วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๘



cover siwadol



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เรือนพระยาคงเวทลอยเด่นกลางเวทีไม่ใช่ภาพนิ่งเหมือนหุ่นจำลอง แต่เป็นภาพเคลื่อนไหวสามมิติมีผู้คนแต่งกายสมัยโบราณมาทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเรือน ระเบียงนอกชานและลานดินด้านหน้า ราวกับย้อนเวลาพาสถานที่แห่งนี้กลับมาให้ชมอีกครั้ง

            เสียงดนตรีบรรเลงเข้ากับภาพที่ฉายแสดง แพรพลอยได้รู้ รับฟังด้วยแววตาขำขัน เหมือนแลการละเล่นของเด็กน้อยที่กำลังสนุกสนาน

            “เชิญตามสบายนะ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว แววตาแปรเปลี่ยนจากเดิม

            แพรพลอยไม่สนใจกับแผนการแสดงที่ถูกปรับเปลี่ยน รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แค่สงสัย...ตั้งใจทำเพื่ออะไร...?

            หากจะว่าไป หล่อนรู้แผนการฝ่ายนั้นตลอด แค่แกล้งเล่นตามน้ำไปอย่างนั้น เพื่อจะดูว่า ‘เธอ’ มีปัญญาทำอะไรได้แค่ไหน

            ดลดาราคิดว่าแพรพลอยถูกชักจูงให้หันซ้ายขวาตามต้องการ หารู้ไม่ว่า...

            การ ‘หลงเชื่อ’ กับการ ‘แกล้งเชื่อ’ มันไม่เหมือนกัน และใครที่จงใจแกล้งเชื่ออย่างนี้ แสดงว่ามีเจตนาแฝงซึ่งอีกฝ่ายคาดเดาไม่ถึง

            สิ่งที่สร้างความแปลกใจแก่แพรพลอยจริง ๆ คือเพลง ‘คิดถึง’

            เธอไม่อยากเชื่อว่า คนนั้น’ จะยอมร่วมมือกับดลดาราง่าย ๆ นอกจากจะมีเป้าหมายแฝงเร้นที่เธอไม่รู้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            แวบแรกที่เรือนพระยาคงเวทขนาดย่อส่วนปรากฏขึ้นกลางเวที มีนาใจกระตุกวูบ รู้สึกถึงลางร้าย มือเอื้อมแตะตะกรุดที่ห้อยคอ ระลึกคุณพระศรีรัตนตรัยอย่างปู่เคยสอน จิตใจค่อยมีความอบอุ่นขึ้น

            อากาศเย็นผิดปกติ หมอกขาวกระจายทั่วงาน หนาแน่นเฉพาะหน้าเวที เสียงดนตรีบรรเลงครอบคลุมทั่ว การปรากฏของเรือนโบราณกลางเวทีนับเป็นสิ่งประหลาดซึ่งน่าจะเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน

            แต่มีนาไม่ได้ยินเสียงใครดังขึ้นมาสักคน พอคำบรรยายบอกชื่อ ‘เรือนพระยาคงเวท’ จบลง ภาพเรือนโบราณก็ขยายให้ผู้ชมเห็นรายละเอียดอันมีชีวิตชีวาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนนั่งทำงานบนเรือน เด็ก ๆ วิ่งเล่นตรงลานดินด้านหน้า ทุกอย่างชัดเจนชวนตื่นตาตื่นใจทั้งนั้น

            หญิงสาวเหลียวมองผู้คนรอบตัว พบว่าแขกในงานเกือบทั้งหมดจ้องมองกลางเวทีราวถูกสะกด แววตาบอกความรับรู้ แต่มีรอยเหม่อ ขาดสติเป็นช่วง ๆ

            มือกำตะกรุดที่คอ บรรยากาศแปลกจนน่ากลัว พยายามสอดส่ายสายตาดูว่าในห้องนี้มีใครมองเห็นสถานการณ์ประหลาดเช่นหล่อนบ้าง

            นายศิวา ผู้การพฤกษ์ และสารวัตรธงรบ เป็นสามคนที่ยังไม่ถูกบรรยากาศเสียงเพลง ภาพบนเวทีครอบงำ

            มีนาอยากลุกไปนั่งร่วมโต๊ะเพื่อนสนิทบิดา อย่างน้อยเพื่อความอุ่นใจ แต่จำต้องนิ่งไว้ ไม่กล้าทำตัวผิดปกติ แปลกแยกจากคนอื่น สงบใจดูการแสดงบนเวทีต่อไป อยากรู้ว่า ถึงที่สุดแล้วมันจะนำไปสู่อะไร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            นายศิวามองเห็นเรื่องไม่ชอบมาพากลทันทีที่เรือนพระยาคงเวทปรากฏกลางเวที...

            เขารู้จักเรือนพระยาคงเวทดี เคยเข้าไปสัมผัสในฝัน อีกมิติหนึ่ง...เรือนนอกชานกว้างนั้น เขาเคยไปนั่งคุกเข่าคุยกับใครบางคน ท่ามกลางคนโบราณที่มีโซ่ตรวนล่ามขา

            ‘เจ้าที่’ ศิวาดลเคยให้เขาสร้าง ‘เรือนลับ’ หลังหนึ่ง

            เรือนลับที่สร้างนั้นมีลักษณะ รายละเอียดคล้ายเรือนพระยาคงเวท แต่มีขนาดเล็กประมาณศาลพระภูมิ

            หลังจากสร้างเสร็จต้องไปขุดหลุมลึกแปดศอก ทิ้งไว้กลางแสงจันทร์หนึ่งคืน ค่อยนำเรือนลับนี้ไปวาง เพื่อรอสร้างศาลาแปดเหลี่ยมคล่อมทับอำพรางทีหลัง

            เช้าวันที่นำเรือนลับไปวาง นายศิวามองเห็นก้อนเมือกสีดำรองอยู่ก้นหลุม ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มาจากไหน สิ่งที่ทำได้คือนำเรือนลับวางทับก้อนเมือกนั้น ทิ้งไว้กลางแสงจันทร์อีกสามคืนค่อยกลบฝัง สร้างศาลาแปดเหลี่ยมอำพราง

            เรื่องมันผ่านมานานจนศิวาลืมมันไปแล้ว จนกระทั่งเห็นเรือนพระยาคงเวทลอยเด่นกลางเวทีแบบนี้

            ตอนนั้นศิวาไม่รู้ ‘เจ้าที่’ สั่งให้ทำแบบนั้นเพื่ออะไร เขายอมทำตามก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เรื่องเดือดร้อนจากสิ่งที่มองไม่เห็น

            วันหนึ่ง เขากับเจ้าที่ก็มีพันธะสัญญาต่อกัน

            “ข้าช่วยเอ็งได้...แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

            “แลกกับอะไรครับ”

            “อะไรก็ได้ ที่ข้าต้องการอย่างหนึ่ง...ในศิวาดล”

            ตอนนั้นเขาคิดว่า สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ น่าจะเป็นข้าวของ สมบัติล้ำค่าชิ้นใดชิ้นหนึ่งซึ่งเก็บไว้ที่นี่ จนกระทั่งดลดาราเล่าถึงความฝัน เธอมาเหยียบย่างเรือนพระยาคงเวทเช่นเดียวกับเขา ได้พบเหล่าภูตผีโบราณ พร้อมคำขู่กึกก้อง

            “แก...ต้องอยู่กับพวกเราที่นี่!”

            วินาทีนั้น ศิวาเข้าใจชัด ‘เจ้าที่’ ต้องการสิ่งใดเป็นข้อแลกเปลี่ยน



            ศิวายกมือคลำเหรียญอาคม รูปตัวอักษรโบราณที่คล้องคอ...

            ในครั้งนั้นถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าที่ต้องการอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน เขาจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น

            ...ใช่...ถ้ารู้ล่วงหน้า ศิวาจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งที่มีค่านั้นเด็ดขาด แต่...ขณะที่รู้ว่าเจ้าที่ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน เขาก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้แล้ว

            ทว่า...หลังจากนั้น เจ้าที่ได้ตอบแทนผลประโยชน์แก่เขามากมาย เกินคาดฝัน เหรียญอาคมที่คล้องคอเป็นเสมือนเครื่องรางนำโชค ทั้งช่วยให้มีสัมผัสถึงอันตรายล่วงหน้า จนคลาดแคล้วภยันตรายทั้งปวง ศัตรูฝ่ายตรงข้ามไม่อาจเข้าถึงตัว อีกทั้งยังเป็นตัวนำโชคทางธุรกิจ ไม่ว่าจะก้าวไปสู่ธุรกิจแขนงใด ล้วนประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งนั้น

            แม้ว่าแต่ละก้าวที่ประสบความสำเร็จ มันต้องใช้สิ่งสูงค่ามาแลกเปลี่ยน โดยเขาไม่ทันได้ปฏิเสธเสมอ

            มาถึงวันนี้...เขาตอบไม่ถูกว่าข้อแลกเปลี่ยนนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่...และหากย้อนเวลาได้ เขาจะยินยอมทำข้อตกลงกับเจ้าที่ หรือประกาศชัด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมทำข้อตกลงแบบนั้นเด็ดขาด!

            เรือนพระยาคงเวทปรากฏให้เห็นอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งกระตุ้นความทรงจำ เรื่องราวเก่า ๆ ที่ศิวาไม่อยากจดจำมากมาย

            ...มีหลายเรื่องที่เขาอยากลืม ฝังมันไว้ส่วนลึกในความทรงจำ...แต่ไม่อาจลบเลือนมันได้เสียที

            หลังจากภาพเรือนพระยาคงเวท จะมีสิ่งใดตามมา เจตนาแท้จริงของโชว์ชุดนี้คืออะไร?




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สารวัตรธงรบรับคำสั่งจากปู่เผด็จให้มาช่วย ‘ดู’ ในงานเปิดรั้วศิวาดลจริง แต่เขามีงานในหน้าที่ต้องมาทำด้วยเช่นกัน

            มือปืนที่ถูกจับ ‘คาย’ ความลับมากพอที่จะสาวถึงคนบงการเบื้องหลัง มีรายชื่อมือปืนร่วมขบวน คนรับงาน จนถึงผู้ว่าจ้างตัวจริง

            พอสืบสวน สอบปากคำผู้ต้องหาหลายรายเข้า ทำให้เกิดข้อสงสัย สมมุติฐานบางอย่างในใจ

            คู่แข่งนายศิวาโกรธแค้นเรื่องขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจจึงจ้างมือปืนมาสังหาร เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก แต่การที่นายศิวามีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับการรับผลประโยชน์ใต้โต๊ะ การให้สินบนผู้มีอำนาจของบริษัทคู่แข่ง ทำให้นึกสงสัย...เขาได้หลักฐานเหล่านั้นมาจากไหน?

            เพราะดูแล้ว หลักฐานบางชิ้นถูกซ่อนเร้นเก็บงำอย่างดี มีแต่ภูตผีเท่านั้นถึงรู้...นายศิวากลับนำมันมาได้

            พอตั้งโจทย์นี้ขึ้นมา สารวัตรธงรบจึงตรวจสอบการทำธุรกิจต่าง ๆ ของนายศิวาตลอดสิบปีที่ผ่านมา พบว่าเขาขยายธุรกิจรวดเร็วมาก สามารถสยายปีกยึดครองธุรกิจใหญ่ที่มีเจ้าตลาดอยู่แล้วอย่างมั่นคง เอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วยการถือข้อมูลเหนือกว่า...รู้แผนการตลาดฝ่ายตรงข้าม ราวกับมีสายสืบซุ่มตัวคอยขโมยข้อมูลอยู่ในนั้น

            จากการติดตามคดีบุกรุก พยายามฆ่านายศิวา...ก็กลายเป็นการตั้งสมมุติฐานว่า...นักธุรกิจใหญ่อย่างนายศิวา อาจมีความผิดฐานจารกรรมข้อมูลบริษัทคู่แข่งก็ได้

            เมื่อสารวัตรธงรบนำความคิด ข้อสงสัยนี้ไปเรียนรายงานผู้การพฤกษ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา คำพูดแรกที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นหลังฟังจบคือ...

            “ผมได้บัตรเชิญไปงานเปิดรั้วศิวาดล...เราไปด้วยกันมั้ย”

            ไม่น่าแปลกที่นายตำรวจระดับผู้บังคับการฯ จะได้รับบัตรเชิญนี้ นายศิวาชอบคบหา สร้างความคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในทุกวงการอยู่แล้ว

            “ผมก็ได้เหมือนกันครับท่าน” สารวัตรธงรบตอบ

            ผู้การฯมองลูกน้องอย่างรู้ทัน

            “คุณไปเพราะคดีนี้ หรือเพราะคำสั่งจากพ่อผม”

            สารวัตรธงรบยิ้มรับไม่ปฏิเสธ

            “ท่านให้ผมมาช่วยดู ๆ ในงานหน่อยครับ” เขาจงใจไม่เอ่ยถึงบุตรชายผู้การฯ ที่ปลอมตัวอยู่ที่นี่

            “มิน่า พ่อผมถึงมาอยู่คอนโดเจ้าธันเกือบครึ่งเดือน แสดงว่าย้ายกองบัญชาการมาอยู่กรุงเทพฯนี่เอง”

            พูดจบท่านผู้บังคับการไม่ถามต่อ ถึงเรื่องราวที่อาจทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ สุดท้ายทั้งคู่นั่งรถมาศิวาดลด้วยกัน

            สังเกตจากการที่ท่านผู้การฯเห็นบุตรชายตน กับลูกสาวเพื่อนกลายเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ที่นี่ แล้วไม่แสดงท่าทางสงสัย แปลกใจ แสดงว่า ‘พ่อผู้การฯ’ คงมีคำสั่ง ไม่ก็คำพูดเปรย ๆ กับลูกชายบ้างแล้ว



            ขณะแพรพลอยลงจากเวที ไฟในห้องหรี่สลัว เสียงเพลง ‘คิดถึง’ ขับขาน หมอกควันขาวกระจายทั่ว จนกระทั่งภาพสามมิติเรือนพระยาคงเวทปรากฏกลางเวที ผู้การพฤกษ์รู้ทันที ทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบของการสะกดจิตหมู่

            ถึงท่านผู้การฯไม่เคยเรียนคาถา อาคม เวทมนตร์ใด ๆ แต่การที่มีพ่อ เพื่อนพ่อ และลูกชายคนเล็กเป็นผู้ทรงเวท ทำให้เขารู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไป

            ปู่เผด็จมักพร่ำสอนลูกชายคนเดียวเรื่องการรักษาศีล เจริญสติ ฝึกจิตให้คุ้นเคยกับการรู้สึกตัวเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งลูกชายเป็นตำรวจอย่างนี้ คำสั่งสอนหลักที่ย้ำกับลูกชายเสมอคือ...

            ศีล...สติ คำสัตย์ และคุณธรรม เป็นเกราะคุ้มภัยได้ดีกว่าเสื้อกันกระสุนเสียอีก

            ดังนั้นเมื่อเกิดการสะกดจิตหมู่ขึ้น ผู้การพฤกษ์จึงไม่ตกอยู่ใต้อำนาจง่ายดาย

            ส่วนสารวัตรธงรบได้รับเครื่องรางทำจากแผ่นเงินพับแปดเหลี่ยม ลงอักขระโบราณจากปู่เผด็จ เมื่อพกติดตัวไว้จะป้องกันภูตผี มนตร์ดำ ไสยศาสตร์ การสะกดจิตเหล่านี้ได้อย่างดี

            การแสดงชุดนี้จึงมีแค่ห้าคนในห้อง รวมทั้งแพรพลอยที่นั่งชมด้วยความรู้สึกตัวมากกว่าใคร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ‘เรือนพระยาคงเวท’ เป็นเรือนไม้สีน้ำตาลสองชั้น ฝาผนัง พื้นปูด้วยไม้สักทองแผ่นใหญ่ เสาเรือนใช้ไม้ต้นเดียวสูงตรงแข็งแรง ขื่อคานเข้าเดือยลงล็อคแบบช่างสมัยก่อน ประตูหน้าต่างทำจากไม้แผ่นเดียวหายาก

            ผู้คนขึ้นลงเรือนคึกคัก เด็กเล็กวิ่งเล่นบริเวณลานดินหน้าเรือนสนุกสนาน ภาพชีวิตผู้คนปรากฏให้เห็นพร้อมดนตรีประกอบสดใส รื่นเริงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจางหายถูกควันขาวปกคลุม

            ต่อมาเป็นสภาพเรือนพระยาคงเวทท่ามกลางฟ้าครึ้ม สีเทาทะมึน ลมกรรโชกแรง แมกไม้เอนลู่ ด้านหน้าเรือนมีชายหนุ่มสองคนยืนเด่น

            ร่างหนึ่งบึกบึน ผิวสองสี ใบหน้าคร้ามคมอย่างชายไทยแท้ อีกร่างดูประเปรียวคล่องแคล่ว ส่วนสูงไล่เลี่ย ผิวขาว ดวงตาเรียวรีแบบคนจีน

            สายตาสองคู่มองยังเรือนไม้ตรงหน้าด้วยอาการเตรียมพร้อม ขยับขาเดินแยกซ้ายขวาลักษณะโอบแบบปีกกา สายฟ้าผ่าเปรี้ยงกึ่งกลางระหว่างสองคน

            มีนาสะดุ้งเฮือกหันมองดูผู้คนในงานเลี้ยง แต่ละคนล้วนสงบงัน จ้องมองภาพสามมิติที่เล่าเรื่องกลางเวทีด้วยใจจดจ่อ คล้ายโดนมนตร์สะกด

            ชายกลางเวทีทั้งสองนั้น...มีนา ผู้การพฤกษ์ สารวัตรธงรบคุ้นหน้า รู้จักดี แม้จะไม่เคยเห็นตัวจริงพวกท่านสมัยวัยหนุ่ม แต่มีรูปถ่ายปู่เผด็จ ปู่คงคาในยุคนั้นใส่กรอบแขวนโชว์ที่ห้องรับแขกสองบ้าน

            ทั้งสามแปลกใจ ไม่คาดจะได้เห็นการแสดงเช่นนี้ หากเป็นการถ่ายทำล่วงหน้าแล้วมาฉายแบบโฮโลแกรม เหตุใดจึงสามารถหาคนที่รูปร่างหน้าตาละม้ายสองผู้เฒ่าในวัยหนุ่มมาได้

            มีนา ผู้การพฤกษ์มีคำตอบบางอย่างผุดขึ้นในใจ...สิ่งที่ปรากฏกลางเวทีไม่ได้เกิดจากการฉายภาพโฮโลแกรม ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่ฉายภาพสามมิติออกมาชัดเจนเหมือนจริงขนาดนี้

            ภาพตรงหน้าอาจเกิดจากการฉายภาพจากความทรงจำผู้ทรงเวทสักคนที่มีพลังจิตแกร่งกล้า หรือเป็นการแสดงจากดวงวิญญาณ ปิศาจผู้มีฤทธิ์สักดวง ซึ่งต่อให้พลังมืดถดถอย ก็สามารถใช้พลังจิตของตน ฉายภาพความทรงจำผ่านสถานที่จำกัด บรรยากาศที่ถูกปรุงแต่งอย่างเหมาะสมแบบนี้ได้



            หลังจากฟ้าผ่ากึ่งกลางสองหนุ่ม สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นม่านบาง ๆ จากนั้นปรากฏอสูรกายสูงใหญ่ ตัวดำมะเมื่อมยืนเรียงแน่นขนัด สร้างบรรยากาศกดดัน น่าพรั่นพรึง

            ใบหน้าสองหนุ่มสงบ ทรงพลัง เปล่งอานุภาพภายในออกมา ฝนหนาเม็ดเทกระหน่ำลงมาเป็นสีขาวพร่างแทบปิดบังสองร่างจนมิดเม้น

            ครืน...เสียงฟ้าคำรามสะเทือนทั่วห้อง ฝูงอสูรกายเริ่มจู่โจม สองหนุ่มปักเท้ามั่นเตรียมรับมือ ห่าฝนซัดซ่าราวกับฟ้ารั่ว กลายเป็นกำแพงหนาปิดบังปกคลุมทั่วบริเวณ

            ไม่มีใครเห็นภาพการต่อสู้สองหนุ่มกับฝูงอสูรกาย รับรู้เพียงกำแพงฝนโยกย้าย เคลื่อนไหวไปมาตามพลังต่อสู้ กดดันที่อยู่ภายในนั้น

            ฟ้าสลัวลงทีละน้อยจนมืดสนิท กำแพงฝนถูกกลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล ดนตรีบรรเลงเอื่อย ชักนำความรู้สึกผู้ชมให้ไหลเลื่อน ล่องลอย สุดแต่ผู้สะกดชักพาไป

            ไม่นาน...ฟ้าสว่าง หยาดน้ำฝนพร่างพรม ลานดินหน้าเรือนเฉอะแฉะ ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยืนเรียงหน้ากระดาน สายตามองไปยังประตูเรือนที่ปิดสนิท ท่าทางกระสับกระส่าย รอคอยด้วยใจจดใจจ่อ

            ครู่หนึ่งประตูเปิด ชายหนุ่มคนแรกเดินออกมาอย่างผึ่งผาย ตามด้วยชายร่างประเปรียว แววตาฉายประกายความสำเร็จ

            พอเห็นทั้งคู่ออกจากเรือนอย่างปลอดภัย ลักษณะท่าทางแสดงถึงชัยชนะ ทั้งเด็กผู้ใหญ่ล้วนถอนใจโล่งอก สีหน้ารอยยิ้มมีความยินดี

            ทว่า...มีเด็กคนหนึ่งจ้องมองสองหนุ่มด้วยแววตาเคียดแค้น โกรธขึ้ง ริมฝีปากเม้มสนิท สายตามองด้านหลังประตูอย่างอาวรณ์ เป็นห่วง



            ละอองหมอกครอบคลุมเรือนพระยาคงเวท และผู้คนจนมิด ก่อนคลี่คลายเปิดแสดงให้เห็นภาพการรื้อถอนเรือนออกเป็นชิ้น ๆ

            ผู้เคยเป็นเจ้าของเรือนท่าทางโล่งอกปนเสียดาย แต่แล้วมีเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้าไปร่ำร้อง ยื้อยุดไม่ยอมให้พวกผู้ใหญ่รื้อเรือนหลังนี้

            เด็กถูกจับไว้ในอ้อมแขนพี่เลี้ยง หยาดน้ำตาพร่างพรมอาบใบหน้าเล็ก ๆ ด้วยความปวดร้าวอาดูร...

            ต่อมาทั้งเรือนถูกแยกไม้เป็นชิ้น ๆ กองรอเวลาขนไปสร้างศาลาวัด เหลือเศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ ที่ไร้ประโยชน์ ชิ้นส่วนที่เป็นเศษซากสื่อวิญญาณถูกนำมารวมไว้ยังจุดที่เคยเป็นกลางเรือน

            สองหนุ่มทรงเวทกระทำพิธีเผาซาก ตัดสายสัมพันธ์เชื่อมโยงปิศาจ ไม่ให้มันออกมาจากผนึกอาคม โดยมีเหล่าเจ้าของบ้านยืนดูอยู่ห่าง ๆ

            เสร็จพิธีพวกผู้ใหญ่ต่างเข้ามาขอบคุณ แสดงความเคารพนับถือ เด็กคนเดิมยืนนิ่งจ้องมองสองหนุ่มด้วยประกายตาเจิดจ้า ลุกโพลงแข่งกับกองไฟ ริมฝีปากขมุบขมิบกล่าวคำอาฆาต สัญญาบางอย่าง



            ภาพเปลี่ยน มองเห็นที่ดินกว้างโล่งถูกปรับไถ จากนั้นการก่อสร้างศิวาดลก็เริ่มต้นขึ้น

            มันแสดงให้เห็นแบบภาพเร่งเวลา ตั้งแต่การขุดหลุม ตั้งเสาทีละต้น ก่อสร้างคฤหาสน์แต่ละชั้น ตกแต่งภายในจนงดงามน่าชื่นชม กระทั่งมันเสร็จสมบูรณ์

            “จาก...เรือนพระยาคงเวท กลายมาเป็นคฤหาสน์ศิวาดล”

            เสียงบรรยายตอนแรกกลับมาอีกครั้ง น้ำเสียงเรียบนิ่ง บอกกล่าวแบบซ่อนนัยให้เข้าใจเองว่าคฤหาสน์หลังนี้สร้างทับบนเรือนโบราณที่มีภูตผี อสูรกายมากมาย

            เสียงดนตรีบรรเลงกรีดความรู้สึก กระตุ้นให้ผู้ชมอยากรู้ เมื่อเรือนพระยาคงเวทกลายเป็นคฤหาสน์ศิวาดลแล้ว...เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

            “เรือนพระยาคงเวทมีอาถรรพณ์ เป็นที่กักขังภูตผี วิญญาณ แม้เรือนถูกรื้อไปแล้ว ดวงวิญญาณเหล่านั้นยังไม่อาจหลบลี้หนีไปไหน...ศิวาดลก็มีอาถรรพณ์...เป็นมรดกตกทอดมาจากเรือนพระยาคงเวทเช่นกัน”

            เสียงบรรยายสอดแทรกเข้ามา ก่อนถูกเสียงดนตรีกลบกลืน พาผู้ชมไปสู่เหตุการณ์ต่อไป



            หมอกขาวคลี่คลาย เห็นภายในห้องนอนกว้าง ตกแต่งสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่การเลือกใช้สีสัน ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับตกแต่ง ล้วนลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

            ห้องนอนสวยงามถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศหม่นซึม หดหู่ เพลงบรรเลงเอื่อย คล้ายดนตรีส่งวิญญาณ

            ดลดารานอนป่วยอยู่บนเตียง ร่างผอมบาง ใบหน้าเซียวหมองคล้ำ รอยดำใต้ตาเด่นชัด ดวงตายังฉายแววความเป็นตัวตนของหญิงสาวใจสู้ไม่เปลี่ยนแปลง

            ข้างเตียงมีหมอดูแล นายศิวานั่งกุมมือไม่ห่าง แววตาเจ็บปวดรวดร้าว ลึกลงไปในนั้นคือความคั่งแค้นที่ไม่อาจปริปาก

            ร่างกายหญิงสาวอ่อนแรง ลางมรณะจับใบหน้า ดลดาราพยายามลืมตามองทุกสิ่งรอบกายเป็นครั้งสุดท้าย ใจยังไม่อยากเชื่อว่า มรณะจะมาพรากชีวิตเธอเร็วขนาดนี้...



            ศิวามองเห็นภรรยาคนแรกกำลังจะตายอีกครั้ง เขาไม่รู้ภาพเหล่านี้ปรากฏได้อย่างไร เชื่อว่ามันไม่ได้เกิดจากการถ่ายทำแล้วนำมาฉายแน่นอน เพราะทุกอย่างในนั้นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งมันชัดเจนในความทรงจำของเขา

            หัวใจเจ็บปวดเมื่อมองเห็นความตายดลดารา คับแค้นตนเองที่ไม่น่าพลั้งปากให้คำสัญญาพล่อย ๆ นั่น

            อะไรก็ได้...ที่ข้าต้องการอย่างหนึ่ง...ในศิวาดล

            เขาไม่เคยคิด ‘เจ้าที่’ จะต้องการชีวิตดลดารา...ภรรยาเขาเอง!

            หลังจากดลดาราเล่าความฝันอันน่าสะพรึงได้ไม่นาน เธอก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาด แพทย์แผนปัจจุบันไม่ทราบสาเหตุ ตั้งสมมุติฐานโรคไม่ถูก แพทย์ทางเลือกก็ไม่มีวิธีรักษา

            ศิวาหมดหนทาง เดินเข้าไปหาเจ้าที่ยังเรือนลับ...

            “ขอร้องล่ะครับท่าน...อย่าเอาดลไปเลย...นอกจากชีวิตของเธอแล้ว ท่านอยากได้อะไรแลกเปลี่ยน ผมยอมทั้งนั้น”

            สายลมพัดผ่านศาลาแปดเหลี่ยม ฝุ่นทรายบนพื้นแปรตัวอักษรอันน่าเจ็บใจ

            ไม่ได้...นี่คือสัญญา

            ธุรกิจตัวใหม่ที่ศิวาถือครองประสบความสำเร็จรวดเร็ว แต่ที่รวดเร็วกว่าคือมรณกรรมของดลดารา

            ยังไม่ทันสั่งเสีย ให้เวลาทำใจ หญิงสาวก็จากไปด้วยสภาพร่างกายซูบผอม มีเพียงดวงตาบ่งบอกความไม่ยอมแพ้ เพียงแต่เหตุแห่งมรณะนั้นร้ายกาจนัก เธอไม่อาจขัดฝืน

            นับจากเริ่มป่วยจนถึงเสียชีวิต ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP