วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๘



cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ขึ้นมาจีบกันเหรอพี่” เสียงห้าวกลั้วหัวเราะจากเด็กหนุ่มหน้าใสดังจากเบื้องหลัง

            พิจิกหันไปยิ้มรับ ทักทายตอบ

            “อาจารย์อา ขึ้นมาทำอะไรน่ะ”

            คราวนี้เด็กหนุ่มปล่อยหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ

            “พี่จะเรียกผมอย่างนี้จริง ๆ อ้ะ” ตี๋เล็กถามพลางเดินเข้ามาหา

            “อ้าว...ลำดับชั้นในสำนัก ต้องเรียกตามอาวุโสสิ” ชายหนุ่มหยอกล้อ

            “พูดเป็นนิยายกำลังภายในไปได้ พวกพี่ยกน้ำชา โขกศีรษะกราบคารวะอาจารย์กันหรือยังล่ะ” เด็กหนุ่มหยอกกลับ

            พิจิกหัวเราะเบา ๆ หันสบตาเมษาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม

            “หมวยเล็ก...พวกเรายกน้ำชา โขกหัว...กราบอาจารย์กันหรือยัง” เวลานี้เขายังมีอารมณ์ล้อเล่น

            “แกเล่นเป็นจอมยุทธในนิยายจีนคนเดียวเถอะ” หญิงสาวตอบเสียงดุ “ปู่ฉันไม่เคยให้ทำอะไรอย่างนั้นสักที...มากสุดแค่ให้ไหว้รูปครูแกลงบนหัวนอนเท่านั้นแหละ”

            ตี๋เล็กมองสองหนุ่มสาวด้วยประกายตาซุกซน ช่างเล่น

            “งั้นผมเป็นอาจารย์อาให้พวกพี่ก็ได้...มีอะไรให้อาจารย์อาอย่างผมแนะนำมั้ย”

            “ตอนนี้ยังไม่มีหรอก...แต่อาจารย์อาขึ้นมาดาดฟ้าทำไม หรืออยากดูคนเขาจีบกัน” พิจิกแซว

            “โอ๊ย...จริงดิ เกือบลืม” ตี๋เล็กเพิ่งนึกได้ “ผมขึ้นมาเก็บสมุนไพรที่ตากไว้...ถ้าแดดหมด เก็บไม่ทันมันจะชื้น เสียคุณภาพหมด”

            พูดจบรีบไปเก็บสมุนไพรที่ตากไว้ พิจิก เมษาเดินตาม เห็นเด็กหนุ่มทำงานคล่องแคล่ว ไม่ติดขัดจึงยืนดูเฉย ๆ ไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือให้เกะกะเปล่า ๆ

            ไม่นาน สมุนไพรถูกบรรจุใส่กล่อง แยกประเภทเรียบร้อย ตี๋เล็กหันมายิ้มตาหยีสว่างไสว

            “เดี๋ยวลงไปกินข้าวด้วยกันนะพี่...วันนี้กินโต๊ะใหญ่กันเลย”

            “อือ...ให้พี่ช่วยถือกล่องสมุนไพรมั้ย” พิจิกอาสา

            “ไม่ต้องหรอก อยู่จีบกันต่อเถอะ” เด็กหนุ่มยักคิ้วล้อเลียน

            “เฮ้ย...ไม่ได้จีบกัน” เมษาเอ่ยขัด

            “ผมรู้...” ตี๋เล็กพูด แววตาแปลกไป “เห็นแค่ข้างหลัง ก็รู้แล้วว่าพวกพี่กำลังเครียด แบกภาระหนัก เลยแกล้งแหย่ให้อารมณ์เปลี่ยนเท่านั้นเอง”

            สองหนุ่มสาวอึ้ง ไม่คิดจะได้ยินคำนี้

            เด็กหนุ่มมองทางพิจิกก่อนเอ่ยปาก

            “ขอยืมกระเป๋าตังค์หน่อยดิ” พูดพลางแบมือตรงหน้า

            พิจิกล้วงกระเป๋าตังค์วางบนมือตี๋เล็กอย่างสงสัย ไม่เข้าใจ

            เด็กหนุ่มมองคนทั้งคู่ก่อนเอ่ยช้า ๆ

            “สมมุติว่ากระเป๋าตังค์นี้เป็นภูเขาลูกหนึ่ง ใหญ่มาก...” พูดพลางใช้อีกมือขยับกระเป๋าทำท่าว่ามันหนักจริง ๆ “พวกพี่จะทำยังไงให้มันหลุดไปจากมือผมได้”

            ตั้งคำถามพร้อมจ้องตาบอกว่าต้องการคำตอบจริงจัง

            เมษา พิจิกต่างคิดคำตอบไว้ในใจตนเอง...

            “ผลักมันออกไปสิ”

            “หยิบมันออกไปก็ได้ ไม่เห็นยาก”

            ดวงตาตี๋เล็กทอประกายยิ้มขำขัน ราวกับอ่านคำตอบในใจฝ่ายตรงข้ามออก

            “ผมเฉลยนะ...ง่ายนิดเดียว”

            พูดจบก็พลิกฝ่ามือลง ปล่อยกระเป๋าร่วงจากมือโดยไม่เหนื่อยแรง

            “แค่นี้เอง...แค่ไม่ยึดมันไว้...เท่านั้น” คำพูดเน้นย้ำความหมายในการกระทำ

            สิ่งที่เห็น...วาจาได้ยินทำให้ภูเขาก้อนใหญ่ในใจพิจิก เมษาหลุดผัวะ หล่นโครมลงมาง่ายดาย แรงกดดัน ความกังวลกลัวผิดพลาดล้วนดับหาย...สลายวับ เพียงแค่ใจไม่ยึดมันไว้...เท่านั้นเอง

            “ขอบคุณนะ...” เมษาพูดจากใจจริง

            “ไม่เป็นไร” ตี๋เล็กยักคิ้ว “ถือว่าเป็นคำแนะนำเล็กน้อยจากอาจารย์อาแล้วกัน”

            พูดจบก็หอบกล่องสมุนไพรลงจากดาดฟ้าท่าทางอารมณ์ดี

            พิจิก เมษาเป่าลมจากปากดังหวือ...ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งต้องได้รับคำแนะนำจากเด็กหนุ่ม อายุน้อยกว่าตนร่วมสิบปี

            คำแนะนำนี้นอกจากช่วยให้ทั้งสองสลัดหลุดจากแรงกดดันในใจ ยังมีผลให้ฝีมือ กำลังอาคมก้าวไปอีกขั้น เกิดความมั่นใจยิ่งกว่าเคย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            อาหารค่ำจัดโต๊ะใหญ่ในบ้านด้านหลังอาคารพาณิชย์

            บ้านหลังนี้มีคนอยู่ประจำเป็นพวกวัยชราอย่างครูแกลง และลูกชายลูกสะใภ้ ส่วนตึกแถวด้านหน้าจะเป็นที่อยู่ของครอบครัวตี๋เล็ก โดยมีพวกลูกจ้างร้านสมุนไพรบางคนอาศัยร่วมด้วย

            พ่อแม่ตี๋เล็กเป็นคนดูแลกิจการขายสมุนไพรจีน และการค้าอื่นของครอบครัว รวมถึงดูแลเก็บค่าเช่าตึกแถวแถบนี้ทั้งหมด

            ทุกคนในครอบครัวครูแกลงต่างมาร่วมรับประทานอาหารกันครบทุกรุ่น...ตั้งแต่รุ่นทวดอย่างครูแกลง รุ่นปู่ย่าอย่างลูกชาย ลูกสะใภ้ครูแกลง มาจนถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ของตี๋เล็ก และรุ่นเหลนอย่างตี๋เล็กและน้องสาว

            ฝ่ายที่เป็นแขกมีปู่เผด็จ ปู่คงคา เมษา และพิจิก จึงทำให้โต๊ะอาหารคับคั่งเต็มไปด้วยเจ้าของบ้าน แขกเหรื่อครบทุกรุ่น

            เมื่อครอบครัวใหญ่ร่วมรับประทานอาหารกัน เกิดวงสนทนาด้วยเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่เรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยภายในบ้าน ปัญหาเรื่องการค้า การเก็บค่าเช่าสารพัด...

            พิจิก เมษาเพิ่งรู้ชื่อของเด็กหนุ่มตี๋เล็กจริง ๆ บนโต๊ะอาหารนี่เอง

            “เพชร...ผลสอบออกหรือยัง” คนเป็นแม่เอ่ยถาม

            “ออกแล้วครับ” ตี๋เล็กตอบหน้าบูด

            “พี่เพชรได้ที่สองของชั้นมัธยม แต่ของหยกได้ที่หนึ่งด้วยล่ะ” แม่น้องสาวตัวแสบรีบฟ้อง

            “ที่หนึ่งของเด็กปอหก...ทำเป็นคุย” พี่ชายทำเสียงข่ม

            ถึงตอนนี้สองหนุ่มสาวค่อยรู้ว่าเด็กหนุ่มชื่อเพชร ส่วนที่พวกผู้ใหญ่เรียกขาน ‘ตี๋เล็ก’ นั้นก็ด้วยความเอ็นดู เพราะเป็นหลาน...เหลนชายคนแรก ส่วนแม่น้องสาวท่าทางฉลาดเป็นกรดชื่อหยก...ยังดีที่ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนคิดเรียกว่า ‘หมวยเล็ก’ ให้สอดคล้องกับพี่ชาย

            แม่หนูหยกช่างพูด ช่างซัก ความจำดี เธอเป็นสีสันบนโต๊ะอาหารพูดจาซักถามโน่นนี่ได้ทุกเรื่อง โดยพวกผู้ใหญ่ไม่ถือสา ตำหนิ

            จู่ ๆ เหมือนแม่หนูนึกถึงใครบางคนได้ เลยเอ่ยถามขึ้นดื้อ ๆ

            “แม่คะ วันปีใหม่นี้ ย่าเข็มจะมาอีกหรือเปล่า?”

            พอได้ยินชื่อคุ้นหู พิจิก เมษาก็ตั้งใจเงี่ยหูฟัง

            “มามั้ง คราวนี้เราตั้งใจจะไปกวน ขออะไรย่าเขาอีกหรือเปล่า” แม่ถามกึ่งกำราบ

            “เปล่าซะหน่อย...” หยกทำเสียงงอน “หยกรักย่าเข็ม คิดถึง อยากให้แกมาเร็ว ๆ”

            พิจิก เมษาชะงักมองแม่หนูน้อยตัวแสบอย่างประหลาดใจ...คิดไม่ถึงหญิงวัยกลางคนท่าทางนิ่ง ดุ คนทั้งศิวาดลต่างเกรงกลัว กลับสามารถทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งรักได้อย่างจริงใจอย่างนี้

            แม่ของเพชรกับหยก เพิ่งนึกได้ว่ามีแขก คนนอกร่วมโต๊ะอยู่ด้วย จึงพยายามเลี่ยงไม่ต่อความ พูดถึง ‘ย่าเข็ม’ อีก



            อาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้นครูแกลงพาปู่เผด็จ ปู่คงคาลุกจากโต๊ะเพื่อไปเตรียมตัวก่อนการรักษาถอนยันต์ เมษา พิจิกมีเวลาเหลือ จึงดึงตัวเด็กหนุ่มมาคุย ไถ่ถามเรื่องข้องใจ

            “อาจารย์อา...จะรีบไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิขอรับ” พิจิกยิ้มกว้าง แกล้งทำเสียงนอบน้อม

            “ไอ้จิกมันบ้า...” เมษาส่ายหน้าพึมพำ แต่ไม่หลบไปไหน รู้ว่าชายหนุ่มจะซักถามเรื่องอะไร

            เด็กหนุ่มมีท่าทางถูกใจ นิสัยขี้เล่นคล้ายพิจิก จึงนั่งลงพร้อมเอ่ยวาจาดักคอทันที

            “จะถามผมเรื่องย่าเข็มใช่มั้ย”

            “เฮ้ย...รู้ได้ไง” พิจิกทำท่าตกใจเกินจริง “อ่านใจกันได้อย่างนี้...สมกับเป็นอาจารย์อาจริง ๆ”

            “อย่าเวอร์เลยพี่...เมื่อคืนพี่เมษาก็ถามถึงย่าเข็มเหมือนกัน แสดงว่าพวกพี่ไม่รู้จักแกเลย...ทั้งที่แกเป็นคนแนะนำให้มาที่นี่”

            สองหนุ่มสาวยิ้มเรี่ย ๆ เด็กหนุ่มส่ายหน้าแกมขัน

            “เอาเป็นว่า...ผมจะเล่าให้ฟังเท่าที่รู้ และที่ได้ยินมาจากพวกผู้ใหญ่แล้วกัน”

            “ครับผมอาจารย์อา...” พิจิกตอบรับแข็งขัน เมษาได้ยินแล้วนึกหมั่นไส้

            เพชร...ตี๋เล็กเริ่มเล่าเรื่อง ‘ย่าเข็มทอง’ ลูกสาวคนเล็กครูแกลง

            ครูแกลงมีลูกสามคน เป็นผู้ชายสอง ผู้หญิงหนึ่ง ลูกชายคนแรกหรือ ‘ปู่ใหญ่’ เป็นคนดูแลกิจการต่าง ๆ ในครอบครัว ลูกชายคนที่สอง ‘ปู่รอง’ ได้เงินทุนก้อนใหญ่ไปสร้างกิจการเองที่จังหวัดใกล้เคียง ส่วน ‘ย่าเข็ม’ ลูกสาวคนเล็กกลับไม่ค่อยมีเรื่องดี ๆ ให้พูดถึงเท่าไหร่

            ย่าเข็มทองอายุห่างจากพวกพี่ ๆ หลายปี อุปนิสัยผิดแผก แตกต่างจากทุกคนในครอบครัว เธอชอบเรียนรู้ ไม่อยู่ในกรอบ เลือกทำงานเกี่ยวกับโรงแรมเพราะจะได้พบผู้คนหลากหลาย

            เธอไม่สนใจเมืองเล็ก ๆ แบบนี้ เลือกไปทำงานในเมืองใหญ่ โรงแรมระดับห้าดาวในสมัยนั้น จนกระทั่งพบรักกับชาวต่างชาติที่มาเป็นแขกพักในโรงแรมนั่นเอง

            เข็มทองแต่งงานอยู่กินกับสามีโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานจากใคร พอเขาทำงานในเมืองไทยเสร็จสิ้นก็เตรียมพาเธอไปอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ

            หญิงสาวดีใจที่จะได้ก้าวไปสู่โลกกว้าง พบเห็นผู้คนหลากหลาย ออกไปจากสังคมเดิม ๆ แต่ทว่าคนที่คัดค้านสุดกำลังคือครูแกลง บุคคลที่เงียบ ไม่มีปากเสียง ไม่เคยขัดใจใคร

            เข็มทองดื้อดึงไม่ยอมฟัง แม้คนเป็นพ่อจะขอร้อง เกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผลสารพัด

            เมื่อเห็นลูกสาวจะไปให้ได้ ครูแกลงยอมใช้ไม้ตายสุดท้าย...

            ถ้าจะไป อย่าเรียกเราว่า ‘พ่อ’

            นี่คือการแสดงโทสะแรงที่สุดของท่านแล้ว

            คนเป็นลูกสาวชะงักเพียงชั่วครู่ ลังเลขณะหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยเห็นบิดาแสดงโทสะเช่นนี้กับใคร แต่แล้วความมุ่งมั่น ดึงดันในใจก็เป็นฝ่ายชนะ พาเธอติดปีกบินไปยังประเทศแสนไกล

            เวลานั้นครูแกลงพึมพำแค่ประโยคเดียว

            กรรม...มันฝืนกันไม่ได้จริงๆ



            เข็มทองไปอยู่ต่างประเทศร่วมยี่สิบปีโดยไม่ส่งข่าวคราว จนเมื่อสิบกว่าปีก่อนถึงกลับมาบอกครอบครัวว่า ตนเลิกกับสามีชาวต่างชาติแล้ว ตอนนี้ทำงานเป็นแม่บ้านให้เศรษฐี สบายดีไม่ต้องห่วง

            ครูแกลงหายโกรธลูกสาวนานแล้ว ในใจมีแต่ความปรารถนาดีและให้อภัย เข็มทองต่างหากที่มีปมรู้สึกผิดในใจ ถึงจะกลับบ้านมาให้เห็น บอกว่ามีชีวิตอยู่ แต่ไม่เคยกล้าเอ่ยปากเรียกครูแกลงว่า ‘พ่อ’ อีกเลย

            ประมาณหนึ่งปีหลังจากได้ทำงานบ้านเศรษฐี เข็มทองกลับมาหาบิดา เพื่อต้องการความช่วยเหลือ แต่ครูแกลงและลูกชายคนโตเดินทางไปเมืองจีนตามคำชวนเพื่อนสนิท และซื้อสมุนไพรหายากหลายชนิด

            เข็มทองอยู่ที่บ้านร่วมสัปดาห์ จนรอไม่ไหว รีบกลับไปโดยไม่บอกปัญหาสำคัญให้ใครฟัง...



            เมษาฟังเรื่องราวถึงตรงนี้แล้วนำไปเชื่อมโยงกับนิมิตที่ตนเห็นเกี่ยวกับดลดาราและแม่บ้านเข็มทอง...

            จำได้ว่าตอนที่ดลดาราฝันถึงเรือนพระยาคงเวท โดนภูตผีเบียดเบียนจนหวาดกลัว แม่บ้านเข็มทองบอกกับนายหญิงว่าจะออกมาหาคนช่วยเหลือ...ซึ่งบุคคลนั้นน่าจะเป็นครูแกลง แต่ท่านผู้เฒ่าและลูกชายไปเมืองจีนนานจนเธอรอไม่ไหว...

            พอกลับไปพบว่าเจ้านายเสียชีวิต โดยที่ดวงวิญญาณถูกพันธนาการด้วยตรวนอาคมอย่างนั้น เธอจะทำอย่างไร?



            “แล้ว...หลังจากกลับไปครั้งนั้นคุณแม่บ้าน...เอ่อ...ย่าเข็มได้กลับมาบ้านนี้อีกมั้ย” เมษาตั้งคำถามขึ้น

            “มาครับ...ก็มาทุกปีใหม่ตามธรรมเนียมนั่นแหละ”

            “แล้วได้มาขอให้ครูแกลงไปช่วยอะไรอีกหรือเปล่า?” หญิงสาวถามต่อ

            “ไม่เลย...” เด็กหนุ่มมองหญิงสาวอย่างแปลกใจในคำถาม

            เมษานึกสงสัย...เท่าที่เห็นในนิมิต แม่บ้านเข็มทองผูกพัน สนิทสนมกับดลดารามาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ลงทุนยอมลดทิฐิ ฝืนความละอายใจมาหาครูแกลง เพื่อขอร้องให้ไปช่วยเหลือแน่นอน...แต่พอดลดาราเสียชีวิต วิญญาณถูกผูกด้วยตรวนอาคม เหตุใดจึงไม่ขอให้ครูแกลงไปช่วยปลดตรวนให้...

            “ย่าเข็มบอกมั้ยว่า ตอนที่มารอคราวก่อนนั้น มีธุระอะไร” เมษาถามอีก

            “ไม่บอก...ย่าเข็มไม่พูดเรื่องนั้นอีกเลย”

            “ตอนที่มาบ้านช่วงปีใหม่ ย่าเข็มทำอะไรบ้าง?”

            “ผมเห็นแกเข้าห้องหนังสือ หยิบตำราในนั้นมานั่งอ่านเป็นวัน ๆ ไม่สนใจใคร”

            “ตำราในห้องส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องอะไร”

            “เป็นตำราวิชาอาคมของทวด...แต่ท่านไม่หวงนะ ถ้าพวกลูกหลานจะเข้าไปอ่าน ไปศึกษา...”

            เมษานิ่ง...เริ่มเห็นอะไรบางอย่างราง ๆ สองหนุ่มมองหล่อนเหมือนอยากรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่...

            ชั่วครู่...ความเข้าใจก็ผุดขึ้นในหัวหญิงสาวง่าย ๆ

            แม่บ้านเข็มทองรู้สึกผิดกับบิดาตนเองตั้งแต่ตอนไม่เชื่อฟังคำทัดทาน ดื้อรั้นไปต่างประเทศกับสามี...พอทิฐิลดลงกลับมาได้ ก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากเรียกว่า ‘พ่อ’ แต่ที่ตั้งใจมาขอร้องให้ไปช่วยดลดาราครั้งนั้น เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องหนักหนา ถึงขั้นความเป็นความตายของคนคนหนึ่ง

            พอดลดาราตาย วิญญาณถูกผูกด้วยตรวนอาคม การจะมาขอให้ครูแกลงไปช่วยปลดตรวนนั้น มันไม่น่ายาก…แต่ที่ยากจริง ๆ คือเธอต้องเอาชนะความละอายใจตัวเองให้ได้ก่อน

            การขอให้ไปช่วยชีวิตดลดารา กับขอให้ปลดตรวนแก่ดลดารานั้น...น้ำหนักในความรู้สึกมันต่างกัน

            แม่บ้านเข็มทองเห็นว่าการขอร้องให้ครูแกลงออกไปปราบผี ทำลายล้างตรวนอาคม ปลดปล่อยพันธนาการแก่ดลดาราและวิญญาณดวงอื่นเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ เพราะมันไม่ใช่งานเร่งด่วน คอขาดบาดตายจนถึงขั้นที่เธอจะลดทิฐิ ความละอายใจ บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากบิดาที่เธอทำผิดต่อท่านมากมาย

            เข็มทองจึงเลือกวิธีศึกษาอาคม มนตราด้วยตัวเอง เพื่อไปช่วยเจ้านายของเธอ

            หลายปีที่ผ่านมาเธอศึกษาอาคมเพิ่มขึ้น ฝีมือแกร่งกล้า อย่างที่เมษา พิจิกแอบไปเห็นพิธีกรรมในบ้านน้อยหลังนั้น เพียงแต่ตรวนอาคมมันเหนียวแน่นเกินไป พลังปิศาจนายทองร้ายกาจเกินกว่าเธอจะทำลายได้



            พอปัญหา ข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมแม่บ้านเข็มทองได้รับการคลี่คลายในใจ

            อีกเรื่องที่เมษาอยากรู้ให้ชัดกว่าเดิม...

            “เมื่อคืนนี้...ย่าเข็มโทรมาบอกว่ายังไง...ใครรับสาย”

            “ผมรับสายเองแหละ” เด็กหนุ่มบอก “แกพูดง่าย ๆ ว่า...คืนนี้มีคนป่วยหนักจะมาหา ถ้าทวดรักษาไหวก็ช่วยสงเคราะห์หน่อย”

            “แล้วน้องก็บอกท่านเลยเหรอ” เมษาไม่คิดเรียกเด็กหนุ่มว่าอาจารย์อาตามอย่างพิจิก

            “ไม่หรอก ผมถามย่าเข็มก่อนว่าคนป่วยเป็นใคร อาการหนักแบบไหน...ย่าเข็มแกเลยบอกอาการของพี่ให้ฟังสั้น ๆ แล้วพูดอีกว่า ถ้าคนป่วยอาการหนักเกินไป ก็อย่าให้ทวดฝืนรักษาเด็ดขาด”

            แม่บ้านเข็มทองรู้ว่าบิดาตนมีน้ำใจ แต่แก่ชรามากแล้ว ไม่รู้จะรักษาไหวหรือเปล่า จึงบอกให้หลานชายช่วยดูแลอีกแรง หากไม่ไหวก็ต้องห้ามท่านผู้เฒ่าทันที

            ใจจริงแม่บ้านใหญ่คงอยากให้ครูแกลงช่วยเหลือพิจิกเหมือนกัน เพราะเธอเห็นว่า...เวลานี้มีแต่เมษา พิจิกเท่านั้น ที่น่าจะปลดตรวนอาคมให้ดลดาราได้

            แต่ถ้าต้องเลือก...เธอย่อมเลือกรักษาชีวิตบิดาเอาไว้ก่อน!

            พอความเข้าใจมาถึงตรงนี้ สองหนุ่มสาวบังเกิดสำนึกขึ้นในใจ...การถอนยันต์ สลายอาคมยาสั่งแก่ปู่ทั้งสอง ต้องสำเร็จอย่างเดียวเท่านั้น เพราะงานใหญ่ข้างหน้ายังรอคอยอยู่

            การสยบผู้ทรงเวทในเงา ปลดตรวนอาคมแก่ดลดารา เหล่าดวงวิญญาณที่น่าสงสาร...เป็นงานยากกว่านี้หลายเท่า

            ...นอกจากพวกเธอ ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “นั่งดูใกล้ ๆ แบบนี้ เอ็งก็หล่อไม่เบานะเจ้าจิก” ปู่คงคาพูดกลั้วหัวเราะ

            “ต่อให้ไม่ชม...ผมก็จะตั้งใจรักษาปู่อย่างดีที่สุดอยู่แล้วครับ” พิจิกตอบ

            “เราไม่ได้นั่งคุยกันสองคนอย่างนี้นานหรือยัง”

            “น่าจะนานแล้วล่ะปู่...ผมจำไม่ได้หรอก”

            “เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมขี้ลืมนักวะ” ดุไม่จริงจังนัก

            “เรื่องบางอย่าง...ลืม ๆ ไปบ้างก็ดีนะปู่” ชายหนุ่มวกมาย้อนผู้เฒ่า

            ปู่คงคาหัวเราะเบา ๆ รู้ว่า เรื่องบางอย่าง’ ที่พิจิกอยากให้ลืมคืออะไร

            “ไอ้เผด็จมันเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟังหมดแล้วใช่มั้ย”

            “ครับ...เพราะรู้เรื่องนั้น ถึงบอกหมวยเล็ก ไม่ต้องถอนอาคมให้ผม”

            “ดีแล้ว...จะได้ไม่พลาดพลั้งทำเรื่องน่าเสียใจอย่างปู่มัน”

            “คุณปู่ยังไม่ให้อภัยตัวเองอีกหรือครับ” พิจิกถามเสียงอ่อนโยน

            ปู่คงคาหัวเราะหึหึ แววตาลดทิฐิลงมากมาย

            “วันนี้โดนครูท่านเคาะกบาลขนานใหญ่ มันเลยตาสว่างขึ้นบ้าง”

            พิจิกอมยิ้ม โล่งอก เชื่อว่าปัญหาระหว่างปู่ทั้งสองน่าจะมีคนช่วยคลี่คลายได้แล้ว

            “ดีครับ เอาล่ะตอนนี้ปู่พร้อมให้ผมถอนยันต์หรือยัง” คำถามจริงจังขึ้น

            “พร้อมแล้ว จัดการได้เลย ไม่ต้องกังวลอะไรนะ”

            “พูดอย่างนี้ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ผมอีกแน่ะ” พิจิกหยอกทีเล่นทีจริง

            “ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงปู่ก็ยกหลานสาวให้แกอยู่ดี” ปู่คงคาสวนกลับ ชายหนุ่มแทบตอบไม่ถูก

            “เอ๊ย...ปู่...” พิจิกหัวเราะแก้เก้อ พูดอะไรไม่ออก

            บรรยากาศระหว่างคนป่วยกับผู้รักษาเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ปราศจากแรงกดดันใด ๆ กำยานที่จุดไว้ตามมุมห้องส่งกลิ่นหอมเย็นสร้างอารมณ์สดชื่น

            ใบหน้าพิจิกเกลื่อนรอยยิ้ม เอ่ยปากนุ่มนวล

            “ยื่นมือมาสิครับปู่...เดี๋ยวผมจะเริ่มถอนยันต์ให้”

            ปู่คงคายื่นมือให้อย่างว่าง่าย แววตามองชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น วางใจ ลึกลงกว่านั้นคือความรัก เอ็นดู...เด็กผู้ชายที่เห็นมาตั้งแต่เกิด เฝ้ามองพัฒนาการของเขาทีละน้อย จนถึงวันนี้...เขากลายเป็นผู้สามารถช่วยชีวิตตนเองอย่างคาดไม่ถึง

            หัวใจปู่คงคาบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมาแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP