วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๒



cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            พยาบาลโสภี พรนรีเลือนหายไปครู่ใหญ่ พิจิกยืนนิ่งอยู่ตรงชานพักบันไดเดิม เห็นความฟุ้งซ่าน หดหู่สารพัดที่แวะเวียนมารบกวนจิตใจ จนค่อยตั้งสติ รู้ทันใจที่กระจัดกระจาย รู้ทันอารมณ์หดหู่ อ่อนไหว จนความรู้สึกทั้งหลายแปรเปลี่ยน เจือจาง จิตใจเริ่มเป็นปกติมากขึ้น

            ดวงวิญญาณทั้งสองมาขอความช่วยเหลือ เขาสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้าง?

            ใจตั้งมั่น มีกำลังกว่าเดิม จึงได้คำตอบขึ้นมา...สิ่งไหนยังทำไม่ได้คือยังไม่ได้...ที่ควรใส่ใจคือภารกิจตรงหน้า สิ่งที่สามารถกระทำได้ก่อน...

            พิจิกระบายลมหายใจยาว ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจออกมา ขยับขาเดินลงจากชานพักบันได จิตใจปลอดโปร่งกว่าเดิม ทั้งที่รู้ตนเองมีภาระเพิ่มขึ้น



            ลงมาถึงลานกว้างหน้าตึก ฟ้าเริ่มมืด แสงไฟตามเสาริมทางเดินส่องสว่าง ลูกจ้างหนุ่มกำลังจะเดินไปยังตึกใหญ่ ทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟเฉพาะกิจ แต่แล้วกระแสคลื่นการเชื่อมต่อก็พุ่งปลาบมากระทบให้รู้สึก...

            “เริ่มแล้วสิ...” ชายหนุ่มพึมพำ

            เมษาประกอบพิธีรวมธาตุแล้ว

            ถุงดินในกระเป๋ากางเกงบังเกิดความอุ่นวาบขึ้นทีละน้อย พิจิกมองซ้ายขวา ไม่เห็นลูกจ้าง คนงานอยู่บริเวณนั้น จึงหลบไปนั่งตรงเก้าอี้หิน ใต้เงามืดร่มไม้ แล้วผ่อนลมหายใจยาวลึก รวบรวมสติสมาธิให้มั่นคง

            รอยอุ่นจากถุงดินในกระเป๋าบ่งบอกว่า เมษาเริ่มต้นสวดสาธยายมนตรา ฝุ่นดินที่เคลือบอาคมได้ส่งสัญญาณเชื่อมต่อบอกให้รู้ เตือนว่าทั้งเขาและเมษา ต้องร่วมสวดมนตราบทเดียวกัน พิธีรวมธาตุครั้งนี้จึงสำเร็จทั้งสองฝ่าย

ทั้งสองเรียนวิชาสำนักเดียวกัน มนตราบทเดียวกัน รู้จักฝีมือกันและกันกว่าใคร พอฝ่ายหนึ่งเริ่มพิธี อีกฝ่ายก็รู้ควรท่องสวดมนตราใด เพื่อสอดรับ ประสานเป็นอาคมเดียวกัน

            พิจิกนั่งตัวตรง ส่งสายตาผ่านความสลัวรางโดยไม่โฟกัสจุดใดเป็นพิเศษ จิตแผ่ขยายกว้าง ริมฝีปากขยับสวดท่องมนตร์เบา ๆ จังหวะ ถ้อยคำมีน้ำหนัก พลังในตนเอง

            รอยอุ่นเนื้อดินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น บอกให้รู้การเชื่อมต่อระหว่างดินในกระเป๋ากับก้อนดินที่เมษาใช้ทำพิธีกำลังเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ที่เหลือแค่ให้พิธีรวมธาตุสำเร็จ ดินในกระเป๋าพิจิก กับดินเมษาก็จะกลายเป็นดินกลางเรือนพระยาคงเวททันที

            มนตรามาถึงท่อนท้าย ก้อนดินร้อนฉ่าแผ่ออกมาจนแทบทนไม่ไหว พิจิกวางเฉยต่ออาการแสบร้อนที่รู้สึก จิตจดจ่อต่อมนตราที่สวดสาธยาย

            กระทั่งสุดท้าย มนตร์จบบท ความร้อนหายวับ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบฉับพลัน

            ...มันเย็นเยียบเสมือนอยู่ใต้พื้นคอนกรีตมานานนับสิบปี...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมษาตักดินบนพื้นใส่ถุงด้วยอาการสงบ จิตใจปราศจากอารมณ์ว้าวุ่นกระวนกระวาย กำลังสมาธิจากการสวดสาธยายมนตร์ยังหลงเหลือมากพอ

            เก็บดินทั้งหมดเรียบร้อยยัดใส่กระเป๋า กวาดตามองสิ่งของที่หลงเหลือ ก่อนหยิบขวดน้ำใบเล็กขึ้นมา ดูจนไม่พบร่องรอยใดเป็นหลักฐานจึงลุกขึ้น รีบออกจากห้องเก็บไวน์โดยเร็ว

            ผ่านตรงจุดที่มีนากำลังถ่ายรายการ แว่วเสียงแพรพลอยพูดขอบคุณทีมงานทุกคนอย่างมีมารยาท เสียงเก็บกล้อง เก็บข้าวของดังตามมา บอกว่าการบันทึกเทปรายการเพิ่งสิ้นสุด

            เมษาใช้ความคล่องตัวหลบแวบขึ้นจากชั้นใต้ดินโดยไม่มีใครผิดสังเกตอย่างรวดเร็ว

            มาถึงชั้นบนโดยไม่มีภาพติดกล้องวงจรปิดสำเร็จค่อยโล่งอก ได้ยินเสียงพูดคุยจากแขกวีไอพีบนชั้นสองมาแว่ว ๆ แสดงว่าใกล้เวลาลงมายังห้องจัดเลี้ยงแล้ว

            พอเดินผ่านห้องโถงแกลอรี่ เมษาสัมผัสกระแสคุ้นเคย อดไม่ได้ต้องเลี้ยวเข้าไปดูรูปดลดาราที่แขวนไว้บนผนัง

            ด้วยกำลังสมาธิยังหลงเหลือ จึงสังเกตเห็นบางอย่างบนสีหน้าแววตาหญิงสาวในภาพ รู้สึกอีกฝ่ายกำลังส่งข้อความสำคัญให้ทราบ

            เมษาล้วงมือไปในกระเป๋า ปลายนิ้วสัมผัสหัวพลอยเข็มกลัดดลดารา ชั่วเวลานั้น ในหัวปรากฏภาพนิมิตเชื่อมต่อจากคราวก่อนอย่างง่ายดาย

            ในนิมิตครั้งที่สาม ดลดาราทราบว่าศิวาดลสร้างทับบนผนึกอาคม ทำให้เธอฝันเห็นผีร้ายน่ากลัว จึงปรึกษากับแม่บ้านเข็มทองเพื่อหาหนทางแก้ไข

            นิมิตครั้งที่สี่คราวนี้บอกว่า แม่บ้านเข็มทองยังหาวิธีแก้ไข ปราบปรามผีร้ายไม่ได้ แต่เธอมีข้อมูลสำคัญมารายงานนายหญิงศิวาดล เป็นข้อมูลที่ทำให้เธอทราบเกี่ยวกับ ดวงวิญญาณ ผีร้ายที่พระยาคงเวทนำมากักขังไว้

            เมษารับทราบเรื่องราวในนิมิต แล้วเกิดความเข้าใจชัดเจน...

            ตอนนี้เธอรู้แล้ว ปิศาจร้ายหนึ่งในสองของผู้ทรงเวทในเงา ซึ่งควบคุมเหล่าดวงวิญญาณในศิวาดลคือใคร?




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ฟ้ามืด รถยนต์แขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงทยอยเข้ามาเป็นระยะ

            ทีมรักษาความปลอดภัยศิวาดลทำหน้าที่จราจร คอยอำนวยความสะดวก แนะนำเส้นทางเข้า-ออก ดูแลจัดระเบียบการจอดรถอย่างมีประสิทธิภาพ

            นอกจากนั้นยังแบ่งส่วนกระจายกำลังดูแลตามจุดต่าง ๆ คอยเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุร้ายจากบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญ เพื่อไม่ให้มีเหตุคนร้ายบุกยิงเจ้าของบ้านอย่างเดิมอีก

            แขกที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงค่ำนี้ มาจากหลายวงการ ทั้งผู้บริหาร ถือหุ้นในบริษัทนายศิวา ดารา นักร้อง คนในแวดวงบันเทิง เพื่อนสนิทของแพรพลอย นอกจากนี้ยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นักการเมืองคนสำคัญ และผู้ใหญ่ที่นายศิวา แพรพลอยนับถือ

            ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ดูแคบถนัดตา เมื่อแขกเริ่มทยอยเข้างาน ถึงอย่างนั้นด้วยวิธีการจัดโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ มีชั้นเชิง ทำให้เด็กเสิร์ฟเดินส่งอาหารสะดวก ผู้ร่วมงานลุกเดินเหินคล่องตัว ไม่อึดอัด ดูไม่เบียดเสียดอย่างที่คิด

            พิจิก เมษา และลูกจ้างหนุ่มสาวที่หน่วยก้านดีอีกสามสี่คน ถือถาดเครื่องดื่ม คอยเสิร์ฟให้แก่แขกที่ยังเดินชมงานอยู่นอกห้องจัดเลี้ยง

            ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยง มีการโชว์ผลงานของดลดาราอีกเซตหนึ่ง ซึ่งเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานเข้ามาชื่นชม โดยผลงานโดดเด่นที่สุดตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงพอดี

            พิจิกนำถาดเครื่องดื่มเปล่ามาวางไว้ที่เคาน์เตอร์ รอให้เจ้าหน้าที่เครื่องดื่ม จัดเครื่องดื่มมาวางเรียงเพิ่มเติม

            เมษาตามมาถึงในเวลาใกล้เคียง ระหว่างสองหนุ่มสาวยืนรอเจ้าหน้าที่จัดเครื่องดื่มให้ มีเสียงพูดจาแผ่วเบา พอได้ยินกันสองคน

            “ไอ้คนหน้าด้าน!” เมษาเน้นเสียงดุ

            พิจิกอมยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้ว่าหญิงสาวด่าตนเองด้วยสาเหตุใด

            “ฉันเรียกว่าเป็นการประสานประโยชน์อย่างลงตัวเว้ย” เขาตอบอย่างไม่อาย

            “ประสานประโยชน์บ้านแกสิ...เราเป็นคู่แข่งกัน มีแต่คนหน้าด้านอย่างแกนี่แหละ ที่เอาเปรียบ กินแรงคนอื่นแล้วยังพูดหน้าด้าน ไม่มียางอายแบบนี้ได้”

            เมษาไม่ลดราวาศอก ถึงยอมให้พิจิกมีส่วนได้รับดินกลางเรือนไปแล้ว อย่างน้อยก็ขอด่าทอให้หายเจ็บใจก่อน

            โดนเข้าขนาดนี้พิจิกยังยิ้มออก

            “คิดง่าย ๆ นะ ถ้าวันนี้ฉันเข้าไปทำพิธีอีกรอบ จะเกิดอะไรขึ้น?”

            พูดอย่างนี้เท่ากับสารภาพ เมื่อวานเข้าไปทำพิธีแล้วไม่สำเร็จ จึงต้องใช้ลูกเล่น

            เมษาฟังแล้วอึ้ง คิดตาม...ถ้าพิจิกเข้าไปทำพิธีรวมธาตุในเวลาเดียวกับหล่อน รับรองต้องเสียเวลาทะเลาะช่วงชิงโอกาส เพราะช่วงเวลา สถานการณ์ตอนนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว จะไปช้าหรือเร็วกว่านี้ไม่ได้

            พอหญิงสาวอับจนถ้อยคำ พิจิกเลยได้ทีสำทับทวงบุญคุณ

            “นี่ถือว่าฉันยอมเสียสละโอกาสอันดีให้แกนะเนี่ย...ยังมีหน้ามาด่ากันได้อีก”

            โดนคนหน้าไม่อายมาทวงบุญคุณกันแบบนี้ เมษาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าให้สาสม อีกทั้งเป็นเวลาไม่เหมาะที่จะปะทะคารมรุนแรง ทำได้เพียงส่งสายตาอาฆาตเอาไว้ ก่อนนำถาดเครื่องดื่มไปยืนประจำจุดของตน

            พิจิกถือถาดเครื่องดื่ม เดินตามไปยืนข้าง ๆ เมษาเงยหน้าส่งสายตาดุเหมือนตั้งคำถาม...

            ‘ตามมาทำไมอีก’

            ชายหนุ่มก้มลงพูดเบา ๆ สายตามองแขกที่มาร่วมงาน

            “ระวังตัวไว้ด้วยนะ ทุกอย่างที่พวกเราทำตั้งแต่มาศิวาดล อยู่ในสายตาของผู้ร้ายในเงาตลอดเวลา!”

            เป็นคำเตือนที่พิจิกอยากจะบอกตั้งแต่แรกเจอ แต่ต้องยอมให้หญิงสาวระบายโทสะเรื่องที่เขาใช้เล่ห์กลเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเมษาจะไม่ยอมฟังอะไรเลย

            พอพูดจบ สองสายตาค่อยสานสบกัน มีแววห่วงใย จริงใจปรากฏอยู่ในนั้น

            เมษาเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่กล่าววาจาขอบคุณ

            พิจิกอมยิ้ม มองตามด้วยแววตาขำขัน ปลอดโปร่งใจ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถยนต์ของนายศิวาแล่นมาจอดเทียบหน้าบันไดคฤหาสน์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งมาเปิดประตูให้

            เจ้าของศิวาดลลงจากรถด้วยท่วงท่าสง่าราศี แต่งกายเรียบร้อย พร้อมเข้างานเลี้ยง พอมองเห็นแขกที่มางานก็เข้าไปทักทายพูดคุย เชิญชวนให้เข้าไปข้างในด้วยกัน

            พอมาถึงห้องโถงที่ถูกเปลี่ยนแปลง ก็ต้องชะงัก มองภาพวาดผลงานอดีตภรรยาด้วยแววตางุนงงยากอธิบาย ยิ่งเดินมาถึงภาพสุดท้าย เป็นรูปดลดาราก็เย็นวูบขึ้นมาโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

            แววตา รอยยิ้มแปลกของดลดาราในรูป คล้ายกำลังขบขันแกมหมิ่นเย้ยบอกไม่ถูก สีหน้านายศิวาเปลี่ยนไปชั่ววูบ ก่อนปรับให้เป็นปกติ เมื่อได้ยินแขกที่ยืนชมภาพใกล้ ๆ เอ่ยปากทักทาย

            จากนั้นนายศิวา และแขกที่อยู่ในห้องโถง ต่างพากันมาถึงหน้าห้องจัดเลี้ยง ต้องแปลกใจอีกครั้งกับผลงานเซตพิเศษของดลดารา

            ทว่า...ภาพผลงานทุกรูปในเซตนั้น ไม่มีรูปไหนโดดเด่น จนก่ออาการสะท้านสะเทือนรุนแรงในใจนายศิวาได้เท่ากับรูปที่อยู่หน้าประตูห้องจัดเลี้ยง

            ภาพนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เขียนด้วยลายเส้นดินสอขาว-ดำ สามารถลงรายละเอียดในรูปออกมาได้เสมือนจริงจนน่าตกใจ

            นายศิวาก้าวไปยืนมองภาพนั้นอย่างลืมตัว สายตาเก็บรายละเอียดทุกอย่างในรูป ราวกับมันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ตนเองลืมเลือนไปแล้ว

            “อ้าว...คุณแพรพลอยลงมาแล้ว”

            เสียงเอ่ยปากจากแขกที่ยืนอยู่ใกล้ เรียกให้นายศิวาหันกลับไปมองภรรยาตน...

            แพรพลอยแต่งกายสวยงาม ยืนอยู่ตรงชานพักบันได สายตามองลงมาด้วยรอยยิ้ม แสงไฟสว่างจับร่างของเธอดูโดดเด่น ระเหิดระหงกว่าเคย

            นายศิวายืนนิ่ง นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเพลิงโทสะจะลุกโชนขึ้นในแววตา

            ไม่น่าเชื่อ...นายศิวาไม่ได้กลับบ้านแค่สัปดาห์เดียว เหตุใดจึงเกิดเรื่องน่าประหลาด ที่จุดไฟโทสะในใจให้ร้อนแรงได้ขนาดนี้







บทที่ ๑๔



            ธีมงานเปิดรั้วศิวาดลคืออะไร?

            แรกทีเดียว แพรพลอยมองในเชิงธุรกิจ ธีมงานเปิดรั้วศิวาดลคือ...ที่นี่มีอะไรดีบ้างพอจะเปิดโชว์ อะไรคือจุดขายของศิวาดล อะไรคือสิ่งที่คนภายนอกอยากรู้ อยากเข้ามาสัมผัส...

            สรุปว่า...งานเปิดรั้วศิวาดล คือ เปิดสิ่งน่าสนใจในศิวาดล ให้คนนอกได้รับรู้

            จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อน แม่บ้านเข็มทองเข้ามาถาม...งานเปิดรั้วศิวาดลครั้งนี้ จะเปิดให้คนภายนอกขึ้นไปชมห้องใต้หลังคา สถานที่ทำงานของดลดาราหรือไม่?

            “คิดว่าคงไม่นะป้าเข็ม ถามทำไมหรือ?” แพรพลอยสงสัย

            “คุณดลดาราเป็นศิลปินดัง ผลงานในปัจจุบันมีมูลค่าสูงมาก ดิฉันคิดว่าแขกที่คุณเชิญมา อาจมีหลายคนสนใจต้องการขึ้นไปชมห้องทำงาน และผลงานที่เหลือของเธอ”

            นั่นทำให้แพรพลอยฉุกคิด...

            ในต่างประเทศ เมืองที่เคยเป็นที่อยู่ของศิลปินดังระดับโลก บ้านของศิลปินผู้ล่วงลับเหล่านั้น มักถูกยกย่องให้เป็นสถานที่สำคัญ ซึ่งมีท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเป็นประจำไม่ขาดสาย สร้างชื่อเสียงรายได้ให้เมืองนั้นเป็นกอบเป็นกำ

            ห้องทำงาน และผลงานที่หลงเหลือของดลดารา ย่อมนับเป็น ‘สินค้า’ มีค่าอย่างหนึ่งในศิวาดลก็ได้

            “ป้าช่วยพาพลอยไปดูห้องทำงานของเธอหน่อยสิ” แพรพลอยเอ่ยปากบอกอย่างลังเล

            ถึงไม่มีใครสั่งห้ามย่างกรายไปทางปีกตึกฝั่งดลดารา แต่นายหญิงคนปัจจุบันก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว เยี่ยมเยียนมัน

            “ค่ะ” แม่บ้านเข็มทองรับคำ



            ห้องทำงานใต้หลังคาของดลดาราอยู่ในสภาพสะอาด เรียบร้อย เป็นระเบียบแสดงถึงความเอาใจใส่ดูแลจากแม่บ้านใหญ่ไม่ขาดตกบกพร่อง

            จุดสนใจแพรพลอยอยู่ที่ภาพเขียนบนขาหยั่งที่ถูกผ้าคลุมไว้

            “รูปอะไรน่ะป้า” แพรพลอยเอ่ยถาม

            “ผลงานคุณดลดาราค่ะ” ตอบเหมือนไม่ได้ตอบ ภาพทุกชิ้นในห้องนี้น่าจะเป็นผลงานดลดาราอยู่แล้ว

            “เปิดดูได้มั้ย” หญิงสาวถามเหมือนขอความเห็น มากกว่าขออนุญาตแม่บ้าน

            “ได้สิคะ ดิฉันคลุมผ้ากันฝุ่นไว้เท่านั้นเอง” แม่บ้านเข็มทองบอกพร้อมกับเดินไปเปิดผ้าคลุมออกอย่างรู้ใจเจ้านาย

            ผ้าคลุมเลื่อนออกเผยให้เห็นภาพวาดหญิงสาวสวยกระจ่างตา ดวงตามองออกมาราวกับมีชีวิต วิญญาณอยู่ในนั้น

            “รูป...คุณดลดาราเองหรือ” เสียงถามแปร่ง ๆ

            “ค่ะ” แม่บ้านใหญ่ตอบรับ

            แพรพลอยเดินเข้าไปใกล้ สบกับนัยน์ตารูปภาพ รู้สึกถึงคลื่นความคิดที่ส่งออกมา รอยยิ้มแปลกบนใบหน้าดลดาราบอกความหมายที่เข้าใจไม่ยาก

            ...ฉันสวยมั้ย...

            “เธอ...สวยมากนะ” แพรพลอยพึมพำตอบคำพูดในหัว

            “ค่ะ” แม่บ้านเข็มทองรับคำ เงียบครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก “คุณพลอยทราบมั้ยคะ ชื่อ ‘ศิวาดล’ มีความหมายว่าอะไร”

            คำถามนี้เรียกนายหญิงคนปัจจุบันหันกลับมา

            “ศิวาดล...” เอ่ยทวนเบา ๆ “น่าจะเป็นชื่อคุณศิวา...กับ...”

            หญิงสาวค้างวาจาไว้ พลางเบือนหน้าทางภาพวาด

            “กับ...คุณดลดาราใช่มั้ย”

            หญิงสาวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

            “มันลึกซึ้งกว่านั้นค่ะ” แม่บ้านใหญ่แย้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

            “ความหมายแท้จริงของมันคืออะไร” ถามโดยพยายามไม่ใส่ใจอยากรู้

            “ถ้าดิฉันพูดไป คุณพลอยอาจรู้สึกไม่ดี” คำตอบแม่บ้านยิ่งกระตุ้นจิตใจ

            “ไม่ดียังไง...บอกมาเถอะป้า...พลอยไม่ใช่คนคิดมากหรอก” คนที่พูดอย่างนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นตรงกันข้าม

            แม่บ้านเข็มทองนิ่งชั่วขณะ ชั่งใจก่อนเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง

            “ศิวาดล มีความหมายคล้ายกับคำว่า ‘พรหมลิขิต’ มันหมายถึง การพบกันของคุณศิวา กับคุณดลดารา เป็นลิขิตจากองค์มหาเทพ เสมือนการดลบันดาลจากพระศิวะ”

            แพรพลอยนิ่งอั้น ไม่มีวาจาพูด ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปได้ยินแบบนี้คงแทบอกแตกตาย หึงหวงไม่พอใจในความรักเก่าของสามี

            หญิงสาวเงียบชั่วขณะ ก่อนตั้งสติ ระบายรอยยิ้มอ่อน ๆ

            “ฟังดูโรแมนติกจัง” แพรพลอยสบตาแม่บ้านใหญ่แล้วยิ้มอย่างไม่ติดใจ “พลอยไม่ถือเรื่องนี้หรอกจ้ะ คุณดลดาราเสียชีวิตตั้งนานแล้ว พลอยจะหึงคนที่ตายไปเป็นสิบกว่าปีได้ยังไง”

            “คุณพลอยไม่ติดใจก็ดีแล้ว” แม่บ้านเข็มทองพูดเรียบ ๆ แววตาซ่อนนัยรู้เท่าทัน

            “อืมม์...” แพรพลอยมองรอบห้องแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยปาก

            “แทนที่จะให้แขกเดินขึ้นมาถึงห้องใต้หลังคา เราเอาผลงานคุณดลดาราไปจัดแสดงไว้ที่ห้องโถง กับที่หน้าห้องจัดเลี้ยงดีกว่า”

            แม่บ้านใหญ่รับฟังด้วยสีหน้าสงบ ไม่แสดงความรู้สึก แพรพลอยจึงขยายความคิดตนเองออกมา

            “พลอยว่า...เราน่าจะเปลี่ยนธีมของงานนี้ไปด้วย...ธีมงานครั้งนี้น่าจะเป็น...ศิวาดล คือดลดารา...”

            สตรีต่างวัยสบตากันด้วยแววแปร่งแปลก

            “แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรหรือคะ” ปัญหาที่แม่บ้านเข็มทองหมายถึงก็คือ ตัวของนายศิวา

            “ไม่เป็นไรค่ะ งานนี้คุณศิวายกหน้าที่การตัดสินใจทั้งหมดให้พลอยไปแล้ว เปลี่ยนธีมงานใหม่แบบนี้คุณศิวาน่าจะพอใจด้วยซ้ำ...เพราะถ้าใครได้มาเห็นศิวาดล ก็ต้องยอมรับว่า ที่นี่คือการรวมผลงานศิลปะทั้งหมดของคุณดลดาราเอาไว้”

            คราวนี้คุณแม่บ้านผงกศีรษะยอมรับ

            “ดีค่ะ” กล่าววาจาด้วยสีหน้าปกติ “ถ้าคุณพลอยบอกว่า ศิวาดล คือดลดารา...แขกที่มาร่วมงานทั้งหมด จะรู้สึกว่าคุณพลอยเป็นผู้หญิงใจกว้าง ให้เกียรติคุณดลดารา อย่างที่ไม่เคยมีนายหญิงคนอื่นเคยทำมาก่อน”

            แพรพลอยไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำชม หรือวาจาประชดแดกดัน เพราะสีหน้ากิริยาแม่บ้านใหญ่ ไม่แสดงอารมณ์ ความรู้สึกใดให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตได้เลย

            หากพิจารณาตามคำพูดแม่บ้านเข็มทอง การที่แพรพลอยเลือกธีมงานเช่นนี้ ย่อมเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตนเอง ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงใจกว้าง จริงใจ ไม่ติดยึดกับอดีตของสามี

            คอนเซ็ปต์งานถูกเปลี่ยนกะทันหัน โชคดีที่ได้นักจัดอีเว้นท์มือทอง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบงานตามความต้องการได้โดยไม่ลำบาก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP