ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

อักขณสูตร ว่าด้วยมิใช่สมัยประพฤติพรหมจรรย์


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๑๙] ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะจึงทำกิจ
แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ ภิกษุทั้งหลาย
กาลมิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้
๘ ประการเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว
ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้เข้าถึงเปรตวิสัยแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบทและอยู่ในพวกมิลักขะ
ไม่รู้ดีรู้ชอบ อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมา
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท
แต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตว่า
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มีคุณ บิดาไม่มีคุณ สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี
สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตามไม่มีในโลก
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๖.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท
แต่เขามีปัญญาทราม โง่เขลา บ้าใบ้
ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๗.


อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว
ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม มิได้อุบัติขึ้นในโลก
และไม่มีผู้แสดงธรรมอันนำความสงบมาให้ อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบท และมีปัญญา ไม่โง่เขลา ไม่บ้าใบ้
สามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต
ภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๘.


ภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว
ประการเดียวเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว
ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม อุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
และมีการแสดงธรรมอันนำความสงบมาให้อันเป็นไปเพื่อปรินิพพาน
อันให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา ไม่โง่เขลา ไม่บ้าใบ้
สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.


ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อตถาคตประกาศสัทธรรมดีแล้ว
ไม่เข้าถึงขณะ ชนเหล่านั้นชื่อว่าปล่อยขณะให้ล่วงไป
ตถาคตกล่าวเวลามิใช่ขณะเป็นอันมากที่กระทำอันตรายต่อบุคคล
พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพียงบางครั้งบางคราว
สิ่งที่มาพร้อมกันที่หาได้ยากยิ่งในโลกคือ
การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑
ชนผู้ใคร่ประโยชน์จึงควรพยายามในขณะ (ที่ ๙) ดังกล่าวมานั้น
บุคคลควรเข้าใจในถ้อยคำที่เป็นพระสัทธรรม
ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะบุคคลที่ปล่อยขณะให้ล่วงไป ย่อมยัดเยียดเศร้าโศกในนรก
หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรคอันตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้
เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้วจักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน
เหมือนพ่อค้าผู้ปล่อยให้ประโยชน์ล่วงไปเดือดร้อนอยู่ ฉะนั้น
คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ พรากจากสัทธรรม
จักเสวยแต่สงสารคือชาติและมรณะสิ้นกาลนาน
ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว
เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ได้กระทำแล้ว จักกระทำ
หรือกระทำอยู่ตามพระดำรัสของพระศาสดา
และชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคาที่ตถาคตประกาศแล้ว
ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะคือ
การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก
บุคคลควรคุ้มครองสังวรที่พระตถาคตผู้มีจักษุ
เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ แสดงแล้ว มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส
ชนเหล่าใดตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร
บรรลุความสิ้นอาสวะ ชนเหล่านั้นแลเป็นผู้ถึงฝั่งคือนิพพานในโลกแล้ว.


อักขณสูตร จบ



(อักขณสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP