ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

อุทกูปมสูตร ว่าด้วยทรงเปรียบบุคคลเหมือนน้ำ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๕] ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่เปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๗ จำพวกเป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้จมลงแล้วคราวเดียว ก็เป็นอันจมอยู่อย่างนั้นเอง ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลงอีก ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่ ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วเหลียวมองดู ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าข้ามไป ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่ง ๑
บางคนโผล่ขึ้นมาแล้วข้ามถึงฝั่งเป็นพราหมณ์อยู่บนบก ๑.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียว
ก็เป็นอันจมอยู่อย่างนั้นเองเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียว
ก็เป็นอันจมอยู่อย่างนั้นเองเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลงอีกเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
หิริของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
โอตตัปปะของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
วิริยะของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
ปัญญาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลงอีกเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่เป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
หิริของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
โอตตัปปะของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
วิริยะของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
ปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่เป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วเหลียวมองดูเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาเป็นพระโสดาบัน
มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง เป็นผู้จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วเหลียวมองดูเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าข้ามไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางลง
เขาเป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าข้ามไปเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี
จักปรินิพพานในภพนั้น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้ว
ข้ามถึงฝั่งเป็นพราหมณ์อยู่บนบกเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม
คือ ศรัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริดีในกุศลธรรมทั้งหลาย โอตตัปปะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
วิริยะดีในกุศลธรรมทั้งหลาย ปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
เขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้ว
ข้ามถึงฝั่งเป็นพราหมณ์อยู่บนบกเป็นอย่างนี้แล.


ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่เปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก


อุทกูปมสูตร จบ



(อุทกูปมสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP