วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๔



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ด้านหลังคฤหาสน์ศิวาดล เวลาสามทุ่มเศษ

            “ไอ้แก่...จำฉันได้มั้ย...ไม่เจอกันนานเลยนะ”

            บุคคลที่ยืนประจันหน้าสองผู้เฒ่าเป็นหญิงวัยหกสิบกลาง ๆ รูปร่างท้วม ผิวขาว แก้มเป็นพวงย้อยดูไม่มีพิษไม่มีภัย หากจะไม่เห็นแววอำมหิตในดวงตา น้ำเสียงแฝงความแค้นร้ายแรง

            สองเฒ่าไม่มีเวลาคิดทบทวนความทรงจำใด พยายามใช้กำลังสมาธิตั้งมั่นค้ำยัน ‘รอยอาคม’ บนแผ่นหลัง ไม่ยอมให้มันซึมแทรก จู่โจมหัวใจ

            พวกเขาเพียงรับรู้ ‘ผู้ทรงเวทในเงา’ ตัวจริงเป็นป้าแม่ครัวแก่ ๆ ร่างท้วม ซึ่งไม่มีใครเชื่อเด็ดขาดว่าจะวางแผนร้ายกาจ อดทนรอคอยการแก้แค้นนานปีขนาดนี้

            ผู้ทรงเวทในเงาเห็นไม้ตายของตนยังไม่สัมฤทธิ์ผลทันที เพราะสองผู้เฒ่าใช้กำลังสมาธิป้องกันเอาไว้...โอกาสแก้แค้น ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้มีไม่บ่อยนัก หากเหยื่อทั้งสองรอดจากที่นี่ไปได้ โอกาสแก้แค้นยิ่งลำบากกว่าเดิม

            ใบหน้าอวบอูมแสยะรอยยิ้มน่ากลัว ขยับริมฝีปากกล่าวคำอาคมออกมาสำทับอีกสองสามคำ หวังใช้มันเผด็จศึกสองเฒ่า ปิดบัญชีที่ค้างคานานปีเสียที

            ...ดูสิว่า..อาคมของตน กับปราการสมาธิตาเฒ่า สิ่งใดแข็งแกร่งกว่ากัน...

            ...พรึบ...พลังอาคมแผ่ปะทะร่างสองชายชรา หวังเพิ่มอำนาจแก่รอยอาคมด้านหลัง กระตุ้นให้มันออกฤทธิ์ทำลายล้างคู่อาฆาตทันที

            ทว่า...ผลกลับเป็นตรงข้าม เมื่ออาคมระลอกสองกระทบรอยอาคมกลางแผ่นหลัง บังเกิดแรงผลักดันประหลาด ย้อนอาคมนั้นคืนมาสู่ผู้ส่งทันที

            ...โอ๊ะ...ผู้ทรงเวทในเงาผงะ ถอยหลังสามก้าว ใบหน้าซีดเผือดสลับแดงฉาน ปู่เผด็จเกร็งมือกำหัวไม้เท้าแน่นเพื่อใช้ค้ำยัน ทรงตัว ปู่คงคาผ่อนลมหายใจช้า ๆ นึกหวาดเสียวหวุดหวิด รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านปากประตูนรกออกมา

            อาคมระลอกสองที่หวังเผด็จศึก ทำลายปราการสมาธิสองผู้เฒ่า ส่งผลเป็นตรงกันข้าม เกิดแรงดีดสะท้อนกลับ พร้อมดึงดูดอาคม ยาสั่งบางส่วนคืนกลับไปยังเจ้าตัวผู้ส่งด้วย
            
            ผู้ทรงเวทในเงาคาดไม่ถึงเด็ดขาด สองชราจะมีหมากป้องกันตัวตานี้
            
            ...ขิงแก่ เผ็ดร้อนกว่าจริง ๆ...



            ก่อนการปะทะรอบสามจะเกิดขึ้น แม่แววที่เดินนำหน้าไปหลายก้าว พอไม่เห็นมีใครตามมา ก็เหลียวหลัง ส่งเสียงร้องถาม

            “อ้าว...คุณตา ป้าแมว ยืนคุยอะไรกัน ไม่ไปต่อเหรอ” พูดพลางเดินย้อนกลับมาอย่างสงสัย ไม่เข้าใจ

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาได้จังหวะพักหายใจ เมื่อครู่ตอนโดนลอบทำร้าย จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิอัตโนมัติเพื่อป้องกันตัว พออีกฝ่ายจู่โจมรอบสองก็รีบใช้วิชาก้นหีบออกมาพร้อมกัน...

            มันคือวิชา ‘สะท้อนอาคม’ ที่ฝึกฝนไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เผื่อพลาดพลั้งตกเป็นเบี้ยล่างฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้

            วิชาสะท้อนอาคมใช้ได้เพียงครั้งเดียวในหนึ่งการต่อสู้ เพราะเป็นการรวบรวมกำลังที่เหลือดีดสะท้อนพลังฝ่ายตรงข้ามคืนกลับโดยไม่ทันให้รู้ตัว

            พอใช้เสร็จแล้ว เรี่ยวแรงตอบโต้ ยืนหยัดแทบไม่มี หากอีกฝ่ายโต้กลับได้ พวกตนคงต้องยืนรับความตายอย่างเดียว

            วิชานี้...หากไม่แก่เฒ่าร่วงโรย จนออกแรงรบรากับใครไม่ไหวคงไม่คิดฝึกฝน ต้องขอบคุณการได้สั่งสอนลูกศิษย์อัจฉริยะอย่างพิจิก เมษา ทำให้พวกท่านรู้ว่า...คลื่นลูกใหม่เป็นสิ่งประมาทไม่ได้เลยจริง ๆ คนแก่จำเป็นต้องมีไม้ตายไว้ป้องกันตัวยามคับขัน



            ขณะแม่แววเดินมาถึง สองผู้เฒ่ากับหนึ่งหญิงชรา ต่างบาดเจ็บพอสมควร ไม่สามารถทำอะไรต่อกันได้ จึงปรับสีหน้าท่าทีปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “อ๋อ...ไม่ได้คุยเรื่องสำคัญอะไรกันหรอก ไปกันเถอะแวว” ป้าแมวชิงพูดก่อน สีหน้ากิริยากลายเป็นแม่ครัวใหญ่คนเดิมทันที

            สองผู้เฒ่าไม่กล้าขยับตัวหันหลังเปิดโอกาสให้ผู้ทรงเวทในเงาเป็นรอบสอง จึงแค่เปิดทางให้ป้าแมวเดินผ่านช้า ๆ นำทางในฐานะผู้เหย้า

            ปู่เผด็จลอบตรวจสอบสภาพร่างกายตน พบว่าไม่อาจยืนหยัดได้นาน จำเป็นต้องปลีกตัวจากคู่ต่อสู้ก่อน

            ปู่คงคารู้อาการตนเองดี สภาพไม่ต่างจากอดีตเพื่อนรัก ใจหนึ่งอยากหนี อีกใจนึกเป็นห่วงหลานสาว จึงลังเล ไม่แน่ใจควรก้าวตามต่อ...หรือถอยหลังกลับ

            “พ่อ...”

            “คุณปู่...”

            เสียงคุ้นหูดังจากด้านหลัง

            คนที่ช่วยตัดสินใจแทนสองผู้เฒ่าเดินกึ่งวิ่งมาหา ท่าทางร้อนรน เป็นห่วง...มีนา หลานสาวปู่คงคา และผู้การพฤกษ์ ลูกชายปู่เผด็จ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนเกิดเหตุปิศาจดลดารา รายา พรนรีปรากฏตัวในห้องจัดเลี้ยง ทุกคนต่างหนีกันจ้าละหวั่น มีนากุมตะกรุดที่คล้องคอแน่น เกือบกรีดร้องตามหญิงสาวคนอื่น พอได้ยินเสียงหวีดร้องดังระงม ผู้คนสับสนวุ่นวายขนาดนั้น ก็ลืมกลัวผีชั่วขณะ หาทางเอาตัวรอดจากการถูกเหยียบ ถูกชนไว้ก่อน

            “มีน...มากับพ่อทางนี้” ผู้การพฤกษ์ตะโกนเรียก

            ช่วงเวลานั้น ท่านผู้การกำลังหาทางหนี หลบหลีกผู้คน จนพลัดหลงกับสารวัตรธงรบ มองเห็นประตูทางออกด้านข้างมีผู้คนออกันน้อย กำลังจะไปทางนั้น หางตาเหลือบเห็นลูกสาวเพื่อนกำลังยืนตัวสั่นงันงกที่โต๊ะตัวเองจึงเปลี่ยนใจรีบเข้าไปช่วย

            สำหรับท่านผู้การ...ลูกสาวเพื่อนสนิทคนนี้เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เขาจึงรักเป็นห่วงเหมือนลูกสาวตัวเอง พอเห็นยืนละล้าละลัง ตัวสั่นเกือบโดนชนแบบนั้น อดไม่ได้ต้องช่วยเหลือ ลากแขนออกจากประตูห้องจัดเลี้ยงด้านข้างเป็นกลุ่มสุดท้าย ก่อนประตูปิดดังปัง...ล็อกสนิท

            ทั้งสองพยายามเลือกทางหนีด้านผู้คนไม่แออัด หลบซอกซอนหวังว่าจะได้ออกไปนอกตัวคฤหาสน์โดยเร็ว ด้วยความไม่คุ้นเคยเส้นทาง หนีไปหนีมากลับพลัดหลงลงมายังชั้นใต้ดินโดยไม่รู้ตัว

            บริเวณชั้นใต้ดิน สัญญาณโทรศัพท์อ่อน ไม่สามารถรับการติดต่อสื่อสารกับใครได้

            มีนาสังเกตบริเวณรอบ ๆ รู้สึกคุ้นตาเพราะเมื่อตอนเย็นเพิ่งมาถ่ายทำรายการในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวศิวาดล โดยมีแพรพลอยเป็นพิธีกรแนะนำ

            “เราหนีมาผิดทางแล้วค่ะพ่อพฤกษ์” มีนาบอก “ตรงนี้เป็นชั้นใต้ดิน ไม่มีทางออกไปนอกคฤหาสน์ได้หรอก”

            “เวรกรรม ขอโทษที พ่อพามาผิดทาง” ผู้การพฤกษ์ตอบ “งั้นรีบกลับขึ้นไปเถอะ”

            มีนาตอบรับ กำลังจะเดินย้อนกลับทางเดิม สายตาเหลือบเห็น ร่างเลือน ๆ ดูเป็นเค้าโครงมนุษย์ แต่งกายโบราณ หนึ่งชายหนึ่งหญิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก

            หญิงสาวรีบเกาะแขนคุณพ่อจำเป็นแน่น มือเย็นชื้น หน้าซีดเผือด พยายามเบือนหน้าหนี แต่คนโบราณเหล่านั้นกลับยืนดักทุกจุดที่หล่อนหันไปมอง

            ริมฝีปากสั่น ฟันกระทบกันดังกึก ๆ ส่งเสียงกรีดร้องไม่ออก...เมษาพูดไม่ผิดที่บอกว่าพี่สาวหล่อนกลัวผีขนาดหนัก ที่กลัวเพราะเธอเป็นพวก ‘คนเห็นผี’ ไม่ต่างจากน้องสาว แต่ที่ผิดกันลิบลับคือ จิตใจเธอไม่มั่นคง ปราศจากความหวาดกลัวอย่างเมษาเท่านั้น

            “เห็นอะไรหรือลูก” ผู้การพฤกษ์ถามเสียงเบา อ่อนโยน...การมีทั้งพ่อ และลูกชายเป็นผู้ทรงเวท ต่อให้ตนเองไม่เคยเห็นผี ไม่มีสัมผัสพิเศษ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องพวกนี้เลย

            “ผะ...ผี...คนโบราณ...เต็มไปหมด...” มีนาตอบปากสั่น หากผู้การพฤกษ์ไม่อยู่ข้าง ๆ แบบนี้ เธอคงร้องโวยวาย เปิดตูดแน่บ ไม่ก็ยืนฉี่ราดตรงนี้ไปแล้ว

            “ตั้งสติดี ๆ นะลูก...ลองสังเกตสิ เขาต้องการอะไร” ผู้อาวุโสกว่ามีจิตใจหนักแน่น สติมั่นคง ค่อย ๆ แนะนำลูกสาวเพื่อนอย่างใจเย็น

            “หนูกลัว...ไม่กล้ามอง” มีนาตอบอย่างไม่อาย

            “ตะกรุดยังห้อยคออยู่จะกลัวอะไร” คุณพ่อจำเป็นส่งเสียงหนักแน่น เรียกกำลังใจ “เชื่อมั่นในของขลังที่หนูมี...ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ตั้งสติแล้วสังเกตให้ดี พวกเขาต้องการบอก หรืออยากให้เราช่วยทำอะไร”

            สัมผัสตะกรุดที่คอ จิตใจอบอุ่นขึ้นมา น้ำเสียงหนักแน่นของผู้การพฤกษ์ช่วยให้หล่อนกล้าหาญขึ้น

            “พวกเขา...เหมือน...จะพาเรา...ไปดูอะไรบางอย่าง” มีนาอ่านกิริยาภูตผีได้อย่างนั้น

            “งั้นตามไปเลย” นายตำรวจใหญ่สั่งโดยไม่ลังเล สงสัย

            “ไม่เอา...หนูกลัว” แค่นี้ขาก็สั่นพั่บพั่บแล้ว “หนูไม่กล้าเดินตามพวกเขาหรอก”

            ผู้การพฤกษ์บีบมือหญิงสาวแน่น ถ่ายทอดพลังใจ

            “ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่นี่...เราจะไปด้วยกัน”

            มีนาสูดลมหายใจยาวลึก เรียกความกล้าหาญ...ความมั่นใจขึ้นมา ก่อนฝืนพยักหน้ารับ

            ...ไปก็ไป...เป็นไงเป็นกัน...



            ปิศาจคนโบราณเป็นอิสระชั่วคราว ในช่วงเวลาพลังมืดถดถอย...พวกเขาพาผู้การพฤกษ์ มีนาเดินเข้าไปในห้องเล็กที่อยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ ดูภายนอกไม่มีอะไรสะดุดตา ข้างในใช้เก็บของ วางชั้นข้าวของระเกะระกะ พอเลื่อนฉากบังตามุมห้องออก กลับพบบันไดเล็กทอดสู่เบื้องบน

            ทั้งสองเดินตามดวงวิญญาณนำทางเงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงไถ่ถามกัน ต่างต้องการทราบจุดหมายปลายทาง อยากรู้จุดประสงค์จริงที่พวกเขามาเธอมาแบบนี้

            บันไดพาขึ้นมายังชั้นที่หนึ่ง จากนั้นมีทางเดินแคบ พอเรียงเดี่ยวแบบไม่อึดอัดนัก น่าจะเป็นทางลับภายในคฤหาสน์ซึ่งมีไม่กี่คนรู้...

            เส้นทางนี้มีแสงสลัว พอมองเห็นราง ๆ เดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกใกล้ห้องจัดเลี้ยง พบแสงสว่างลอดออกมาเป็นลำเล็กๆ

            มีนาจูงมือคุณพ่อจำเป็นมาที่รูแสงนี้ ชี้มือเป็นเชิงบอกว่า ภูตผีนำทางแนะนำให้มาดู

            ทั้งสองแนบดวงตากับรูกลมที่ติดไว้ ลักษณะคล้ายช่องตาแมว สำหรับคนข้างในไว้ลอบดูพฤติกรรมคนภายนอก สงบใจเก็บเสียงลมหายใจให้แผ่วเบาที่สุด จนได้ยินเสียงจากภายนอกแว่วเข้ามา

            ห้องที่ทั้งคู่มองเห็นเป็นห้องรับรองเล็ก ติดกับห้องจัดเลี้ยง ซึ่งขณะนี้มีสองคนยืนคุยกันอยู่ภายใน...

            “ไหน ‘คุณ’ บอกว่า...ถ้าอยู่ในศิวาดล เราจะพูดจาติดต่อกันซึ่งหน้าแบบนี้ไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ทั้งคน ทั้งผีรู้ความสัมพันธ์ของเรา” คนแรกในห้องคือแพรพลอย

            “นั่นมันเมื่อก่อน...ตอนนี้ไม่จำเป็น...ต่อให้ภูตผีหรือใครจะรู้ว่าแกกับฉันเป็นอะไรกัน ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เดือดร้อนอีกแล้ว” อีกคนเป็นหญิงชราร่างท้วม ลักษณะเหมือนแม่ครัว แต่สีหน้าท่าทางดูมีอำนาจ

            “คุณมีธุระอะไรกับหนู” แพรพลอยรีบเข้าประเด็น

            “นังผีพวกนั้นมันตลบหลังเรา”

            “ตลบหลังยังไง ตะกี้ก่อนประตูจะปิดล็อค หนูยังเห็นพวกมันยืนล้อมนายศิวา ทำท่าเหมือนจะหลอกหลอน หักคอให้ตาย”

            “พวกมันหักคอใครไม่ได้หรอก” หญิงชราบอกแล้วหยุดพูดชั่วขณะ ทำท่าเหมือนเงี่ยหู คล้ายสัมผัสเสียงผิดปกติ สิ่งแปลกปลอมบางอย่างรอบห้องได้...แต่แล้ว สัมผัสนั้นก็เจือจาง จนคิดว่าตนเองหวาดระแวงมากเกินไป เลยไม่ใส่ใจรีบพูดต่อ...

            “ตอนนี้พวกมันน่าจะบอกความจริงให้ไอ้ศิวารู้แล้วล่ะว่า ถูกพวกเราหลอกใช้!”

            “ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่” แพรพลอยไม่ใส่ใจ “ศิวาดลเป็นของหนูแล้ว ส่วนนังผีพวกนั้นก็ช่วยเปิดโปงความผิดเรื่องการจารกรรมข้อมูลจนหมด นายศิวาน่าจะวุ่นวาย ปวดหัวพักใหญ่”

            “อย่าประมาท ไอ้ศิวามันยังมีพิษสงอยู่...ถ้าจะเชือดต้องไม่พลาด มีดไม่บาดมือเราได้!”

            “ได้ค่ะ...งั้นหนูจะกลับไปแสดงบทเมียรัก หัวอ่อนผู้ถูกแม่บ้านใหญ่หลอกใช้ต่อก็แล้วกัน”

            “ดี...คืนนี้ฉันจะได้สะสางบัญชีแค้นให้หมดสิ้นเหมือนกัน!”

            ทั้งสองแยกกันในลักษณะนี้ ผู้การพฤกษ์ มีนาถอยหลังจากช่องตาแมว ในหัวอื้ออึงด้วยความไม่เข้าใจ รู้แค่ต้องจดจำคำพูด เรื่องราวที่เห็นเมื่อครู่อย่างละเอียด ไม่ยอมให้ตกหล่นมากที่สุด

            ภูตผีนำทางแสดงสัญญาณว่าต้องไปต่อ...มีนาคลายความกลัวลงเกือบครึ่ง จับมือผู้การพฤกษ์เดินภายในเส้นทางลับวกวน ซอกซอนพักใหญ่ นานร่วมสิบห้านาที กว่าจะเจอประตูทางออก

            ประตูทางออกอยู่ใกล้ห้องครัวศิวาดล ทั้งสองพอจำเส้นทางได้ ตั้งใจออกไปทางด้านหน้าคฤหาสน์ แต่ผู้นำทางกลับจงใจชี้ให้มาทางห้องครัว

            มีนาตัดใจยอมเชื่อโดยไม่มีเหตุผล กระตุกมือผู้การพฤกษ์ให้เดินตาม ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงห้องครัวซึ่งปราศจากผู้คน ชั่วเวลานั้นทั้งสองเกิดสังหรณ์ร้ายขึ้นแวบหนึ่ง...

            ผู้การพฤกษ์ปล่อยมือมีนา เดินมายังหน้าต่างครัวอย่างไม่เข้าใจ พยายามสอดสายตามองออกไปข้างนอก แล้วเบิกตากว้างด้วยความตระหนก

            เขามองเห็นหญิงชราร่างท้วมที่พบในห้องรับรองแขกเมื่อครู่ใหญ่ สาดอะไรบางอย่างใส่กลางหลังสองผู้เฒ่า จากนั้นใช้นิ้วมือขีดเขียนอักขระโบราณตรงกลางหลังอย่างรวดเร็ว...เร็วจนเขาตะโกนร้องเตือนไม่ทัน

            นายตำรวจใหญ่รีบพามีนาออกจากห้องครัวทางประตูด้านหลังอย่างรวดเร็ว มองเห็นในระยะไม่ไกลนักว่าสองผู้เฒ่ากำลังหันมาเผชิญหน้ากับหญิงชรา ขณะผู้หญิงที่เดินนำหน้าได้ย้อนกลับมาร้องถามโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

            ผู้การพฤกษ์จูงมือมีนาเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา ก่อนตะโกนร้องเสียงดัง

            “พ่อ...”

            “คุณปู่...” มีนาได้ยินอย่างนั้นจึงเรียกตาม

            หารู้ไม่ว่า ตนเองช่วยคลี่คลายสถานการณ์แก่สองผู้เฒ่าอย่างเฉียดฉิวพอดี




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ห้องตรวจรักษาเปิดไฟสลัวดวงเดียว กลิ่นกำยานกรุ่นกำจาย พิจิกนอนเหยียดยาวบนเตียง แขนข้างที่โดนของมีเข็มฝังตามจุดเจ็ดแปดเล่ม ตั้งแต่ข้อมือลงไปถูกพันด้วยผ้าขนหนูสีขาวชุบน้ำอุ่น วางบนชามกระเบื้อง ภายในมีสมุนไพรแห้งเผารมควันขึ้นมาเป็นระยะ

            เมษานั่งกึ่งเอนนอนบนเก้าอี้นวมข้างเตียง ร่างกายอ่อนเพลียแทบหมดแรง...นี่เป็นค่ำคืนอันยาวนานคืนหนึ่งของหล่อนทีเดียว

            ...พิจิกต้องผ่านการรักษาสารพัดแบบกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้...



            ครูแกลงเริ่มจากการฝังเข็มสะกดไม่ให้ ‘ของ’ ไหลเวียนสู่หัวใจ พิจิกจะได้ไม่ต้องใช้สมาธิมากดข่มยับยั้ง...จากนั้นใช้ปลายนิ้วรีดตั้งแต่ต้นแขนถึงปลายนิ้วพิจิก โดยสวดอาคมกำกับตลอดสาย ปรากฏว่าของอาถรรพณ์นั้นไม่ยอมเคลื่อนออกมาแม้แต่หยดเดียว

            เมื่อวิธีแรกใช้ไม่ได้ผล ครูแกลงนิ่งคิดครู่ใหญ่ ก่อนทดลองใช้วิธีที่สอง สาม สี่...แต่ละวิธีล้วนผิดแปลกจากสารบบการรักษา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างสรรค์ด้วยการผสานอาคม ฝังเข็ม และยาสมุนไพร

            เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ทุกวิธีที่ทดลองล้วนไม่สำเร็จ จำเป็นต้องเสี่ยงใช้วิธีสุดท้าย

            ...อาคมถอนอาคม...

            “ไหนทวดบอกว่า...ถ้าใช้วิธีนี้ ‘ของ’ ที่ถูกถอนออกมาจะเข้าตัวคนที่ช่วยถอน...ไม่เอานะ ผมไม่ยอมให้ทวดมาเสี่ยงเด็ดขาด” ตี๋เล็กยืนกรานไม่ยินยอม

            “ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน” พิจิกเห็นด้วยกับเด็กหนุ่ม “ถ้าครูแกลงเป็นอะไรไป ผมจะบอกปู่ว่ายังไง”

            “ถ้าต้องเอาชีวิตครูแกลงมาเสี่ยง...ก็...ปล่อยจิกมันไว้อย่างนี้เถอะค่ะ...ทั้งปู่และหนูไม่ยอมแน่ๆ”

            ท่านผู้เฒ่าอมยิ้มมองเหลนวัยรุ่นและหนุ่มสาวทั้งสองอย่างอ่อนใจ

            “จะมาห่วงอะไรกับคนอายุเกือบร้อยแบบนี้หืมม์...” ท่านสบตาทุกคน “แล้วฟังให้ดีนะ...ที่เราบอกว่า...ใช้อาคมถอนอาคมน่ะ...เราถอนแค่อาคมกำกับของมัน ไม่ได้บอกสักคำว่าจะถอน ‘ของ’ ออกมาด้วย”

            คนฟังงุนงง อาจารย์ใหญ่ค่อยอธิบายเพิ่ม

            “เอาอย่างนี้...ยกตัวอย่างง่าย ๆ แบบเห็นเป็นรูปธรรมเลยนะ...การจะเสกหนังควาย หรือเสกตะปูเข้าท้องใครสักคน มันต้องมีวัตถุที่จับต้องได้ อย่างหนังควาย หรือตะปูใช่มั้ย...และในพิธีกรรมนั้น มันต้องมีคาถา อาคมกำกับซึ่งเป็นพลังงานสำคัญเพื่อใช้แปรรูปวัตถุอย่างหนังควาย ตะปูให้เข้าไปอยู่ในท้องคนได้...”

            “ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับ ดวงตาฉลาดเข้าใจรวดเร็ว

            “ในร่างกายพิจิกก็มี ‘ของ’ อยู่เหมือนกัน...แต่มันไม่ใช่ของที่เป็นวัตถุ มีรูปร่างจับต้องได้เหมือนพวกหนังควาย ตะปู” ครูแกลงมองลูกศิษย์ หลานศิษย์ก่อนอธิบายต่อ “ของในร่างพิจิกเป็นพลังงานชนิดหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีรูปร่างจับต้องได้ก็จริง แต่มันทำให้แขนเปลี่ยนสีเป็นดำมะเมื่อมอย่างนี้ และสามารถจู่โจมเข้าสู่หัวใจทำให้มันหยุดเต้นได้เช่นกัน”

            ทุกคนตั้งใจฟังตาแป๋ว ท่านผู้เฒ่ายิ้มละไมเอ็นดู

            “และนอกจากพลังร้ายชนิดนี้แล้ว...มันยังมีอาคม คาถาที่กำกับ เป็นพลังงานอีกชนิดหนึ่งซึ่งช่วยเพิ่มอานุภาพความร้ายกาจของมัน จนยากจะมีใครถอดถอนได้”

            “สิ่งที่เราจะทำก็คือ ฝังเข็มสะกดพลังงาน ‘ของ’ ไว้ไม่ให้มันขยับเคลื่อนได้ แล้วใช้พลังงานอาคมที่กร้าวแกร่ง แข็งแรงกว่า ดึงดูดอาคม คาถา พลังงานที่กำกับของเหล่านั้นออกมาทำลายให้สิ้นซาก จากนั้นค่อยฝังเข็มเปลี่ยนจุดใหม่ ผสานกับการใช้สมุนไพรก็จะสามารถถ่ายเท ‘ของ’ พลังร้ายออกมาได้อย่างสะดวก ปลอดภัย”

            ฟังจากหลักการแล้วเข้าใจไม่ยาก...ความยากลำบากอยู่ตรงที่ต้องใช้พลังงานอาคมที่แกร่งกล้าขนาดไหน จึงจะแยกและดึงดูดอาคมที่กำกับ ‘ของ’ ออกมาทำลายให้สิ้นซากได้

            “ทวดทำคนเดียวไม่ได้หรอก” ตี๋เล็กรู้กำลังของท่านผู้เฒ่าดี “แล้วผมก็จะไม่ยอมให้ทวดฝืนช่วยพวกเขาด้วย”

            “ถ้าเพิ่มผู้ช่วยทวดมาด้วยล่ะ...พอไหวมั้ย” ครูแกลงถามเป็นเชิงทดสอบเด็กหนุ่ม

            “คนนั้นต้องมีพลังจิตพอกับทวดนั่นแหละ หาได้ที่ไหนอีก” ตี๋เล็กตอบ

            “นั่งอยู่นี่ไง” ครูแกลงชี้มาทางสองหนุ่มสาว

            “เจ๊คนนี้เหรอ?” เด็กหนุ่มย้อนถามเสียงสูง และเป็นครั้งแรกที่เมษาเห็นด้วยกับเด็กปากร้ายคนนี้

            “งั้นเพิ่มพี่ผู้ชายคนนี้อีกคน” ทวดยกผู้ช่วยพร้อมรอยยิ้มท้าทาย

            เด็กหนุ่มจ้องมองสองหนุ่มสาวอย่างตั้งใจ พร้อมใช้จิตสัมผัสแผ่ออกตรวจสอบอย่างละเอียด...

            พิจิก เมษาตัวชาวูบหนึ่ง รู้แต่แรกแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงพลังจิตการฝึกปรือยังห่างจากพวกเธอเป็นช่วงตัว แต่หลักการความรู้กลับครอบคลุม กว้างขวางกว่าหลายเท่า

            “ถ้าพี่ผู้ชายคนนี้ไม่ป่วย รวมกำลังกับเจ๊...ก็อาจพอสูสีกับทวด” เด็กหนุ่มประเมินอย่างเป็นกลาง ไม่มีอคติ

            “ต่อให้ป่วย...แต่ถ้าแยกกายกับจิตออกจากกัน...ก็จะสามารถใช้พลังจิตได้โดยอิสระ ไม่มีปัญหา” พิจิกมั่นใจตัวเอง

            “โดยหลักการน่ะใช่” ตี๋เล็กพูด “แต่ในความเป็นจริง เมื่อร่างกายเกิดทุกข์เวทนาแรง ๆ ความเจ็บปวดทางกายจะเชื่อมต่อระหว่างกายกับจิตให้กลับมารวมเป็นอันเดียวกันอยู่ดี”

            “มันอยู่ที่เรา...จิตตั้งมั่นดีพอหรือเปล่า ฝึกฝนมีชั่วโมงบินสูงหรือยัง” พิจิกย้อนอย่างผู้มีประสบการณ์สูงกว่า

            คราวนี้ตี๋เล็กเถียงไม่ออก คนเป็นทวดได้แต่อมยิ้ม...รู้สึกยินดีที่มีคนสามารถทุบ ‘ข่ม’ อัตตาเจ้าตัวร้ายรายนี้ได้

            เด็กหนุ่มฝึกฝน เรียนรู้มากก็จริง...แต่นั่นเพาะให้อัตตาเติบโต...มักรู้สึกว่า ‘กู’ เก่งอยู่เสมอ จนดูก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ไปหลายคนทีเดียว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP