ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะระลึกชาติได้



ถาม – ดิฉันเคยได้ยินว่าเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้น จะสามารถอธิษฐานขอระลึกชาติได้
แล้วแบบนี้จะเชื่อได้อย่างไรคะว่านิมิตนั้นเป็นของจริง



ไม่ใช่การอธิษฐานนะ ไม่ใช่ ถ้าไปฟังใครพูดมาแบบนี้
จะออกแนวเหมือนกับปรุงแต่งภาพขึ้นมาหลอกตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะครับ
วิชาระลึกชาติที่พระพุทธเจ้าสอนจริงนะ
คือไม่ใช่พระพุทธเจ้าทำได้เป็นคนแรก มีฤๅษีชีไพรที่ทำได้มาก่อนนะ
หลักการก็คือว่าต้องทำสมาธิให้ถึงจุดที่จิตมีความบริสุทธิ์
จากความคิดนั่นคิดนี่ หรือว่าอยากจะให้ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่



จิตของทุกคนน่ะ เริ่มต้นขึ้นมานะตอนที่ยังไม่มีสมาธิบริสุทธิ์
มันมีความอยากจะให้ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่กันทั้งนั้นแหละ
โดยเฉพาะที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นเทพ ตัวเองเคยเป็นพรหม
ตัวเองเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นราชามหากษัตริย์ เป็นผู้มีชื่อเสียงนะ
มันมีปมฝังแน่นแบบนี้กันอยู่ด้วยกันทุกคน



ถ้าบอกว่าชาติก่อนเคยเป็นหมามาก่อน
อุ๊ย
! ไม่เอาๆ ไม่เคยนะ ฉันไม่ได้เป็นแน่ ไม่ใช่ฉันแน่ๆ
ความตั้งไว้ก่อน ตั้งสเปกไว้ก่อนว่าตัวเองต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้
ตัวนี้แหละที่เรียกว่าอคติ ที่เรียกว่าความลำเอียง
ที่เรียกว่าเป็นตัวที่จะทำให้จิตเพี้ยน ไม่สามารถที่จะรู้ตามจริงได้

โดยเฉพาะประเภทอธิษฐานขอให้รู้นะ
ว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน โดยมีปมแบบนี้เป็นพื้นอยู่
มันจะพาไปเห็นว่าตัวเองเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นอะไรดีๆ นะ
ไม่เคยเป็นอะไรเสียหายมาก่อน ไม่เคยเป็นอะไรต่ำๆ มาก่อน



แต่ถ้าเอาแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนะครับ
คือมีสมาธิอันปราศจากมลทิน ปราศจากอคติ

แล้วก็ไม่มีการตั้งไว้ในใจแล้วว่าฉันต้องเคยเป็นนั่นเป็นนี่
ฉันต้องไม่เคยเป็นนั่นไม่เคยเป็นนี่
มีแต่ความบริสุทธิ์พร้อมจะรู้ตามจริงนะ
แล้วสามารถเห็นได้ว่าขณะนี้ที่กำลังเป็นสมาธิ อยู่ในท่านั่ง
มันเหมือนเห็นท่านั่งนี้ชัดนะว่ามีอยู่แค่นี้แหละชีวิตน่ะนะ
ร่างกายถูกยกตั้งด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ มีลมหายใจเข้าออก
มีจิตครองกายอยู่ จิตสว่างบ้าง จิตมืดบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง สงบบ้าง



เสร็จแล้วก็ถอยกลับไปดู เออ เมื่อนาทีก่อนที่จะเข้าสมาธิ
มันเข้ามาอย่างไร มีอาการอย่างไร จิตเป็นอย่างไรถึงได้เข้ามาสู่ความเป็นอย่างนี้ได้
นี่ มันมีความทรงจำที่อยู่ในระยะใกล้
ยืนยันได้ว่า เออ แบบนี้นี่มีนิมิตแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผ่านมา
เสร็จแล้วก็ทบทวนไปเป็นช็อตๆ (
shot) นะ
เมื่อชั่วโมงที่แล้วก่อนเข้ามานั่งสมาธิ ทำอะไรมา
ไปเข้าห้องน้ำ ไปแปรงฟัน ใส่เสื้อผ้าอย่างไร
มันมีนิมิตความจริงที่อิงได้อยู่นะ แล้วเสร็จแล้วก็ย้อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
เมื่อวันก่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมื่อเดือนก่อน ไล่ไปตามลำดับ
คือแต่ละจุดของภาพบนเส้นเวลา มันจะโยงกันให้ดึงความจำที่อ้างอิงได้
ที่รู้ได้ว่าเคยเกิดขึ้นจริง ทยอยมาสู่จิตมากขึ้นๆ



จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ถอยไปได้แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดในวัยเด็ก
จำได้หมดเลย นึกว่าลืมไปหมดแล้ว
ความรู้สึกนึกคิดในวัยเด็ก ย้อนกลับมาชัดเจนกระจ่างราวกับเกิดขึ้นอีกครั้ง
แบบนี้ เราก็ยืนยันได้ว่าเป็นของจริงแน่ๆ
เพราะมันอยู่ในความจำได้ ระลึกได้ว่า เออ นี่มันเคยเกิดขึ้น
เสร็จแล้วถ้าตรงนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องรบกวน
ไม่มีกำแพงขวางของสิ่งที่จะมากั้นขวางความจำยนะ
มันก็จะลงลึกลงไปว่าตอนอยู่ในท้อง ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร


ทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดขณะอยู่ในครรภ์มารดากันหมด แต่จำไม่ได้
คือวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่าเด็กที่อยู่ในท้องรับรู้นะ
สามารถได้ยินเสียง สามารถเห็นภาพ
ฉายแสงไป รู้ได้ว่า เอ นี่มีแสง พิสูจน์ได้นะครับ
แต่ถ้าหากว่าเราให้มานึกตอนนี้ มันไม่อยู่ในความจำ
เพราะว่าตอนนั้นไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการเห็นด้วยตา เห็นโลกแบบนี้
หรือว่าแก้วหูได้ยินเสียงในโลกแบบนี้นะ มันอยู่ในอีกโหมดหนึ่ง
อยู่ในอีกสภาวะหนึ่งที่อยู่ในครรภ์มารดา ที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำนะ


ถ้ามีสมาธิที่มันย้อนลงไปได้ลึกพอ
มันจะกลับมาอีก ความทรงจำขณะอยู่ในครรภ์มารดานะ
มันจะไม่ใช่ของหลอก จะไม่ใช่ของที่ ไม่เคยมั้ง ทำไมจำไม่ได้เลย
มันจะกลับมาราวกับเราเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งนะ
แต่ไม่ได้มีความอึดอัด หรือไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนกับจะหายใจไม่ออกอะไรนะ
มันจะมาเป็นช็อต มันเป็นช็อตที่เด่นแล้วก็กระจ่างชัดนะ
เพื่อให้เป็นสะพานเชื่อมต่อไป
ว่าเรามีความสามารถที่จะย้อนกลับไปไกลกว่านั้นไหม



คนที่ทำได้ คืออาจจะมีบุญเก่าหรือว่าจะมีกำลังสมาธิ
ฐานกำลังของสมาธิ ที่เหลือเฟือมากพอที่จะพาไปช่วงก่อนที่จะเข้าท้องแม่ได้
คือมันจะเหมือนกำแพง มันจะเหมือนกับอะไรที่ปีนยากนะ
เพราะการระลึกชาติได้ พระพุทธเจ้าท่านให้นับเป็นวิชชาแรกนะ
คืออวิชชา ไม่ได้มีแค่อวิชชาในการไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ
แต่ยังมีอวิชชาอันเกิดจากการไม่รู้ว่าชีวิตนี้ได้มาอย่างไร
ชีวิตก่อน หน้าตามันเป็นอย่างไร นี่อวิชชา เรียกว่าอวิชชา
ที่ไม่รู้ว่ามีชาติก่อน พระพุทธเจ้าเรียกว่าอวิชชา


ถ้าเราสามารถที่จะถอยกลับไปก่อนที่จะเข้าท้องแม่ได้
อันนี้เรียกว่าวิชชาแรก วิชชาที่เราสามารถรู้ได้ว่า
ก่อนเกิดมาเป็นแบบนี้ มันมีอะไรนำหน้ามาก่อนหน้านั้นอยู่จริงๆ

ซึ่งสัตว์ทั่วไปจะไม่รู้ และเพราะไม่รู้นั่นแหละถึงได้หลงวน
ทำบุญทำบาปแบบไม่สนใจนะว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า
นึกว่าตายหนเดียวแล้วก็เกิดหนเดียว
แต่พอเกิดวิชชาแรกขึ้นมา รู้ว่าก่อนเกิดมาเป็นแบบนี้มีอะไรนำหน้ามาก่อนนะ
แล้วอะไรที่เคยเกิดขึ้นก่อนนั้นแหละ ที่ให้ผลมาเป็นสภาพความเป็นเช่นนี้
คราวนี้จะไม่ทำบุญทำบาปแบบมั่วๆ แล้ว
คือมันจะทำบุญทำบาปแบบรู้จริงๆ ว่าที่กำลังทำๆ อยู่
ไม่ใช่ไม่มีผลนะ เดี๋ยวมันจะมีผล



เมื่อกี้พูดถึงวิชชาข้อแรกแล้ว ก็เลยจะพูดถึงวิชชาข้อที่สอง
คือคนเรามีอวิชชา ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าชีวิตนี้มีชีวิตก่อน
แล้วก็มีอวิชชาที่ปิดบังให้ไม่รู้นะว่า
ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ มันเป็นไปตามกรรม
ถ้าเห็นว่าสัตว์จุติ คือเคลื่อน แล้วปฏิสนธิ คืออุบัติ
ในภพภูมิใหม่ตามเหตุปัจจัย สมควรแก่กองบุญกองบาป
นี่เรียกว่าเป็นการชำแรกอวิชชาที่สองนะ
มีวิชชาที่สอง คือรู้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ตรงนี้มันถึงจะเป็นของจริงนะ
คือรู้ของตัวเองก่อน แล้วไปรู้ของคนอื่นด้วย



อวิชชาที่สาม อวิชชาสุดท้าย
คือไม่รู้ว่ากายใจนี้ ทุกภพทุกชาติเลย มันเป็นเหยื่อล่อให้หลงยึด
นึกว่าเป็นตัวเรา นึกว่าเป็นของๆ เรา นึกว่าเป็นก้อนอะไรก้อนหนึ่งที่เรียกว่าอัตตาแน่ๆ
มีอัตตาอยู่จริงๆ นะ ไม่ที่นี่ก็ที่อื่น ภพภูมิอื่น
ตัวนี้ ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นความไม่เที่ยงของกายใจในชาติใดชาติหนึ่งได้แจ้งได้ขาด
มันก็ไม่มีเศษไม่มีสภาพที่คงค้าง ให้ต้องไปชดใช้ความไม่รู้กันต่อไปในชาติหน้านะ
กลายเป็นการทำลายอวิชชาที่สาม อวิชชาขั้นสุดท้าย
ที่เป็นสุดยอดจริงๆ เป็นที่สุดของความเป็นพุทธจริงๆ



สรุปคือไม่ใช่ว่าเราทำสมาธิแล้วอธิษฐานว่าขอให้เห็นนั่นเห็นนี่
แต่ต้องมีนิมิตที่อิงความจริงประกอบอยู่ด้วยนะ

แล้วนิมิตที่อิงความจริงประกอบอยู่ ทางพุทธศาสนา หายใจก่อนเลย
หายใจเข้าหรือหายใจออก นั่งอยู่หรือนอนอยู่
เห็นนิมิตทางกาย เห็นนิมิตของลมได้ จากนั้นถึงค่อยเขยิบขึ้นไปนะ
ดูว่าที่ผ่านมานาทีนี้ นาทีก่อนน่ะ มีนิมิตแบบไหนเกิดขึ้น



อย่างคนปกติ ทบทวน มันจะเกิดภาพแค่แวบเดียว
พูดถึงเมื่อวาน มันจะมีเหตุการณ์ที่ขึ้นใจแค่เรื่องหรือสองเรื่องปรากฎแวบขึ้นมา
แต่ถ้าหากว่าเป็นสมาธิขั้นสูงนะ สมาธิที่เกิดจากการอิงความจริงนะ
เช่น หายใจเข้า หายใจออก กำลังนั่งอยู่ หรือว่ากำลังยืนอยู่
จะมีสมาธิที่ตั้งมั่นคงเส้นคงวามากพอ ที่จะเห็นเป็นช็อตๆ เลยนะว่า
ที่เราคิดอ่านทำการหรือว่าเคลื่อนไหวในอิริยาบถหนึ่งๆ ในเหตุการณ์หนึ่งๆ
มันเกิดขึ้นอย่างไร ให้ความรู้สึกอย่างไร สัมผัสอย่างไร
ราวกับว่าเหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง
อันนี้จะชัวร์เลยว่า เราไม่ได้เห็นของเก๊ มันมีความจริงปรากฏอยู่ เคยปรากฏอยู่แน่ๆ
แล้วเราแค่มีสติระลึก เห็นชัดด้วยสมาธิที่ตั้งมั่นคงเส้นคงวา



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP