

            ...เปรี้ยง...ปัง...ปัง...ปัง...

            เสียงปืนดังสนั่นรัวเป็นชุด มาจากสถานที่ไม่ไกลมากนัก แพรพลอยตกใจ ชะงักวูบ หันไปมองทางต้นเสียง

            ...นั่นเป็นจังหวะจู่โจมที่พิจิก เมษารออยู่พอดี...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP