วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๑



cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ที่ตึกใหญ่เกิดเรื่องอะไรขึ้น...ลุงพอรู้มั้ย” พิจิกถามขณะเดินลัดเลาะตามทางสลัวเลียบกำแพงศิวาดล

            “ลุงได้ยินแต่เสียงร้องดังลั่นตึก ผู้คนวิ่งหนีกันคึ่กคึ่ก ไม่ทันดูว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น” ลุงชาติตอบ

            “ผมได้ยินเสียงแว่ว ๆ กันว่าผีหลอก ผีหลอก” พ่อบ้านศิวาดลเสริม

            “งั้นก็ชัดแล้ว” เมษาถอนใจยาว งานนี้ดลดาราคงปรากฏตัวพร้อมผีตนอื่นด้วยแน่

            “มีใครเป็นอะไรมั้ย” ชายหนุ่มถามต่อ

            “พวกที่วิ่งหนีกันออกมาไม่น่ามีอะไร” นายสมยศบอกเท่าที่เห็น

            “ไม่มีใครเหยียบกันตายนะ” เมษาอดถามไม่ได้

            ลุงชาติหัวเราะก่อนตอบ

            “โธ่คุณหนู คนไม่เท่าไหร่เอง ไม่ถึงขั้นเหยียบกันตายหรอก”

            “ประตูห้องจัดเลี้ยงเข้าออกได้หลายทาง ด้านนอกเป็นระเบียงกว้าง พอจุคนทั้งหมดได้สบาย ไม่น่ามีปัญหานั้นหรอก” พ่อบ้านใหญ่อธิบายรายละเอียด

            “ลุงเห็นเจ้มีน...พี่สาวหนูมั้ย” เมษาอดห่วงพี่สาวตนเองไม่ได้

            “ไม่เห็นนะคุณหนู” ลุงชาติตอบตามจริง

            “เท่าที่ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ก่อนออกจากตึกใหญ่ รู้สึกว่าไม่มีใครบาดเจ็บเป็นอันตรายอะไร” สมยศเสริม

            ได้ยินอย่างนี้ทั้งเมษา พิจิกค่อยโล่งอก หายใจทั่วท้อง



            “อ้อ...ตอนนี้ลุงบอกได้หรือยังจะพาพวกผมไปไหน” พิจิกเอ่ยถาม

            “ประตูด้านข้างศิวาดล” นายสมยศตอบแทน

            “อ้าว...ไหนว่าปิดตาย ไม่ค่อยได้เปิดใช้” ชายหนุ่มสงสัย

            “วันนี้มีงานใหญ่...” พ่อบ้านใหญ่ตอบพลางพยักเพยิดไปทางน้าชายตน “แล้วก็...น้าแกขอให้เปิด”

            “คืออย่างนี้...” ลุงชาติอธิบาย “ปู่หนูเมษาท่านเตรียมรถเอาไว้ด้านนอก ใกล้กับประตูข้างนี่แหละ ใช้เผื่อจำเป็นต้องหนีออกมาแบบฉุกละหุกอย่างนี้”

            ปู่คงคาคาดการณ์ว่างานคืนนี้น่าจะสำเร็จเกินแปดส่วน จึงวางแผนให้ลุงชาติพาหลานสาวตนหลบออกมาทันที หากเกิดเหตุสุดวิสัย

            ลุงชาติเห็นเมษา พิจิกโดนนักเลงรุมทำร้ายขนาดนี้ก็รู้ว่าทั้งคู่อยู่ศิวาดลต่อไม่ได้แน่ จำเป็นต้องหนีเอาตัวรอดก่อน

            “รถของปู่คงคา...แล้วผมจะนั่งไปด้วยได้เหรอ” พิจิกแกล้งพูดเสียงอ่อย ผู้ฟังนอกจากนายสมยศรู้ความนัยดี

            “กับหมาขาหักปู่ฉันยังพาไปรักษาได้ แกเจ็บขนาดนี้ปู่ฉันไม่แล้งน้ำใจ ขนาดถีบลงจากรถหรอกเว้ย” เมษาย้อนวาจาอย่างหมั่นไส้

            “เปรียบเทียบกับหมาเชียวนะแม่คุณ” พิจิกอดกวนประสาทอีกฝ่ายไม่ได้

            “คุณพิจิกยังพอไหวมั้ย” ลุงชาติรีบหาเรื่องพูดห้ามทัพ

            “ยังไม่ถึงเที่ยงคืน น่าจะพอไหว” พิจิกตอบ อีกฝ่ายฟังไม่เข้าใจ

            เมษาได้ยินแล้วรู้สึกกังวล เวลาเดินช้า ๆ พลังมืดเพิ่มกำลังสูงขึ้น เริ่มยากที่จะสกัดกั้นมนตร์ดำไว้ไม่ให้เคลื่อนตัว วิธีถอนมันอย่างปลอดภัยก็ไม่มี ทางเดียวพอหวังได้คือรอปรึกษาปู่ทั้งสอง

            “ถึงแล้ว” พ่อบ้านศิวาดลบอกเมื่อทั้งหมดเดินมาถึงประตูบานเล็กด้านข้างศิวาดล ซึ่งเคยใช้เป็นทางเข้าออกลูกจ้าง คนงานทั่วไป หลังจากมือปืนบุกเข้ามายิงนายศิวา ประตูบานนี้จึงปิดตายชั่วคราว

            นายสมยศไขกุญแจเปิดประตูออก พิจิก เมษา ลุงชาติเดินเรียงออกจากประตูตามลำดับ มองเห็นรถยนต์จอดอยู่มุมมืดด้านข้างกำแพงโดยไม่มีใครรออยู่เลย



            “ปู่ยังมาไม่ถึงหรือคะลุง” เมษาหันมาถาม

            “ท่านบอกว่าให้พาคุณออกมารอที่นี่ก่อน” ลุงชาติพูด

            “ป่านนี้น่าจะถึงแล้วนะ” หญิงสาวตั้งข้อสังเกต

            ลุงชาติถอนใจ ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงกดโทรศัพท์หาปู่คงคาเพื่อรายงานว่าตนทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว

            สัญญาณโทรศัพท์ดังหลายครั้งโดยไม่มีคนรับสาย เมษา พิจิกมองหน้ากัน ต่างรับรู้ถึงสังหรณ์ร้ายที่ปรากฏในใจ

            สังหรณ์นั้นบอกว่าผู้เฒ่าทั้งสองกำลังพบใครบางคน ที่มีความแค้นเคืองพวกท่านมานาน...เกินกว่าครึ่งศตวรรษ

            การพบกันครั้งนี้...รับรองไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            แขกเหรื่อในห้องจัดเลี้ยงวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกมาจากตึกใหญ่ ยืนรวมกันบริเวณลานจอดรถด้านหน้า พูดจาละล่ำละลักให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปดูเหตุการณ์ที่เกิดข้างใน

            ปู่คงคาสั่งให้นายแหลมขับรถไปจอดตรงจุดที่จราจรภายในบอก ระหว่างนั้นโทรศัพท์หาหลานสาว แต่ไม่มีสัญญาณ จึงรีบโทรศัพท์สั่งงานนายชาติโดยเร็ว

            “ชาติ...อยู่ในศิวาดลหรือเปล่า?”

            “อยู่ครับท่าน”

            “รีบไปดูหลานกูหน่อย”

            “คุณหนูอยู่ที่ไหนครับ”

            ปู่คงคาสงบอารมณ์ใช้สมาธิดูตามร่องรอยค้างคาวพันธุ์พิเศษ

            “ศาลาแปดเหลี่ยมบนเนินใกล้ทะเลสาบ”

            “ครับ...ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

            “ถ้าเจอตัวพาออกไปที่รถข้างนอกเลยนะ”

            “ได้ครับท่าน”

            คำสั่งจบลงเท่านี้ ปู่คงคานิ่งคิดครู่หนึ่ง...

            เมื่อออกคำสั่งไปแล้ว ควรไปรอลูกน้องตนเองข้างนอกเหมือนกัน แต่ด้วยความไม่แน่ใจชะตากรรมหลานสาว หากเมษาโดนอาคมไม่อาจเคลื่อนย้าย ลำพังเจ้าของค่ายมวยอย่างนายชาติไม่มีทางช่วยเหลือได้

            ...ยังไงต้องไปดูที่ศาลานั่นก่อน...ปู่คงคาบอกกับตนเอง

            ถ้าเมษาถูกนำตัวออกไปเรียบร้อย แสดงว่าไม่บาดเจ็บมากก็หมดห่วง แต่ถ้าโดนอาคม ไปไหนไม่ได้ ตนเองยังสามารถใช้อาคมช่วยหลานสาวได้



            นายเดชาขับรถพาปู่เผด็จมาจอดข้างรถปู่คงคาตามเจ้าหน้าที่จราจรบอก ผู้เฒ่าไม่ทันสังเกตเพราะมัวโทรศัพท์หาหลานชาย แต่ไม่มีสัญญาณสักที สุดท้ายรีบส่งไลน์สั่งงานนายชาติ ลูกน้องที่แฝงตัวในศิวาดลเช่นกัน

            ชาติ...รีบไปดูหลานกูด่วน...ตามพิกัดแผนที่นี้

            ส่งไลน์พร้อมแผนที่เรียบร้อยก็ยังไม่วางใจ รีบลงจากรถ มองดูผู้คน ความวุ่นวายข้างหน้า เสียงหวีดร้องเงียบหายไปแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังเข้าไปในตึก โดยแบ่งกำลังบางส่วนยืนคอยระวังอยู่ด้านหน้า

            แขกหลายรายยืนหน้าซีดเกาะกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดจนฟังไม่ได้ศัพท์ สองผู้เฒ่าพยายามมองหาลูกชาย และหลานสาวที่สั่งให้เข้ามาร่วมงาน แต่ยังหาไม่เจอ

            “เดชา...ลองเข้าไปฟังสิว่า พวกนั้นคุยอะไรกัน แล้วตามหาพฤกษ์ให้มาที่รถนี่ด้วย” ปู่เผด็จสั่งลูกน้อง

            “ครับ” นายเดชารับคำรีบปฏิบัติตามคำสั่ง

            ปู่คงคาหันมองอดีตเพื่อนรัก ก่อนสั่งงานลูกน้องตน

            “แหลม...ไปตามหาหมวยมีน...น่าจะอยู่ในกลุ่มแขกนั้นแหละ” ปู่คงคาสั่งแค่นั้น เพราะถ้าเจอตัวโปรดิวเซอร์สาวเมื่อไหร่ เจ้าตัวย่อมเล่าเรื่องราวที่เกิดคืนนี้อยู่ดี

            คนขับรถทั้งสองเดินหาบุคคลที่ต้องการในกลุ่มแขกเหรื่อจำนวนมากตามคำสั่งเจ้านาย

            สองผู้เฒ่าหยุดยืนหน้ารถตน ระยะห่างเพียงสองก้าว ทอดสายตามองคฤหาสน์ศิวาดล สำรวมจิตลงเป็นสมาธิ ออกสัมผัสสิ่งแปลกปลอมที่กำลังปรากฏอยู่ภายใน

            ภาพนิมิตเป็นภูตผีคนโบราณยืนรายล้อมตึกใหญ่ โซ่ที่ล่ามข้อเท้าพวกนั้นคล้ายกำลังผูกโยงคฤหาสน์ทั้งหลังไว้ดูคล้ายเป็นเรือนจำ เพ่งจิตเข้าไปภายใน พบร่างสูงผิดมนุษย์ของผู้หญิงสามคนกำลังยืนตระหง่าน ค้ำร่างชายคนหนึ่งอยู่...

            จิตถอนออกมารับรู้สภาพปกติ สองผู้เฒ่าสบตากันโดยไม่ตั้งใจก่อนระบายลมหายใจยาว หลับตาลงอีกครั้ง...คราวนี้รวบรวมสมาธิจนมีกำลังมากกว่าเดิม ส่งจิตออกไปดูยังศาลาแปดเหลี่ยมมองหาหลานรักของตน

            ...ปัง...จิตคล้ายเผชิญกำแพงทึบจนถูกดีดออก ไม่สามารถมองเห็นบริเวณเรือนลับปิศาจนายทอง ศาลาแปดเหลี่ยมที่พิจิก เมษาอยู่ตอนนี้ได้เลย

            ทั้งสองลืมตาพร้อมกัน ไม่อาจมองหาหลานพวกตนเป็นภาพผ่านนิมิต สัมผัสทางใจบอกว่า พวกเขาประสบเภทภัยหนักหนา แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต!

            นั่นยิ่งทำให้จิตใจผู้เฒ่าร้อนรุ่ม ขนาดสั่งงานบุคคลไว้ใจได้แล้ว ก็อยากเข้าไปช่วยเหลือ ดูแลหลานตนอยู่ดี

            กวาดตามองดูรอบ ๆ พยายามหาวิธีที่จะเข้าไปด้านในเขตศิวาดลโดยไม่โดนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่ออกมา พบพวกคนงาน เด็กเสิร์ฟ แม่ครัวของศิวาดล ออกมายืนรวมกลุ่มด้านนอก ต่างซุบซิบพูดคุย ถามไถ่กันด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

            ปู่เผด็จหาหนทางเจอ รีบขยับไม้เท้าเข้าไปหากลุ่มคนงาน แม่ครัวทันที...ทว่า...เมื่อปู่เผด็จคิดได้ ปู่คงคาย่อมคิดออกเช่นกัน หนำซ้ำยังเดินมาถึงก่อนอดีตเพื่อนตนเองเสียอีก

            “ข้างในเกิดเรื่องอะไรกันเหรอ” ปู่คงคาถามนำโดยไม่เจาะจงคนตอบ

            “ยังไม่รู้เลยจ้ะตา” แวว...ผู้ช่วยแม่ครัวตอบ

            “อ้าว...แล้วออกมาทำไมกัน” ปู่เผด็จถามบ้าง

            “แหม...ก็เสียงกรี๊ดดังลั่น คนวิ่งหนีกันคึ่กคึ่กขนาดนั้น พวกในครัวก็ตกใจ รีบตะลีตะเหลือกออกมา ไม่ทันถามว่าเกิดเรื่องอะไร”

            ขณะปู่คงคาจะเอ่ยปากพูดตามแผนที่ตนวางไว้...ป้าเพลิน แม่ครัวตึกใหญ่ ฉุกใจนึกถึงบางเรื่องได้

            “นังแมว...ก่อนออกมาแกดับไฟในเตาหรือยัง?”

            ป้าเพลินกับป้าแมวอยู่ในวัยหกสิบกลาง ๆ เหมือนกัน ตำแหน่งแม่ครัวใหญ่เหมือนกัน จึงเรียกขานแบบไม่เกรงใจกันเช่นนี้

            “ไม่รู้สิ จำไม่ได้พอเสียงร้องดังลั่น กูก็ตกใจรีบตามพวกแกมานี่แหละ” ป้าแมวตอบไม่ใส่ใจ

            “ฉิบหายแล้ว มึงรีบเข้าไปดับไฟเลยนะ เดี๋ยวไฟไหม้เข้าจะวุ่นวายหนักกว่านี้” ป้าเพลินสั่งในฐานะผู้มีอำนาจในครัวตึกใหญ่

            “พวกรปภ.ยืนเต็มอย่างนั้น เขาไม่ให้เข้าไปหรอก” ป้าแมวเลี่ยง

            “อ้อมไปข้างหลังตึกสิยะหล่อน ห้องครัวอยู่ตรงนั้นพอดี” ป้าเพลินไม่ยอม

            “ให้นังแววไปแทนสิ แถวนั้นมันมืด ฉันกลัว” ป้าแมวโบ้ยทันที

            “โอ๊ย หนูก็กลัวเหมือนกัน ไม่เอาหรอกป้า” แม่แววรีบบอก

            ปู่คงคาหาจังหวะพูดอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้ต้องทะลุกลางปล้องขึ้น

            “แม่คุณ...ทำงานครัวกันเรอะ รู้จักหลานสาวฉันมั้ย มันเพิ่งมาทำงานในครัวที่นี่เหมือนกัน” ปู่คงคาพูดจากันเอง

            “หลานตาเป็นใครน่ะ” แววหันมาถาม

            “ชื่อเมษาจ้ะ เพิ่งมาทำงานไม่ถึงเดือน” ปู่คงคารีบบอก

            “อ๋อ...ผู้ช่วยแม่ครัวคนใหม่ ที่มาพร้อมคนขับรถบ้านเดียวกัน...” แม่แววรู้จักทั้งเมษา และพิจิก

            “ใช่แล้ว พิจิก...หลานชายฉันเป็นคนขับรถใหม่ที่นี่เหมือนกัน” ปู่เผด็จรับสมอ้าง

            แวว ป้าเพลิน ป้าแมวมองผู้เฒ่าทั้งสอง เห็นการแต่งกายง่าย ๆ ดูเหมือนคนแก่ทั่วไป จึงวางใจง่ายดาย

            “สองคนนั่นตอนหัวค่ำ หนูเห็นไปช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่มที่หน้าห้องจัดเลี้ยงอยู่นะ” แววบอก

            “นั่นสิ แล้วตอนนี้ไปไหนแล้ว โทรหาก็ไม่ติด อุตส่าห์มาตั้งไกลแล้วไม่เจอ อย่างนี้เสียเที่ยวแย่” ปู่คงคาแสดงอาการเหนื่อยอ่อน

            “น่าจะกลับไปตึก...ห้องพักแล้วจ้ะตา” แววตอบอย่างเห็นใจ

            “ช่วยพาฉันไปหามันหน่อยได้มั้ย” สองผู้เฒ่าแทบพูดในเวลาเดียวกัน

            แม่แววมองชายชราทั้งสอง เห็นแววตาเป็นห่วง คิดถึงหลานจริงจึงรู้สึกอยากช่วยเหลือ

            “ได้สิ...เดี๋ยวฉันพาไปเอง กำลังอยากกลับห้องพักพอดี”

            “งั้นฉันไปด้วย...จะไปดูเรือนครัวเสียหน่อย ไม่รู้เป็นไงบ้าง” ป้าแมวรีบหาจังหวะหนีกลับถิ่นตนเอง

            “นังแมว...แกต้องไปดับไฟเตาในครัวก่อน” ป้าเพลินไม่ยอม

            “เออ...ก็ได้วะนังเพลิน” ป้าแมวทำเสียงสะบัดใส่ “แวว...แกพาญาติพวกนี้ผ่านทางหลังตึกใหญ่ได้มั้ย...ฉันจะอาศัยตามไปดับไฟเตาในครัวก่อน...เสร็จแล้วจะได้กลับเรือนครัวพร้อมแกเลย”

            ป้าแมวพูดอย่างนี้ แม่แววย่อมไม่อาจคัดค้าน เหลือบตามองป้าเพลิน ‘เจ้าแม่’ ครัวตึกใหญ่เป็นเชิงบอกให้ทราบว่าตนไม่ได้อยู่ฝ่ายใด แค่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้นเอง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปู่เผด็จ ปู่คงคา แม่แววยืนรอป้าแมวด้านหลังตึกใหญ่ศิวาดลไม่นานนัก แม่ครัวใหญ่แห่งเรือนครัวศิวาดลก็ทำธุระตนเองเสร็จ ออกมาด้วยสีหน้าโล่งอก

            “ไฟไม่ไหม้ครัวมันสักหน่อย นังเพลินมันตื่นตูมไปได้” ป้าแมวพูดกับผู้ช่วยแม่ครัวตึกใหญ่ พลางพยักเพยิดไปทางด้านหน้าตึกเป็นเชิงนินทาคนที่วางอำนาจใส่ตน

            แม่แววไม่กล้าเออออตามน้ำ เพราะอย่างน้อยตนเองก็เป็นลูกน้องโดยตรงป้าเพลิน ทำได้เพียงพูดสั้น ๆ

            “ไปกันเถอะป้า...คุณตา”

            แววหันหลัง เดินนำหน้าทุกคนไปทางตึกที่พักคนงาน สองผู้เฒ่าเดินตามด้วยใจหวาดวิตก กังวลถึงหลานตน ใจโลดแล่นอยากไปให้ถึงศาลาแปดเหลี่ยมโดยไว โดยไม่ทันสังเกตคนที่เดินปิดท้าย

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาเดินตามผู้ช่วยแม่ครัวแค่สองสามก้าว กลางหลังบังเกิดอาการเย็นวาบ เหมือนโดนของเหลวเย็นจัดสาดใส่ ตามด้วยปลายนิ้วแข็งแรงขีดเขียนตัวอักษรโบราณกลางหลังอย่างรวดเร็ว

            ตัวอักษรเขียนเสร็จ เปลวร้อนวูบปรากฏแทน บอกให้รู้ สองผู้เฒ่าโดนยาสั่ง อาคมอันร้ายกาจ พร้อมลงอักขระยันต์ทับ ชนิดที่ต่อให้สุดยอดจอมเวทใดก็ไม่มีวันถอนมันออกมาได้

            สองผู้เฒ่าตั้งสติว่องไว ใช้กำลังสมาธิที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิตยับยั้งอาคมนั้นไว้แค่แผ่นหลัง ไม่ยอมให้มันแทรกซึมลึกเข้ามาควบคุมร่างกาย จนจู่โจมหัวใจเป็นอันดับสุดท้าย

            กัดฟันแน่น ฝืนหันหลังกลับ ต้องการมองหน้าผู้กระทำอาคมร้ายกาจใส่ตนอย่างถนัดตา

            ป้าแมวยืนอยู่ตรงนั้น เผยรอยยิ้มอำมหิต สะใจ

            “ไอ้แก่...จำฉันได้มั้ย...ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

            ผู้ร้ายในเงา...จอมเวทผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวอีกคนปรากฏตัวออกมาแล้ว







บทที่ ๑๙



            บนถนน เวลาสี่ทุ่มเศษ

            เมษาเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูง ชนิดไม่กลัวอุบัติเหตุ ไม่กลัวตำรวจตรวจจับความเร็ว หัวคิ้วขมวด นัยน์ตาแลตรง สมาธิอยู่กับการขับรถเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

            พิจิกนั่งเบาะข้าง เอนหลังพิงพนักผ่อนคลายร่างกาย จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอก

            บนถนนสายหลัก รถราขวักไขว่แม้ในยามค่ำคืน เมษาขับรถซอกแซกหาจังหวะแซงซ้ายขวา พารถไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

            ‘ที่หมาย’ ข้างหน้าเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยชีวิตพิจิก




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ระหว่างรอปู่คงคามาที่รถ พิจิก เมษาเกิดสังหรณ์ร้าย ใจหายวูบโดยไม่มีสาเหตุ หัวอกร้อนรุ่มเป็นห่วงปู่อย่างแรงกล้า

            “ติดต่อปู่ได้หรือยังลุง” เมษาถามทั้งที่ตนเองก็พยายามโทรศัพท์หาปู่หลายครั้งแล้ว

            “ยังเลยคุณหนู” คำตอบไม่ต่างจากเดิม

            ลุงชาติโทรศัพท์ ส่งไลน์ไปหาทั้งปู่เผด็จ ปู่คงคา นายเดชา นายแหลมคนขับรถโดยไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมา

            พิจิก เมษาพบว่าตนเองปิดโทรศัพท์ตอนบุกไปรังลับนายทอง น้องชายพระยาคงเวท พอเปิดโทรศัพท์ พบว่าปู่โทรหาหลายครั้ง จึงโทรกลับ แต่ไม่มีสัญญาณจากฝ่ายนั้น ลองโทรหาเจ้มีน ผู้การพฤกษ์ สารวัตรธงรบก็ไม่ติดเช่นกัน

            การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด สังหรณ์ร้ายเกิดขึ้น คนที่หมดความอดทนก่อนคือพิจิก

            “ผมเข้าไปตามหาปู่ข้างในก่อนดีกว่า ท่านน่าจะอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยม ไม่ก็ที่ตึกใหญ่ศิวาดล”

            “จริงด้วย” นานครั้งหรอก เมษาจะมีความเห็นสอดคล้องกับคู่แข่งตนเอง

            พิจิกแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ เขาฝืนไม่แสดงออกให้ใครเห็น ความเป็นห่วงปู่ผลักดันอยากให้กลับเข้าไปในศิวาดล เพื่อดูว่าท่านปลอดภัยหรือไม่...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP