วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๓



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            จิตพิจิกเริ่มคลายตัวจากสมาธิตั้งแต่รถแล่นเข้าเมือง เขารู้สึกถึงพลังมืดที่แขนกำลังขับดันขึ้นมาเป็นระยะ จึงค่อย ๆ ประคองใช้พลังสมาธิที่มีสะกดกั้น เพ่งให้มันหยุดนิ่งไว้

            พอรถจอดหน้าร้าน ชายหนุ่มรับรู้ว่าถึงที่หมาย แต่ยังไม่อาจถอนสมาธิออกมาทันที เพราะใช้กดข่มพลังมืดอยู่ จำเป็นต้องแบ่งกำลังสมาธิส่วนหนึ่งคุ้มครองท่อนแขน แล้วลืมตามาช้า ๆ

            มองเห็นเด็กหนุ่มหน้าใส ตัวสูงยืนอยู่ข้างเมษา รอเปิดประตูรถให้เขาอยู่

            “ถึงแล้ว” เมษาบอกเบา ๆ ไม่อยากรบกวนสมาธิเขามาก “ลงมาไหวมั้ย”

            พิจิกผงกศีรษะ เด็กหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วเข้ามาประคองร่างเขาออกมา ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าร่างกายตนอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรง ยืนแทบไม่ไหว เหงื่อผุดพราวเต็มหน้า

            “อดทนหน่อยนะพี่” เด็กหนุ่มบอกเสียงอ่อนโยน รับรู้สภาพร่างกายเขาทันที “เข้าไปในร้านกันก่อน”

            เมษาเข้าไปช่วยประคองชายหนุ่มอีกแรงหนึ่ง พากันเข้ามาในร้าน มองเห็นเก้าอี้นวมตัวใหญ่วางรอพร้อมสรรพเหมือนทางนี้เตรียมต้อนรับพวกตนอยู่

            พอประคองพิจิกนั่งบนเก้าอี้นวมในท่าสบายเรียบร้อย เมษาอดถามเด็กหนุ่มไม่ได้

            “เอ่อ...น้องรู้ว่าพี่จะมาที่นี่เหรอ”

            “รู้สิ ถึงได้มานั่งรออยู่จนได้ยินเสียงรถจอดหน้าร้านนี่ไง” เด็กหนุ่มตอบ

            “แล้วรู้เหรอว่า พวกพี่มาธุระอะไร” อดถามต่อไม่ได้

            “รู้...ไม่งั้นจะถามถึงพี่ผู้ชายที่มาด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มมองหญิงสาวเหมือนรำคาญที่เธอตั้งคำถามไร้สาระ

            “น้องรู้ได้ยังไง” เมษาถามอย่างสงสัยจริง

            “ย่าเข็มโทรศัพท์มาบอก!” คำตอบง่าย ไม่ซับซ้อน ลึกลับอะไรเลย

            ได้ยินอย่างนี้ความอัดอั้น คาใจก็กระจ่าง...แม่บ้านเข็มทองโทรศัพท์มาบอกทางนี้ล่วงหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไร หนำซ้ำจะได้เตรียมการรักษาไว้ล่วงหน้าด้วย

            พอรู้อย่างนี้ ใจยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม...แม่บ้านเข็มทองเป็นใครกันแน่ มีความเป็นมาอย่างไร...น้ำใจที่แสดงออกมาครั้งนี้มันเกินคาดหมายจริง ๆ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            แม่บ้านเข็มทองเป็นใคร...ความเป็นมาอย่างไร...นอกจากดลดารา ไม่เคยมีใครซักถามเธอตรง ๆ สักที

            ตอนดลดาราฝันเห็นภูตผี ปิศาจจนเกือบประสาทเสีย แม่บ้านเข็มทองหาทางช่วยเหลือเต็มที่ ทั้งสืบหาประวัติความเป็นมาของที่ดินก่อนมาเป็นศิวาดล จนกระทั่งยอมไปขอความช่วยเหลือจากใครบางคน

            น่าเสียดาย คนที่แม่บ้านเข็มทองหวังขอความช่วยเหลือไม่อยู่บ้าน เดินทางไปซื้อสมุนไพรที่เมืองจีน ไม่มีกำหนดกลับแน่นอน

            เธอจึงรออยู่ที่บ้านร่วมสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็หยิบตำราไสยเวทที่เคยศึกษา เรียนรู้สมัยเด็กมาอ่านทบทวน เพื่อหาหนทางช่วยเหลือดลดารา

            หลังจากรอคอยเกือบสัปดาห์ จิตใจเริ่มกระวนกระวาย คนที่ต้องการพบยังไม่มีกำหนดกลับ สุดท้ายแม่บ้านเข็มทองกลับศิวาดล ไม่ทันเห็นวาระสุดท้ายของดลดารา

            ความตายไม่ใช่จุดสุดสิ้น...เมื่อรู้ว่าวิญญาณนายหญิงตนตกอยู่ในสภาพใด แม่บ้านเข็มทองจึงตั้งปณิธาน จะไม่ไปไหนจนกว่าจะช่วยดลดาราสำเร็จ

            ถามว่า...แม่บ้านเข็มทองมีเวทมนตร์ คาถา นับเป็นผู้ทรงเวทคนหนึ่งหรือไม่?

            ...ไม่ใช่...

            เธอแค่มี ‘ของเก่า’ บางอย่าง ซึ่งเป็นพลังพิเศษในตัว สามารถติดต่อดวงวิญญาณในโลกหลังความตาย มีอำนาจจิตแข็งแรงตามธรรมชาติ ภูตผี ปิศาจ กระทั่งผู้ทรงเวทในเงายังใช้อาคมทำร้ายเธอไม่ได้

            เพียงแต่ แม่บ้านเข็มทองไม่เคยสนใจเรียนวิชาอาคมใด ๆ ทั้งที่บ้านเธอเป็นกองสรรพความรู้หาได้ยากยิ่ง ข้างในใจเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่จำเป็นต่อโลกปัจจุบัน

            ตอนเด็กเคยอ่านตำราเวทหลายเล่ม ลองฝึกดูก็สำเร็จง่าย ๆ...ง่ายจนเห็นเป็นเรื่องจืดชืด ไม่เร้าใจ ง่ายจนกลายเป็นของพื้น ๆ ขาดแรงจูงใจให้เรียนรู้ต่อไป

            จนกระทั่งดลดาราเสียชีวิต มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในศิวาดลมากมาย เป้าหมายเดียวที่ทำให้ยังอยู่ที่นี่ คือช่วยปลดตรวนอาคม ปล่อยดวงวิญญาณนายหญิงให้เป็นอิสระ

            ตำราอาคมทุกสรรพวิชาที่เคยอ่าน จดจำ ล้วนถูกนำมาฝึกฝน เพื่อใช้ทำลายพันธนาการอันร้ายกาจพวกนี้

            น่าแปลก...สิ่งที่เคยฝึกฝนสำเร็จง่ายดายในวัยเยาว์ พอถึงวัยกลางคน มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด...ยิ่งใจมุ่งมั่น ตั้งใจรุนแรงแค่ไหน ความสำเร็จยิ่งห่างไกลออกไปทุกที



            คืนที่พิจิก เมษาลอบเห็นพิธีกรรมแม่บ้านเข็มทองในบ้านน้อยหลังนั้น...นั่นคือหนึ่งในหลายครั้งที่คุณแม่บ้านเพียรพยายามใช้อาคมที่ตนเรียนรู้ มาช่วยปลดตรวนให้แก่เหล่าดวงวิญญาณที่ถูกจองจำ

            มันเป็นคืนที่ปิศาจนายทองเข้าไปเก็บตัวฝึกฝนร่ายมนตร์ในรังลับ ไม่รับรู้เรื่องภายนอก และเป็นคืนที่ผู้ทรงเวทในเงา...หรือ ‘คุณ’ ต้องเก็บตัวฝึกฝนอาคมในห้องส่วนตัว

            แม่บ้านเข็มทองใช้โอกาสนี้ พยายามปลดตรวนหลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จเลย

            ครั้งล่าสุด ดลดาราและพวกเมียศิวาบอกว่า จะพาจอมเวทหนุ่มสาวมาดูพิธีกรรมนี้ เผื่อพวกเขาสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายสองหนุ่มสาวกลับหายสาบสูญ กระทั่งภูตผียังหาไม่เจอ

แม่บ้านใหญ่รู้แต่แร            กแล้วว่าสองหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ธรรมดา แต่ดลดาราบอกว่าพวกเขาน่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน และมีความสามารถมาก หากกระโตกกระตากอะไรไปแต่แรกอาจเข้าใจผิด เกิดผลร้าย คอยจับตาดูห่าง ๆ ก็พอ

                        ก่อนวันเปิดรั้วศิวาดล แม่บ้านเข็มทองรู้ว่าสองหนุ่มสาวมีภารกิจสำคัญต้องกระทำ จึงลอบสังเกต เอ่ยปากถามหยั่งเชิง เผื่อสามารถช่วยอะไรได้ แต่ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ไว้ใจเธอ ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร

            คนอย่างแม่บ้านเข็มทองถือตัวอยู่แล้ว ในเมื่อเปิดโอกาสขนาดนี้ สองหนุ่มสาวยังไม่ยอมไว้ใจ บอกจุดมุ่งหมาย เธอก็ไม่เซ้าซี้ ไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ

            จนกระทั่งภูตผีคนโบราณตนหนึ่ง มาเล่าเหตุการณ์ต่อสู้ที่ศาลาแปดเหลี่ยมให้ทราบ

            ...ฝ่ายผู้ทรงเวทในเงาได้ชัย สองหนุ่มสาวได้รับบาดเจ็บ...

            แม่บ้านใหญ่ทำทีตามมาดู เพื่อหาวิธีช่วยเหลือโดยตนเองไม่เสียหน้า

            หลังส่งพิจิก เมษาออกไปแล้ว ก็โทรศัพท์บอกปลายทางว่ามีคนป่วยหนักต้องการรักษา จากนั้นกลับเข้าศิวาดล เผชิญหน้ากับปัญหากองใหญ่ ที่ดลดารา รายา พรนรีทิ้งไว้ให้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ห้องจัดเลี้ยงแทบร้างผู้คน

            ประตูทุกบานปิดล็อก เหล่ารปภ.ทั้งหลายไม่สามารถพังประตูเข้ามาได้ มองผ่านกระจกเข้ามาเห็นแค่หมอกขาวลอยเกลื่อน ไม่มีคำสั่งพิเศษไม่มีใครกล้าพังประตู ทุบกระจก คนภายนอกได้แต่เฝ้ารอคอย

            ภายในห้องนั้น ศิวานั่งโดดเดี่ยวโดยมีร่างปิศาจทั้งสามยืนโอบล้อมแน่นหนา มือทั้งสามคู่เหยียดยาวมากำรอบคอเขาแน่น ดูคล้ายกำลังบีบเค้น

            ศิวาไม่ดิ้นรน หลับตายอมรับชะตากรรม ไม่ว่าผู้หญิงทั้งสามต้องการอะไรจากเขา...ล้วนไม่ปฏิเสธ...แม้แต่ชีวิต

            เวลา...ผ่านไป...ผ่านไปครู่ใหญ่ ละอองหมอกขาวเคลื่อนคล้อยคลายตัว

            ประตูถูกปลดล็อคโดยมือที่มองไม่เห็น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกรูเข้ากระจายทั่วห้องมองหาสิ่งผิดปกติ



            ศิวานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ไม่ขยับไปไหน ลืมตาขึ้นมองร่างสูงราวเปรตของดลดารา รายา พรนรีที่กำลังเลือนหายช้า ๆ หลังจากบอกข้อความหลายอย่างแก่เขา

            แพรพลอยวิ่งเข้ามาหา หน้าตาตื่น เขย่าตัวศิวากลัวเขาเสียสติ เนื่องจากหวาดกลัว ตกใจเกินไป

            “คุณศิวา...คุณศิวา...” เสียงเรียกจากแพรพลอย ปลุกความทรงจำบางอย่างขึ้นมา

            ...เขารู้จักแพรพลอยได้อย่างไรนะ...ศิวาถามตนเอง

            หญิงสาววนเวียนรอบตัวเขามานานปี...ตั้งแต่ก่อนรู้จักดลดารา ตอนนั้นเขาเห็นแพรพลอยเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งน่ารัก แต่ยังไม่ดึงดูดใจ...กระทั่งเธอเข้าวงการบันเทิง ได้รับสมญาเป็นนักแสดงมากฝีมือ

            จนเวลาผ่านไป...นาน...พบกันอีกครั้งหลังพรนรีเสียชีวิตไม่กี่ปี แพรพลอยมีแรงดึงดูดใจมหาศาล ศิวารู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกด ลุ่มหลงหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนจิตใจคอยแต่จะคิดถึงผู้หญิงคนนี้ หัวอกรุ่มร้อนอยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียง ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มตกหลุมรักครั้งแรก

            การแต่งงานเกิดขึ้นรวดเร็วจนคาดไม่ถึง แพรพลอยก้าวมาเป็นนายหญิงศิวาดลเต็มภาคภูมิ...

            แล้วไม่กี่เดือนมานี้...จะด้วยความรัก หลงใหลในตัวหญิงสาว หรือเพราะอะไรบางอย่างที่ตอบไม่ถูก...ศิวาเซ็นโอนมอบที่ดิน คฤหาสน์ศิวาดลทั้งหมดให้แก่แพรพลอยเงียบ ๆ โดยไม่มีคนนอกทราบ

            หลังจากนั้นเขาเริ่มรู้สึกว่าแพรพลอยเปลี่ยนไป อารมณ์แปรปรวนเอาแน่ไม่ได้ ความรักจืดจาง หดหายฮวบฮาบ จนไม่เหลือ แต่ไม่สามารถสลัดทิ้ง เลิกรากันได้ เพราะศิวาดลกลายเป็นของเธอไปแล้ว

            สิ่งเดียวที่ศิวาทำได้คือ...เดินไปบอก ‘เจ้าที่’ ยังเรือนลับ ว่าเขาต้องการขยายกิจการอีกครั้ง ก้าวสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว...ขอให้ช่วยเหลือด้วย

            การขยายงานเป็นไปอย่างราบรื่น...จดหมายถูกส่งมาเหมือนเดิม บอกข้อมูลความลับ ความผิดของบริษัทคู่แข่งอย่างละเอียดจนเขาเล่นงานมันเสียหมอบ

            เจตนาที่เขาขอให้เจ้าที่ช่วยเหลือในด้านธุรกิจครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความละโมบมากมายอะไร

            เขาหวังให้เจ้าที่เรียก ค่าตอบแทน’ ไปอย่างรวดเร็วต่างหาก

            พอคนที่ตายกลับเป็นพยาบาลโสภี ทำให้ศิวาผิดคาด รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

            งานเปิดรั้วศิวาดลคืนนี้ ไม่ได้มีเจตนาเปิดโปงความเลวร้าย เบื้องหลังกลเกมธุรกิจของเขาเพียงอย่างเดียว...ขณะที่ดลดารา รายา พรนรียืนตระหง่านค้ำหัว มือบีบเค้นคอเขา ภาพมันอาจน่าหวาดกลัวในสายตาคนทั่วไป ทว่าในหัวศิวากลับบังเกิดนิมิตเรื่องราวมากมาย ทำให้รู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้มานานแค่ไหน

            ที่สำคัญ ก่อนดลดาราเลือนหาย เธอทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ให้

            “แพรพลอย...เป็นตัวอันตราย!”




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ภายในร้านสมุนไพรจีนดูกว้างขวาง ยาแต่ละประเภทจัดเรียงเป็นระเบียบ มีตู้เก็บยาโดยเฉพาะ ถัดจากส่วนขายของแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ตกแต่งเหมือนห้องตรวจรักษาโรค

            หลังจากพิจิกถูกพามานั่งพักบนเก้าอี้นวมในห้องนี้ เด็กหนุ่มเจ้าของสถานที่ก็จับแขนข้างที่โดนมนตร์ดำขึ้นมาวางพาดบนผ้าขาวนุ่ม แล้วเดินไปหยิบเข็มชุดวางเรียงบนโต๊ะอย่างคุ้นเคย จุดไฟตะเกียงกำยาน ส่งกลิ่นหอมแปลกโชยชาย ชวนให้ผ่อนคลาย

            สมุนไพรจีนหลายชนิดถูกนำมาวางเรียงเตรียมพร้อม น้ำร้อนถูกเทใส่อ่างเคลือบสีขาว แล้วค่อยเขยิบเลื่อนเข้ามาใกล้แขนพิจิกที่วางพาดบนผ้าขาว

            เมษาเห็นอย่างนั้นอดถามอย่างสงสัยไม่ได้

            “น้อง...ทำอะไรน่ะ”

            เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหญิงสาว แสดงความรำคาญให้เห็นชัดเจน

            “อ้าว...ก็มาให้รักษาไม่ใช่เหรอ”

            “เอ่อ...ก็ใช่” เมษากล้อมแกล้มตอบ สีหน้าลังเลไม่แน่ใจ “น้องจะรักษาพี่เขาเองเลยเหรอ”

            “ทำไม” เด็กหนุ่มหยุดมือจากงานที่ทำ ยืดกายเต็มร่างมองหญิงสาวอย่างเอาเรื่อง “ถ้าไม่ไว้ใจ...ไม่รักษาจะกลับไปตอนนี้ก็ได้นะ”

            เจอคำพูดประโยคคล้ายแม่บ้านเข็มทองแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าเป็นย่าหลานกัน

            เมษาพูดไม่ออก ยากทำใจเชื่อว่าเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าหน้าใสอย่างกับนักร้องเกาหลีคนนี้ จะสามารถถอนอาคมอันร้ายกาจที่กระทั่งเธอกับปู่ยังไม่สามารถทำได้

            คนห้ามทัพกลับเป็นผู้ป่วยที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

            “หมวยเล็ก...เราไปไล่ผีครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่?” ได้ยินอย่างนี้เมษาค่อยนึกได้ ตอนนั้นเธอกับพิจิกอายุน้อยกว่านี้อีก แถมโดนดูถูกเหมือนกัน

            พิจิกหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ

            “รักษาครับน้อง...ตามสบายเลย”

            เด็กหนุ่มมองพิจิกด้วยแววตาดีขึ้น รอยยิ้มผุดมุมปากบอกอารมณ์ช่างแหย่ช่างเล่น

            “เคยบอกที่ไหนว่าจะรักษาเอง” คำพูดนี้เล่นเอาคนฟังงุนงงตามกัน



            เสียงลากล้อรถเข็นแว่วมากระทบโสตประสาท ตามด้วยเสียงพูดกังวานนุ่มนวลดังออกมาก่อนทุกคนจะได้เห็นตัวจริง

            “ตี๋เล็ก...อย่าเสียมารยาทกับพวกพี่ ๆ เขาสิ”

            น้ำเสียงนี้ทำให้เมษา พิจิกชะงักงัน หันมองต้นเสียงพร้อมกัน เด็กหนุ่มรีบออกไปนอกห้อง เข็นรถเข้ามาโดยผู้ที่นั่งอยู่ไม่จำเป็นต้องออกแรงเลื่อนล้อมาเอง

            ผู้ที่นั่งบนรถเข็นเป็นชายชราอายุร่วมร้อยปี ใบหน้าเหี่ยวย่น ผมหงอกขาวแกมเทาเหลือบเงินทั่วศีรษะ ดวงตาทอประกายอบอุ่นเมตตา ฉายพลังข้างในเปี่ยมล้น ร่างผอมบางดูโดดเด่นทั้งที่อยู่บนรถเข็น สวมเสื้อผ้าลำลองตามสบาย

            พอสองหนุ่มสาวเห็นใบหน้านี้ชัดเจน ต่างเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ

            พิจิกค่อย ๆ ลงจากเก้าอี้นวม พยายามนั่งคุกเข่าบนพื้น เมษาทรุดกายข้างชายหนุ่ม คุกเข่าเสมอกัน ทั้งสองก้มลงกราบชายชราคนนี้ด้วยความเคารพ ศรัทธาทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก

            ต่อให้พบกันเป็นครั้งแรกในชีวิต พิจิก เมษาก็รู้ว่าท่านเป็นใคร ถูกสอนให้ไหว้ท่านตั้งแต่เด็ก เพราะที่หัวนอนปู่เผด็จ ปู่คงคาต่างติดรูปบุคคลนี้ไว้ เพื่อกราบด้วยความเคารพมาจนถึงทุกวันนี้

            แม่บ้านเข็มทองพูดถูก...หากคนคนนี้ช่วยพิจิกไม่ได้ โลกนี้ไม่มีใครช่วยชีวิตเขาได้อีกแล้ว

            ชายชราอายุร่วมร้อยปีผู้นี้คือ...ครูแกลง อาจารย์ของปู่เผด็จ ปู่คงคา







บทที่ ๒๐



            “กราบเราทำไม...ไม่ใช่พระ” เสียงพูดกลั้วหัวเราะของผู้สูงวัยดังขึ้นก่อนรถเข็นหยุดลง ร่างสันทัดผอมบางลงจากเก้าอี้ เดินมาหาสองหนุ่มสาว

            พิจิก เมษายังนั่งพับเพียบกับพื้น ทำอะไรไม่ถูก ตกใจที่ได้พบบุคคลไม่คาดฝัน แต่ไม่แปลกใจที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...

            สมัยเด็ก...ปู่เคยบอกเสมอ...โตขึ้นเมื่อไหร่จะพาไปพบท่านอาจารย์ใหญ่...ครูแกลง...ท่านยังแข็งแรง น่าจะอยู่ได้ถึงร้อยปี...

            ...น่าเสียดาย พอสองปู่บาดหมาง ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมาหาครูแกลงอีกเลย...อาจเป็นเพราะพวกท่านละอายใจต่อครูบาอาจารย์จนไม่กล้ามาสู้หน้าแล้ว

            ครูแกลงหยุดยืนตรงหน้า พินิจมองหนุ่มสาวทั้งสอง พยายามระลึกว่าเคยเห็นกันที่ไหนมาก่อน

            “ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดี ๆ ...ให้คนแก่ก้มตัวนาน ๆ เดี๋ยวหน้ามืด” ท่านบอกอารมณ์ดี

            พิจิก เมษารีบปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่คัดค้าน ส่วนตี๋เล็กรีบนำเก้าอี้ประจำตัวของท่านมาวางไว้ให้ เสร็จแล้วตนเองนั่งอยู่ใกล้ ๆ ทำตัวเป็นผู้ช่วยที่ดี



            “รู้จักเราหรือ?” คำถามแรกหลังจากนั่งประจำที่เรียบร้อย

            “รู้จักค่ะ” เมษาตอบก่อน

            “ครูแกลง...อาจารย์ใหญ่ของพวกเรา” พิจิกเสริม

            ตอบเพียงเท่านี้ ดวงตาท่านผู้เฒ่าทอประกายสว่าง เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

            “นึกว่าใคร...คนกันเอง” น้ำเสียงคราวนี้อ่อนโยน เป็นกันเองกว่าเดิม “เมษา...หลานสาวของเล้ง พิจิก...หลานชายเผด็จใช่มั้ย”

            คนที่ผิดคาดแปลกใจกลับเป็นสองหนุ่มสาว ไม่นึกว่าครูแกลงจะรู้จักพวกตนเช่นกัน

            “สองคนนั่นเคยอวดหลานให้ฟังสมัยมาเยี่ยมเมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น” ครูแกลงอมยิ้ม “แถมเกทับด้วยว่าหลานใครเก่งกว่าใคร...เราเลยบอกให้พามาเจอหน่อย พวกนั้นก็บอกว่ารอให้โตเป็นหนุ่มเป็นสาว ฝึกวิชาสำเร็จก่อน จะพามากราบคารวะยกน้ำชา...นึกไม่ถึงจะได้มาเจอกันแบบนี้”

            ผู้พูดอารมณ์ดี พอใจที่ได้เล่าถึงศิษย์เอกของตนจนไม่มีใครกล้าขัดคอ...ยกเว้น...

            “ทวด...ดูอาการพี่ผู้ชายก่อนดีมั้ย...เรื่องเก่าค่อยเล่าทีหลัง...แขนดำปิ๊ดปี๋อย่างนี้ เดี๋ยวได้ตัดแขนกันก่อนหรอก” ตี๋เล็กรีบพูดทันที

            ผู้เฒ่าหัวเราะเอิ๊ก ๆ ชอบใจ

            “เออ...จริงว่ะตี๋เล็ก ขอบใจที่ขัดคอ” ผู้อาวุโสกว่าไม่ถือสา หนำซ้ำยังยอมรับคำเตือนนั้น



            แขนพิจิกถูกวางพาดบนผ้าขาวอีกครั้ง ครูแกลงเข้ามาดูใกล้ ๆ นัยน์ตาเพ่งมองสีดำเข้มที่ปรากฏบนท่อนแขน ก่อนใช้ปลายนิ้วแตะตรงข้อมือสีดำคล้ำ

            พอถอนปลายนิ้วออก ดวงตาท่านผู้เฒ่ามองชายหนุ่มด้วยแววชื่นชม

            “พลังสมาธิที่กดข่ม ‘ของ’ ได้นานขนาดนี้...ไม่ธรรมดาเลย ปู่เธอสอนมาดีจริง ๆ” เป็นคำชมจากใจชวนให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายกว่าเดิม

            “แบบนี้เรียกว่าโดนของเหรอทวด” เด็กหนุ่มขยับมาดูอย่างคนสนใจใฝ่เรียนรู้

            “ใช่” ทวดตอบเหลน แล้วขยายความเพื่ออธิบายให้เข้าใจละเอียด “แต่ของประเภทนี้มันร้ายกาจเกินไป ไม่ควรมีผู้ทรงเวทคนใดใช้มันอีกแล้ว เพราะต่อให้มีคนถอนออกมาได้ มันก็จะเล่นงาน เข้าร่างคนถอนทันที แต่ถ้าคนถอนของมีเกราะอาคมคุ้มกาย มันก็จะวกไปเล่นงานคนในครอบครัว หรือคนบริสุทธิ์อื่นแทน โดยไม่มีวันย้อนกลับคืนคนส่งเลย”

            “โหย...ทำไมโหดอย่างนั้นล่ะ” ตี๋เล็กพูดอย่างรู้สึกจริง

            “มันเป็นวิชาที่เก่ามาก...ตัวต้นตำรับจริงเขาไม่เคยใช้กับใครหรอก...คนที่มีวิชาจริงน่ะ เขาต้องมีหิริ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ละอายต่อบาปด้วย ไม่งั้นก็ไม่ผิดอะไรกับพวกปิศาจ อสุรกาย” คนเป็นทวดสอนเหลน

            พิจิก เมษาฟังแล้วฉุกใจ พูดอย่างนี้แสดงว่าครูแกลงน่าจะรู้จักวิชาของผู้ทรงเวทในเงาอย่างดี

            “แล้วมีวิธีรักษามั้ยทวด” ตี๋เล็กถามต่อ

            “เราเตรียมอะไรไว้ให้ทวดบ้างล่ะ” ย้อนถามเชิงเอ็นดู เหมือนหยอกล้อเด็กเล็ก ๆ

            “ผมเตรียมทุกอย่างที่คิดว่าทวดน่าจะใช้นั่นแหละ ทั้งเข็มที่ใช้ฝัง สมุนไพร น้ำอุ่น แล้วก็กำยาน”

            “ดีมาก” ทวดพยักหน้าแสดงความชื่นชมเหลนวัยรุ่น ก่อนหันไปมองคนป่วยและหญิงสาว

            “ไม่ต้องห่วง เราจะช่วยรักษาเต็มที่!”

            คำพูดอบอุ่นเป็นกันเอง ชวนให้รู้สึก ‘ของ’ ในร่างต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน ไม่มีทางเกินกำลังครูแกลงไปได้

            พิจิกกลับสังเกตเห็นแววหนักใจฉายขึ้นวูบหนึ่งขณะอาจารย์ใหญ่แตะข้อมือตน...รอยหนักใจนั้นบอกรู้ว่า...การรักษาครั้งนี้ยากเย็นยิ่ง ท่านผู้เฒ่าถึงพยายามใช้น้ำเสียง กล่าววาจาให้พวกตนเบาใจ คลายกังวลขนาดนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP