วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๙



cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ไอ้จิกมันเคยบอกรักหนูมั้ย...หมวยเล็ก” วาจาแรกจากปู่เผด็จ เล่นเอาเมษาตอบไม่ถูก

            “มันจะมาบอกรักหนูทำไมล่ะปู่...” ตอบแก้เกี้ยว ทั้งที่ในใจรับรู้...ต่อให้พิจิกไม่เคยเอ่ยปากบอกคำว่า ‘รัก’ แต่สายตา กิริยาการแสดงออกทั้งหมด ล้วนสื่อความหมายชัดเจน

            “เข้าใจมันหน่อยนะ ผู้ชายบ้านนี้ปากหนักทุกคน ไอ้พฤกษ์ พ่อมันก็เหมือนกัน”

            “งั้นคุณปู่ก็ด้วยสิคะ” เมษาอดแขวะผู้เฒ่าไม่ได้

            ปู่เผด็จหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอารมณ์ดี

            “เออ...จริง ปู่ก็เหมือนกัน แก่จนป่านนี้ยังไม่เคยบอกรักย่าเขาสักที”

            หญิงสาวอมยิ้ม สายตามองผู้เฒ่าอย่างเข้าใจ

            “เดี๋ยวหนูจะเริ่มถอนยันต์แล้ว ปู่อย่าเพิ่งชวนคุยเลย”

            “จะรีบร้อนไปไหน” ถามเหมือนคนแกล้งไม่รู้ว่าอาการตนเองหนักหนาปานใด

            “ครูแกลงท่านสั่งให้หนูแข่งกับไอ้จิก...ขืนเริ่มช้า เดี๋ยวหนูแพ้มันพอดี”

            “งั้นปู่ชวนคุยต่อ ไอ้จิกจะได้ชนะ”

            “ปู่ลำเอียง เข้าข้างหลานตัวเองนี่” เมษาแกล้งโวยวาย

            “ถ้าไม่อยากให้เข้าข้าง...ก็มาเป็นหลานสะใภ้ปู่ซะเลยสิ” ปู่เผด็จรวบรัดหน้าตาเฉย

            “โห...เล่นงี้เลยเหรอปู่”

            “ไม่ได้...แก่แล้ว...ขืนพวกแกชักช้า ปู่ก็ไม่ได้อุ้มเหลนกันพอดี”

            เมษามองผู้เฒ่าด้วยแววตาเปื้อนรอยยิ้ม

            “หนูเห็นปู่ กับปู่หนูแทบไม่พูดจา ไม่มองหน้ากันมาเป็นสิบปี...คิดว่าลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเสียอีก”

            ปู่เผด็จยิ้มน้อย ๆ ดวงตาทอประกายจริงใจ

            “เรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างปู่กับไอ้เล้งตั้งแต่ยังหนุ่ม...ไม่ว่าเราสองคนจะทะเลาะเบาะแว้ง มีปัญหาต่อกันแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากยกเลิกข้อตกลงนี้หรอก...”

            “เพราะอะไรคะ” เมษาอดถามไม่ได้

            ผู้เฒ่าถอนใจดวงตาอ่อนโยนกว่าเคย

            “อาจเป็นเพราะ...ในใจปู่กับมัน...อยากให้ข้อตกลงนี้เป็นสายใยสุดท้าย ที่จะรักษามิตรภาพของเราเอาไว้”

            หัวใจเมษากำซาบความรู้สึกจริงใจนั้นไว้จนแน่นหัวอก ปู่เผด็จยอมเปิดใจตนเองขนาดนี้ ย่อมหมายความว่า...ข้อบาดหมางนับสิบปีระหว่างสองผู้เฒ่า อาจเริ่มได้รับการคลี่คลายจากครูแกลงแล้ว

            หญิงสาวถอนใจเบา ๆ ปรับอารมณ์เป็นปกติก่อนเอ่ยปาก

            “ยื่นมือมาได้แล้วค่ะปู่...ถ้าหนูถอนยันต์ช้ากว่าไอ้จิกจนแพ้มันนะ...หนูจะไม่ยอมเป็นหลานสะใภ้จริง ๆ ด้วย”

            ปู่เผด็จหัวเราะเบา ๆ รีบยื่นมือให้โดยเร็ว แววตามองหญิงสาวเต็มไปด้วยความรัก เอ็นดู...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สองฝ่ามือปู่คงคาวางแบ บนโต๊ะเล็กตรงหน้า ร่างผู้เฒ่านั่งเก้าอี้กลม ไม่มีพนักพิงหลังอยู่กลางห้องโล่ง พิจิกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ยืดหลังตรงเตรียมพร้อม

            มุมห้องทั้งสี่จุดกำยานกลิ่นเฉพาะ ช่วยให้ผ่อนคลาย และสามารถสกัดกั้นพิษร้าย ไม่ให้กระจายเล็ดรอดออกไปนอกห้อง

            พิจิกระบายลมหายใจออกยาว รวบรวมสติ สมาธิ จิตใจปลอดโปร่ง กึ่งกลางกะโหลกรู้สึกสว่างจ้า ในอกเกิดความอบอุ่น บอกให้ทราบถึงกำลังสมาธิสมบูรณ์เต็มที่

            ชายหนุ่มก้มมองมือผู้เฒ่าที่วางแบบนโต๊ะ ก่อนใช้ปลายนิ้วจุ่มลงไปในถ้วยน้ำมันหอมระเหยปรุงพิเศษ แช่ปลายนิ้วอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง ใช้กำลังสมาธิดึงดูดตัวยาในน้ำมันให้ซึมซาบเข้ามาเต็มที่ แล้วยกขึ้นขีดเขียนลงบนฝ่ามือทั้งสองของปู่คงคาอย่างรวดเร็ว

            ...ลวดลายที่เขียน เป็นยันต์เฉพาะ ใช้แก้ยันต์กำกับที่ปู่คงคาได้รับ...

            ...ส่วนน้ำมันหอมระเหยนั้นผสมตัวยาสำคัญหลายชนิด ปรุงด้วยฝีมือครูแกลง เพื่อใช้แก้ยาสั่งผู้ทรงเวทในเงาโดยเฉพาะเช่นกัน...

            ทุกลายเส้นขีดเขียน แฝงกำลังสมาธิ ขับดันตัวยาให้ซึมลึกลงไปในฝ่ามือผู้เฒ่าทุกหยาดหยด ไม่ยอมให้ตกหล่นแม้สักน้อย

            ปู่คงคาเกิดอาการเย็นวาบบนฝ่ามือ ขณะเดียวกัน แผ่นหลังกลับร้อนวูบ เสมือนยันต์ทั้งสองกำลังต่อสู้กันเอง

            ชายชราสัมผัสถึงพลังจิตชายหนุ่มตรงหน้า กำลังก่อตัวเป็นเส้นแฝงมากับลวดลายยันต์แก้บนฝ่ามือ และกระจายตัวออกเป็นแผง ครอบคลุมร่างตน ราวกับเป็นผืนผ้าคลุมอันอบอุ่น ทว่าแข็งแรง เหนียวแน่น

            สิ่งเดียวที่แกทำได้คือปล่อยกาย-ใจเป็นภาชนะเปิดโล่ง แล้วแต่ผู้ควบคุมจะจัดการใช้สิ่งใด มาขจัดสิ่งเลวร้ายในร่างกายเพื่อทำลายมนตร์ดำ อาคมยาสั่งออกไปจนสิ้น

            หลังเขียนยันต์บนฝ่ามือเสร็จ เสียงสวดสาธยายมนตร์ดังขึ้นถี่ ๆ ผสานด้วยอำนาจจิตแข็งแรงที่แฝงมากับทุกจังหวะ ถ้อยคำ

            ปู่คงคาเริ่มปั่นป่วนทั่วร่าง ด้วยความเย็นยะเยียบไหลจากฝ่ามือบุกเข้าไปก่อกวน ขับไล่ความร้อนรุ่มที่มาจากยันต์กำกับกลางหลัง กลายเป็นสมรภูมิรบที่สองกองทัพขนาดใหญ่ กำลังเท่าเทียมกันต่างโรมรัน พันตูจนฝุ่นตลบ

            ผลการสู้รบเป็นอย่างไร ปู่คงคาไม่คาดหมาย เพราะขณะนี้เกิดความทุกข์ทรมานตามจุดต่าง ๆ ทั่วร่าง ทำได้เพียงตั้งสติ ถอยจิตออกมาเป็นผู้ดู รู้สึก โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในร่างกายเวลานี้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลวดลายยันต์แก้ของปู่เผด็จถูกขีดเขียนบนฝ่ามือเสร็จ กลิ่นน้ำมันหอมระเหยกระทบจมูก กระแสเย็นซ่าน ซึมเข้าไปในเนื้อ พร้อมพลังงานปราศจากรูปแผ่จากเมษา ไหลเป็นสายตามเข้าไปเหมือนกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก

            ยันต์กลางหลังบังเกิดอาการร้อนฉ่า ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาขับไล่ อวัยวะภายในร่างผู้เฒ่าเกิดอาการปั่นป่วน ชวนคลื่นเหียน ร่างกายสั่นสะท้าน เกิดอาการหนาวร้อนวูบวาบสลับไปมา

            จิตเมษาตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ สังเกตอาการที่เกิดด้วยใจสงบ ก่อนเปล่งคำในบทสวดมนตราออกมาทีละวรรค ทีละประโยคช้า ๆ แต่ละถ้อยคำแฝงกำลังสมาธิ มีน้ำหนักแข็งแรง ช่วยกระตุ้นจิตใจผู้เฒ่าให้เกิดการตั้งมั่นตาม

            ถึงกระนั้นอาการปั่นป่วนกลับเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ขนทั้งร่างลุกซู่เห็นเป็นตุ่มตามแขนเต็มไปหมด เหงื่อผุดเต็มตัว จากนั้นในช่องท้องเกิดอาการขย้อนขึ้น จนต้องงอตัวลงอย่างทนไม่ไหว

            หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงหยุดสวด รีบคว้ากระโถนบนพื้นขึ้นมารอตรงหน้าปู่เผด็จทันท่วงที

            “...โอ๊ก...”

            ชายชราอาเจียน ขับน้ำข้นเหนียวสีน้ำตาลเข้มออกมา กลิ่นเหม็นฉุนกึกติดจมูก ร่างกายอ่อนเปลี้ยลงทันตา

            เมษาระบายลมหายใจยาว พอเห็นปู่เผด็จอาเจียนจนหมดแล้วจึงวางกระโถนบนพื้น หยิบกระดาษทิชชูเช็ดริมฝีปากผู้เฒ่าเบา ๆ

            “ยัง...ไม่ถึง...ครึ่งทาง” ปู่เผด็จบอกเสียงแผ่ว

            “ค่ะ...หนูทราบ” เมษาตอบรับ

            การอาเจียนครั้งนี้ไม่ได้แสดงว่ายันต์ถูกถอน อาคมยาสั่งสลายไปแล้ว แต่บอกว่าการปะทะกันยกแรก ส่งผลอย่างไรแก่ผู้เฒ่ารายนี้

            หากฝืนทำพิธีต่อ...ร่างชราอายุแปดสิบกว่าจะทนทานไหวอย่างไร?

            “อย่าหยุดนะ” ปู่เผด็จสั่ง

            “แน่นอนค่ะปู่ ไว้ใจหนูได้” เมษาตอบเสียงเด็ดเดี่ยว

            การถอนยันต์...สลายอาคมยาสั่งดำเนินต่อ...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            การถอนยันต์ทางด้านพิจิกไม่ส่งผลร้ายให้เห็นทางภายนอกเท่าฝั่งเมษา นั่นเพราะยันต์กำกับอาคมเป็นคนละชนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นับว่าดีกว่ากันสักเท่าไร

            ความร้อนจากยันต์ร้าย กับความเย็นจากยันต์แก้ต่างชอนไชไปตามเส้นประสาททั่วร่างปู่คงคา โรมรัน ต่อต้านกันและกัน ทำให้ปวดร้าว เจ็บแปลบ ทุกข์ทรมานราวกับร่างกำลังแหลกเป็นชิ้น ๆ

            ยังดีที่ปู่คงคามีจิตตั้งมั่น แยกออกมาเป็นผู้ดูร่างกาย โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย กระแสทุกขเวทนาจึงยากเข้ามากระทบถึงจิตใจได้ง่าย ๆ

            เสียงสวดของพิจิกช่วยให้ผู้เฒ่าสงบใจง่ายขึ้น และเพิ่มกำลังให้แก่ฝ่ายยันต์แก้ของตนทีละน้อย...ทว่า...ยันต์กำกับอาคมยาสั่งของผู้ทรงเวทในเงา เป็นอาคมที่สร้างขึ้นมาอย่างลึกซึ้ง ไม่ให้จอมเวทใดมาถอนมันได้อยู่แล้ว มันจึงมีเล่ห์กลซุกซ่อน มีความร้ายกาจคาดไม่ถึงซ่อนอยู่ในนั้น

            ยันต์แก้ที่พิจิก เมษานำมาใช้ เป็นยันต์พิเศษใช้ถอดถอนยันต์กำกับอาคมยาสั่งได้ก็จริง...ยิ่งเมื่อรวมกับอาคม มนตราที่ใช้คู่กันก็จะสามารถถอนยันต์ สลายอาคมยาสั่งได้...แต่...นั่นเป็นแค่อาคมบนกระดาษ มนตราตามตัวอักษร ผู้ใช้ต้องมีความช่ำชองพอ กำลังสมาธิกล้าแข็งจึงจะสำเร็จ

            หากผู้ใช้กำลังอ่อนด้อย ใช้วิชาอาคมบทนี้ไม่ไหว นอกจากจะถอนยันต์ สลายอาคมไม่ได้แล้ว ตนเองอาจโดนพลังปะทะ ย้อนคืน ถึงขั้นบาดเจ็บ เสียชีวิตได้เลย



            มนตราถูกสวดครบสามคาบ การต่อสู้ภายในร่างปู่คงคายังไม่ยุติ ความร้อนความเย็นชอนไช ซึมแทรกปะทะกันไม่หยุด ตัวผู้เฒ่าสั่นเทิ้ม เหงื่อโชก ขณะที่ผิวกายเย็นเฉียบ

            พิจิกใช้จิตสัมผัสเข้าสำรวจภายในร่างปู่คงคา พบว่ายันต์กำกับได้หลอมรวมเข้ากับอาคมยาสั่ง...กลายเป็นพลังงานร้ายกาจซึ่งไม่มีชื่อเรียกขาน มันก่อตัวขึ้นมารวดเร็ว ใหญ่โตราวกับเป็นอสูรกายจากนรก

            บัดนี้ มันกำลังไล่ต้อนยันต์แก้ พลังมนตราที่สวดกำกับตามให้สูญสลาย พร้อมกับชีวิตปู่คงคา และตัวผู้บังอาจมาขับไล่มัน ชนิดไม่ยอมหลงเหลือผู้ใดไว้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมษากำลังเจอปัญหาใหญ่!

            เธอใช้ยันต์แก้ พร้อมบทสวดสลายอาคมยาสั่ง จนคิดว่าสามารถช่วยชีวิตปู่เผด็จสำเร็จ พลังร้ายล้วนหายสาบสูญ ผู้เฒ่าไม่มีอาการคลื่นเหียน กระสับกระส่ายหลงเหลือ รู้สึกเหมือนการถอนยันต์ สลายอาคมยาสั่งเสร็จสิ้นแล้ว

            ...เธอคือผู้ชนะ?...

            ความรู้สึกในใจบอกว่ามันไม่ใช่!

            นี่เป็นทะเลเงียบ ก่อนพายุใหญ่มาถึง

            เหตุการณ์พลิกผัน...พายุมหึมาลูกนั้นโถมซัดมารวดเร็ว รุนแรง เกินคาดคิดได้

            จู่ ๆ ร่างปู่เผด็จกลับสั่นเทิ้ม นัยน์ตาเหลือกลานกลอกเห็นแค่ตาขาว มือเท้าเกร็ง ผิวออกเป็นสีแดงจัด

            เมษาเอื้อมแตะมือผู้เฒ่า ใช้จิตสัมผัสเข้าสำรวจดูอาการภายใน พบว่ายันต์กำกับและอาคมยาสั่งรวมตัวกันจนกลายเป็นพลังงานร้ายกาจน่าตื่นตระหนก

            หญิงสาวใช้พลังของตนทั้งหมดแผ่เข้าควบคุม สกัดกั้นพลังงานนั้น แต่เปล่าประโยชน์ พลังงานร้ายกำลังขยายตัวเต็มที่ ทำให้ปู่เผด็จเจ็บปวดตั้งแต่กระดูกออกมาจนถึงเนื้อหนังภายนอก ขับให้ผิวของแกค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ คล้ายลาวากำลังไหลล้นมาจากปล่องภูเขาไฟ

            เมษาเพียงลำพังไม่สามารถหยุดยั้งมันได้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พลังอันร้ายกาจที่พิจิกพบในร่างปู่คงคามีลักษณะคล้ายอสูรกายมืดดำที่ขยายตัวรวดเร็วจนน่าตระหนก เต็มไปด้วยพลังงานทำลายล้าง พร้อมเข่นฆ่าทุกผู้คนที่ขวางทางมัน

            ส่วนพลังร้ายที่เมษาเผชิญ มันเหมือนลาวาแดงร้อนที่อัดแน่นในภูเขาไฟ แล้วถึงจุดระเบิดออกมาทะลักล้นสู่ภายนอก แผดเผาทำลายทุกสิ่งตามทางที่มันเคลื่อนผ่าน

            ยันต์แก้ที่ครูแกลงให้มาพร้อมมนตรากำกับ ไม่สามารถยับยั้งพลังร้ายนี้...หรือว่า...พลังของเมษา พิจิกเองที่อ่อนด้อยเกินกว่าจะส่งเสริมให้ยันต์แก้และอาคมเกิดสัมฤทธิ์ผล

            นี่เองคือการแข่งขัน...ครูแกลงให้อาวุธสองหนุ่มสาวเท่ากัน...อาวุธนั้นมีศักยภาพถอนยันต์ ทำลายล้างอาคมยาสั่งได้จริง...แต่นั่นต้องอยู่ที่ความสามารถของจอมเวทผู้ใช้มันด้วย

            จอมเวทคนใด ใช้อาวุธที่ครูแกลงให้มาจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถช่วยชีวิตสองเฒ่าได้สำเร็จ คนนั้นคือผู้ชนะ...

            และหากใครต้องการได้ชัย ก็ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดตนเอง เพื่อเพิ่มศักยภาพอาวุธในมือ จนมันกลายเป็นศาสตราแห่งเทพยดาในที่สุด











บทที่ ๒๓



            หนึ่งพลังงานร้ายที่แปรสภาพคล้ายอสูรกายมืดดำ ขยายตัวไม่หยุดอยู่ภายในร่างปู่คงคา

            หนึ่งพลังงานร้อนที่เสมือนธารลาวาเหลวข้นแดงล้นทะลักออกมาไม่หยุดยั้งจากร่างปู่เผด็จ

            ด้วยกำลังจอมเวทหนุ่มสาวเวลานี้ ไม่อาจหยุดยั้งทำลายมันได้เลย...

            ชั่วขณะยอมรับความจริงตรงหน้า จิตสองหนุ่มสาวถอยออกมา ตัดความเป็นห่วงกังวลในอาการเลวร้ายที่กำลังปรากฏ เมื่อทุ่มเทพลังทั้งหมดลงไปแล้วยังไร้ผล ไม่อาจต้านทาน ทำอะไรไม่ได้ จะกังวลทุกข์ร้อนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

            ใจกลับมาอยู่กับตนเอง เข้าสู่ความสงบนิ่งยิ่งกว่าเคย จิตรวมเป็นสมาธิ ตัดความรับรู้รอบกายออกไปชั่วขณะ กำลังแห่งจิตถูกสะสมเข้ามาโดยอัตโนมัติ

            ครู่หนึ่งจิตถอยจากความสงบ เกิดคำถามขึ้น...ถ้างานนี้คือการแข่งขัน อะไรคือตัวตัดสินแพ้ชนะ?

            ...ผลการช่วยชีวิตคน หรือการก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองสำเร็จ...

            ใครช่วยชีวิตปู่สำเร็จก่อน...ผู้นั้นชนะ หรือใครก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองก่อน...ผู้นั้นชนะ

            ...ไม่ใช่ทั้งสิ้น...

            ย้อนกลับไปตั้งต้นแต่แรก...ทั้งสองเรียนเวทเพื่ออะไร?

            รับรองว่าต้องไม่ใช่เพื่อมาแข่งขัน...การแข่งขันเป็นเพียงอุบายให้เกิดความเพียรเท่านั้น

            การทะลุขีดจำกัดตัวเอง เป็นเพียงผลได้รับหลังจากใช้ความเพียรพัฒนาตนจนถึงที่สุดแล้ว

            จุดหมายการเรียนเวทแห่งสำนักครูแกลงอย่างแท้จริง เพื่อให้ใจเปิดกว้าง เรียนรู้การเป็นผู้ให้ จนกระทั่ง ‘ทานจิต’ เติบโต

            ผู้ทรงเวทตัวจริง ไม่ได้วัดแค่ช่วยเหลือผู้คน ปัดเป่าภัยร้ายมากน้อยเพียงใด แต่บนเส้นทางการเอื้อเฟื้อผู้คนโดยไม่เลือกหน้า ช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ รอดตายนั้น จิตใจจอมเวทได้เติบใหญ่ กว้างขวางขึ้นแค่ไหนต่างหาก

            เมื่อเข้าใจจุดมุ่งหมายนี้ มองเห็นจิตใจตนเติบโต งอกงาม เปิดกว้างขึ้นทุกขณะ สุดท้ายแล้ว...ใจของผู้ให้นั้น จะกลายเป็นเหมือนมหาสมุทรไร้ขอบเขต!

            ความเข้าใจเช่นนี้บังเกิด ยอมรับจุดหมายแท้จริงตรงกัน จิตบังเกิดการแปรเปลี่ยนมหาศาล ความคิด มุมมองเดิมล้วนเปลี่ยนแปลงกลับกลาย...

            จิตใจเปิดกว้างราวกับไม่มีขอบเขต รู้สึกตนเองเติบใหญ่เต็มตัว

            และแล้ว...ย้อนกลับมองเห็นพลังเวทเดิมที่มี เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยเล็กน้อย เทียบไม่ได้กับแสงดาวแสงจันทร์บนฟากฟ้า และยิ่งไม่อาจทาบกับดวงตะวันอันเรืองรองสว่างจ้าได้เลย

            ทั้งสองก้าวข้ามแสงหิ่งห้อยออกมาแล้ว แม้ยังไม่สว่างเจิดจ้าเท่าดวงตะวันฉาย แต่สามารถเปล่งแสงสว่างด้วยตนเอง ช่วยขับไล่ความมืดแก่คนรอบกายได้ไม่อายใคร



            จิตวกกลับมาดูเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้า เห็นอาการปู่เผด็จ ปู่คงคาเพียบหนักเต็มที

            สองหนุ่มสาวอยู่คนละห้อง มองไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง แต่รับรู้ความเป็นไปอีกฝ่ายกระจ่างชัด ราวกับร่วมเป็นคนเดียวกัน

            ร่างปู่เผด็จแดงฉานตัวสั่นระริก นัยน์ตาเหลือกขาว ความร้อนแผ่ออกมาเป็นไอ ลอยกรุ่นรอบตัว

            ร่างปู่คงคาเป็นสีเทาทะมึน ค่อยดำมืดลงทีละส่วน ๆ ความเย็นจัดจับผิวกาย ซึมลึกถึงกระดูก หนาวจนฟันสั่นกระทบดังกึก ๆ

            สภาพสองผู้เฒ่าหมิ่นเหม่ความตาย ห่างแค่เส้นด้ายบาง ๆ จิตใจสองหนุ่มสาวไม่มีความตระหนก หวาดหวั่นแม้สักน้อย

            สองใจร่วมความรู้สึกเดียวกัน พลังพิเศษแปลกใหม่ไม่ได้แบ่งแยก เป็นพลังของพิจิก พลังของเมษา ทว่ามันเป็นพลังงานแผ่กว้าง ไร้ขอบเขต ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แล้วแต่ผู้ใดสามารถนำมันมาใช้สอยเท่านั้นเอง

            พิจิก เมษาชักนำพลังนั้นมารวมไว้กึ่งกลางอก แล้วใช้ปลายนิ้วยื่นไปตรงหน้าพร้อมกัน ตวัดวาดยันต์แก้เฉพาะตนออกมาบนอากาศว่างข้างหน้าปู่เผด็จ ปู่คงคา

            จากนั้นสวดสาธยายมนตร์กำกับออกไปอย่างเชื่องช้า...ทรงพลังยิ่ง

            เสียงสวดกังวาน แม้เป็นคนละบท พลังงานที่ใช้ผสานในมนตรานั้นไม่แตกต่างกัน เป็นพลังงานอันสว่างเจิดจ้า กลมกลืนไปกับยันต์ที่เขียน มนตร์ที่สวด แล้วแผ่กางเข้าโอบคลุมร่างปู่เผด็จ ปู่คงคาราวกับเป็นปีกอันอบอุ่น นุ่มนวลเข้ามาโบกพัด ขจัดสิ่งเลวร้ายออกไปจนหมดสิ้น

            เสียงสวดจบครบสามคาบ ความเงียบสงัดบังเกิดพร้อมกันทั้งสองห้อง ประกายความสว่างเจิดจ้าเฉิดฉายขึ้นชั่ววูบก่อนดับลง

            พิจิก เมษาระบายลมหายใจแผ่วเบา จิตกลับไปสู่ความสงบเต็มอิ่มอีกครั้ง โดยไม่สนใจผลงานตนว่าสำเร็จหรือไม่

            จิตใจพวกเขาก้าวข้ามการแข่งขัน ก้าวข้ามผลแพ้ชนะ ความเป็นความตาย ก้าวข้ามแม้คำว่า ‘ขีดจำกัด’ อย่างง่ายดาย ไม่ฝืดฝืน ลำบากอย่างใด

            ขณะพิจิก เมษาสงบนิ่ง พักจิตในสมาธิ...ปู่เผด็จ ปู่คงคาระบายลมหายใจออก สูดลมหายใจเข้าช้า ๆ เป็นจังหวะ ร่างกายอ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อยที่สุดในชีวิต ใจรับรู้ว่ายันต์กำกับ อาคมยาสั่งถูกถอนทำลายจนสิ้นซากไปแล้ว

            สองผู้เฒ่าอยากลืมตา กล่าวชมเชยหลานชาย หลานสาว ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง มันอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงอยู่นิ่ง ๆ เฝ้าดูลมหายใจเข้า-ออก กระทั่งจิตเคลิ้มด้วยความเหนื่อยอ่อน หลับลึกสู่การพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงกำลังในที่สุด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พิจิก เมษาเพิ่งพาปู่ของตนขึ้นไปนอนบนเตียงเรียบร้อย ออกจากห้องพบครูแกลงนั่งรออยู่บนรถเข็น จึงคุกเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าด้วยความเคารพ

            “ขอบคุณทุกอย่าง ที่ครูแกลงแนะนำสั่งสอนผมครับ” พิจิกเงยหน้าพูด ดวงตากระจ่างใส เจิดจ้ากว่าเคย

            “ถ้าไม่ได้ครู...ปู่ของหนูไม่รอดแน่” เมษาระบายยิ้มคลายใจ ประกายตาเจิดจ้าไม่แพ้พิจิก

            ทั้งสองรู้ว่ายันต์กำกับ อาคมยาสั่งที่ผู้ทรงเวทในเงาใช้กับปู่ตนนั้น มันร้ายกาจที่สุดเท่าที่มีการใช้อาคมมา หากปกติธรรมดา พวกตนไม่มีทางถอนทำลายมันได้เด็ดขาด ต่อให้ใช้ยันต์แก้ และมีมนตร์ถอนอาคมก็ตามที

            “เราแค่ชี้ทาง...พวกเธอเดินไปถึงจุดหมายเองต่างหาก” ครูแกลงบอกเสียงอ่อนโยน แววตาไม่มีร่องรอยหลงใหล ปลาบปลื้มกับความเคารพ ชื่นชมนั้นเลย

            สองหนุ่มสาวก้มหน้าเข้าใจ เวลานี้รู้แล้วว่า ‘ผู้ทรงเวทตัวจริง’ ไม่ใช่บุคคลที่มีเวทมนตร์อาคมเหนือฟ้าเหนือดิน แต่เป็นบุคคลที่มีใจเปิดกว้างเกินธรรมดา มีจิตของผู้ให้ที่เติบใหญ่ แข็งแรง

            ครูแกลงยิ้มละไม เอื้อมมือลูบศีรษะสองหนุ่มสาวเบา ๆ กระแสอบอุ่น เมตตาถ่ายทอดออกมาจากสัมผัสอ่อนโยนนั้น

            ท่านรู้จักเมษา พิจิกตั้งแต่เกิด...เพราะลูกศิษย์ทั้งสองต่างรีบมาอวดโอ่ เล่าให้ฟังถึงหลานชาย หลานสาวที่เกิดในฤกษ์ผู้ทรงเวท ซึ่งหาได้ยากยิ่ง และคุยอีกว่า ต่อไปจะสอนพวกเขาจนมีความสำเร็จเหนือกว่าปู่ ผู้เป็นอาจารย์ให้ได้

            ครูแกลงไม่อยากบอกสองเฒ่าเลยว่า...เวลานี้...หลานศิษย์ทั้งสอง ต่างก้าวไปในจุดผู้ทรงเวทตัวจริง ความสำเร็จล้ำหน้า เหนือกว่าปู่ ผู้เป็นอาจารย์ไปแล้ว

            สิ่งที่ท่านเอ่ยปากต่อสองหนุ่มสาวคือ...

            “เมื่อตอนเย็น ถามไว้ใช่มั้ย ว่าเราได้ยันต์แก้ กับมนตร์ถอนอาคมชุดนี้มาจากไหน?”

            “ใช่ครับ” พิจิกตอบรับ

            “คืนนี้พอมีเวลาเหลือ เราจะเล่าให้ฟังว่าได้มนตร์ชุดนี้มาจากไหน และที่สำคัญ พวกเธอจะจัดการกับทายาทพระยาคงเวทได้อย่างไร!”

            พิจิก เมษามองหน้ากันด้วยความยินดี สังเกตเห็นบางอย่างในแววตาท่านผู้เฒ่า...

            การที่ท่านเอ่ยชื่อพระยาคงเวทออกมาอย่างเต็มปาก คุ้นเคย แสดงว่าครูแกลงน่าจะรู้จัก เคยได้ยินชื่อเสียงจอมเวทแห่งยุคผู้นี้มาก่อน

            สิ่งใดอยู่เบื้องหลังยันต์แก้ มนตราถอนอาคมที่พวกตนใช้จัดการวิชาร้ายกาจสุดของผู้ทรงเวทในเงา...ทายาทพระยาคงเวทกันแน่?




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พิจิก เมษาหายไปจากศิวาดลร่วมสัปดาห์แล้ว

            พ่อบ้านสมยศบอกว่า ทั้งสองขอลางานเพื่อทำธุระด่วนที่บ้านเกิด ไม่มีใครติดใจสงสัย เพราะขนาดแม่บ้านใหญ่ก็ไม่ตำหนิ ว่ากล่าวอะไร

            หลังจากบอกหลานชายว่ามีคนป่วยมาให้ช่วยสงเคราะห์ แม่บ้านเข็มทองก็ไม่โทรศัพท์ถามข่าว เพราะถือว่าการไม่ได้ยินข่าวร้ายก็ถือว่าเป็นข่าวดีแล้ว

            ใจจริงเธอเป็นห่วงบิดา กลัวว่าจะฝืนรักษาพิจิกจนตนเองเจ็บป่วย หรือไม่ก็โดนอาคมเข้าตัว แต่การไม่ได้ข่าวจากหลานชาย พี่ชายคนโตไม่โทรมาตำหนิ แสดงว่าพ่อปลอดภัย ไม่มีปัญหา

            ที่พิจิก เมษายังไม่กลับมา อาจเป็นได้ว่าต้องพักรักษาตัว ฟื้นฟูเรี่ยวแรงระยะหนึ่ง แม่บ้านเข็มทองจึงทำเฉย ไม่ขัดคำแก้ตัวแทนจากพ่อบ้านสมยศ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกับคนอื่น ๆ

            ทั้งที่ปกติธรรมดา หากคนงานลางานเกินสามวันโดยไม่มีเหตุผล หลักฐานไม่เพียงพอ แม่บ้านเข็มทองคงไล่ออกนานแล้ว

            ส่วนลึกในใจของเธอหวังให้สองหนุ่มสาวกลับมา...ทั้งคู่เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยดลดาราให้พ้นจากพันธนาการอันร้ายกาจได้

            เหตุผลเดียวที่เธอยอมฝืนใจอยู่ศิวาดลมาร่วมสิบกว่าปี...ก็เพื่อดลดารา

            เข็มทองกับดลดารามีความผูกพัน สายใยบุญคุณกันอย่างเหนียวแน่น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP