จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

วางกับดักทำร้ายตัวเอง


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

 


261 destination



เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้สนทนากับญาติธรรมท่านหนึ่งในเรื่องการดูแลคุณแม่
โดยญาติธรรมท่านนี้พักอาศัยกับคุณแม่ที่ชราแล้ว
ต่อมา เขาได้จัดและปลูกต้นไม้และดอกไม้ใหม่ในพื้นสนามและพื้นที่รอบ ๆ บ้าน
เพื่อให้แลดูสวยงาม และให้คุณแม่มาเดินชมต้นไม้และดอกไม้อย่างมีความสุข
ซึ่งก็ได้ผลดีนะครับ โดยคุณแม่ก็มาชมต้นไม้และดอกไม้สวยงามนั้นเป็นประจำ


ต่อมา ปัญหาเกิดขึ้นว่า คุณแม่ได้ช่วยรดน้ำต้นไม้และดอกไม้ให้ด้วย
ซึ่งต้นไม้และดอกไม้ก็มีหลายประเภทแตกต่างกัน
ต้นไม้และดอกไม้บางประเภทก็ไม่ชอบน้ำ
หากเรารดน้ำมาก ก็จะทำให้ต้นไม้และดอกไม้นั้น ๆ เน่าตาย
โดยในช่วงเวลานี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เข้าฤดูฝนแล้ว
บางวันก็มีฝนตกหนักมาก แต่คุณแม่ก็ยังช่วยรดน้ำให้อีก
ทำให้ต้นไม้และดอกไม้ประเภทที่ไม่ชอบน้ำเน่าตายไปหลายต้นแล้ว
ญาติธรรมท่านนี้ได้ห้ามและเตือนคุณแม่หลายครั้งแล้ว
แต่คุณแม่ก็ไม่ฟังหรือไม่จำ ก็ยังรดน้ำต้นไม้และดอกไม้นั้นต่อไป
โดยล่าสุด ญาติธรรมท่านนี้ก็ได้ทะเลาะกับคุณแม่ในเรื่องการรดน้ำ
และทะเลาะกันรุนแรงถึงขนาดว่า คุณแม่ต้องการย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น
ญาติธรรมท่านนี้ก็มาเล่าเรื่องดังกล่าวให้ผมฟัง
และเล่าอีกว่านอกจากรดน้ำต้นไม้และดอกไม้ตายแล้ว
คุณแม่ยังทำของหลายอย่างในบ้านพังหรือเสียหายอีกด้วย


ผมได้ฟังเรื่องดังกล่าวแล้วก็แนะนำญาติธรรมท่านนี้ว่า
เขาได้วางกับดักทำร้ายตัวเองนะครับ
เพราะการที่เขาเลี้ยงดูคุณแม่ไปตามปกติ
โดยไม่ได้จัดปลูกต้นไม้และดอกไม้ใหม่ในพื้นที่บ้านเลยก็ตาม
เขาก็ได้บุญกุศลในการเลี้ยงดูมารดาอยู่แล้ว
และคุณแม่ของเขาก็ไม่ได้ขอให้ปลูกต้นไม้และดอกไม้อะไร
แต่เมื่อเขาต้องการจัดปลูกต้นไม้และดอกไม้ในบริเวณบ้าน
เพื่อให้คุณแม่ได้เดินชมต้นไม้และดอกไม้อย่างมีความสุขแล้ว
ผลปรากฏว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับคุณแม่รุนแรง
จนกระทั่งคุณแม่ต้องการย้ายหนีออกจากบ้าน


เช่นนี้แล้ว ถามว่าการจัดปลูกต้นไม้และดอกไม้ที่เขาทำอยู่นั้น
จริง ๆ แล้ว มันเป็นประโยชน์หรือมันเป็นโทษแก่ตนเองกันแน่?
ซึ่งญาติธรรมท่านนี้ก็ต้องเสียทั้งเงิน เวลา และแรงกำลังมากมาย
ในการที่จะจัดปลูกต้นไม้และดอกไม้ใหม่มากมายในบริเวณบ้าน
แต่สิ่งเหล่านั้นกลับให้ผลเสียมากกว่าผลดีนะครับ
แม้ว่าอาจจะได้บุญกุศลอยู่บ้าง แต่ตนเองกลับได้บาปอกุศลหนักมาด้วย
เพราะตนเองต้องมาทะเลาะหรือว่าคุณแม่ตนเองอย่างรุนแรง
กรณีจึงเท่ากับว่าเขาได้วางกับดักทำร้ายตนเอง


ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
สมจิตตวรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า
บุคคลทั้ง ๒ ที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย ๆ ได้แก่ มารดา และบิดา
โดยแม้ว่าบุตรจะแบกมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง และแบกบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีชีวิตอยู่อย่างนั้นตลอดร้อยปี โดยปฏิบัติต่อบิดามารดาทั้ง ๒
ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด
และบิดามารดาทั้ง ๒ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขาก็ตาม
การกระทำเช่นนั้น ก็ยังไม่ชื่อว่าบุตรได้ตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา
หรือแม้ว่าบุตรจะได้สถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติในแผ่นดิน
อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมาย ก็ยังไม่ชื่อว่าบุตรได้ตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา
ข้อนั้นเป็นเพราะว่า มารดาบิดามีอุปการะมาก
บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=20&A=1617&Z=1840&pagebreak=0


ในเรื่องนี้ ผมจึงแนะนำ ๒ ทางเลือกแก่ญาติธรรมท่านนี้นะครับ
ทางเลือกแรกคือ เขาต้องยอมรับสภาพปัจจุบันให้ได้ว่า
คุณแม่ท่านชรามากแล้ว และเป็นปกติที่จะไม่เข้าใจหรือจำไม่ได้ในเรื่องต่าง ๆ
ดังนั้น การที่คุณแม่จะรดน้ำทำให้ต้นไม้หรือดอกไม้บางต้นเน่าตาย
เขาก็ต้องทำใจและยอมรับให้ได้ โดยไม่ไปโกรธหรือโมโหในเรื่องนั้น
หากเขามีเงิน เวลา และแรงกำลังเพียงพอ เขาก็ปลูกใหม่ทดแทนไป
ในทำนองเดียวกันกับสิ่งของอื่นในบ้านที่คุณแม่ทำพังหรือเสียหาย
เขาก็ต้องทำใจและยอมรับให้ได้ ไม่ไปโกรธหรือโมโหเช่นกัน
และหากเขามีเงิน เวลา และแรงกำลังเพียงพอ
เขาก็ซ่อมแซมหรือซื้อใหม่ทดแทนต่อไป


ในทางเลือกที่สอง หากเขาไม่สามารถยอมรับสภาพปัจจุบันได้
และหากเขาจะยังโกรธหรือโมโห
ที่คุณแม่รดน้ำทำให้ต้นไม้หรือดอกไม้บางต้นเน่าตายแล้ว
เขาก็ไม่ควรจะจัดปลูกต้นไม้หรือดอกไม้ประเภทที่ไม่ชอบน้ำ
หรือจะเลิกไม่ต้องปลูกต้นไม้หรือดอกไม้อะไรเลยก็ได้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาต้องทะเลาะหรือไปว่าคุณแม่
ในส่วนของสิ่งของอื่นในบ้านที่คุณแม่ทำพังหรือเสียหาย
เขาก็พิจารณาว่าสิ่งของนั้นจำเป็นต้องมีหรือไม่
ถ้าไม่จำเป็นต้องมี ก็ไม่ต้องมี เพราะถ้าเขายิ่งมีของในบ้านเยอะ ๆ
ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการที่ผู้สูงอายุในบ้านจะทำของนั้น ๆ พังหรือเสียหาย
ในทางกลับกัน ถ้ามีของน้อย ๆ เท่าที่จำเป็นแล้ว
โอกาสในการที่ผู้สูงอายุในบ้านจะทำของพังหรือเสียหาย ก็ย่อมจะลดลง
นอกจากนี้แล้ว เวลาเลือกซื้อของก็ควรเลือก
แต่ประเภทที่ทนทาน และมีระบบการใช้งานที่เข้าใจง่าย
เพราะหากเขายิ่งเลือกซื้อของที่ระบบการใช้งานซับซ้อน
โอกาสที่ผู้สูงอายุในบ้านจะทำของนั้น ๆ พังหรือเสียหาย ก็ย่อมจะมีมากขึ้น


โดยญาติธรรมท่านนี้ก็รับจะไปพิจารณาเลือกเองนะครับว่า
จะเลือกทางเลือกไหน แต่สิ่งสำคัญก็คือว่า
ญาติธรรมท่านนี้ยอมรับว่า ทางเลือกที่จะสอนให้คุณแม่เข้าใจและจำได้ว่า
ต้นไม้หรือดอกไม้ไหนที่ไม่ชอบน้ำ และไม่ควรรดน้ำนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน
เพราะได้เคยพยายามแล้ว และคุณแม่ก็สูงอายุมาก คุยกันไม่เข้าใจแล้ว


เรื่องราวที่ได้เล่ามานี้ก็เป็นกรณีตัวอย่างของการดูแลบิดามารดานะครับ
ว่าเราก็ควรจะระมัดระวังตนเองไม่ให้วางกับดักทำร้ายตัวเอง
ด้วยการไปจัดหาหรือซื้อบางสิ่งบางอย่างมา
แล้วทำให้ต้องทะเลาะกับบิดามารดาตนเอง
นอกจากกรณีที่เราอาจจะวางกับดักทำร้ายตัวเองแล้ว
กรณีที่คนใกล้ตัวจะวางกับดักทำร้ายเรา ก็มีได้เหมือนกัน


ในอรรถกถา “ตักกลชาดก” ว่าด้วย การเลี้ยงดูบิดามารดา เล่าว่า
ในสมัยพุทธกาล บุรุษคนหนึ่ง มารดาของเขาได้ตายแล้ว
เขาได้ปฏิบัติบำรุงเลี้ยงบิดาอย่างดี
ต่อมา บิดาได้นำหญิงคนหนึ่งมาเป็นภรรยาให้แก่บุรุษนั้น
นางได้มีอุปการะและเคารพยำเกรงต่อสามี และพ่อสามี
ฝ่ายสามีก็ยินดีว่า นางเป็นผู้อุปการะต่อบิดาของตน
จึงนำของที่ชอบใจมามอบให้นาง ซึ่งนางก็ได้นำไปให้พ่อสามีทั้งสิ้น
ต่อมา นางคิดว่า สามีของเราได้ของที่ชอบใจมา
ก็มิได้ให้แก่บิดา แต่ให้เราผู้เดียวเท่านั้น เขาคงไม่มีความรักในบิดาเป็นแน่
เราจักใช้อุบายอย่างหนึ่งทำบิดานี้ เป็นที่เกลียดชังแก่สามีเรา
แล้วให้สามีเราขับไล่บิดาออกจากเรือน


นับแต่นั้น นางก็ทำเหตุที่ยั่วให้พ่อสามีโกรธ เช่น
ให้น้ำเย็นเกินไปบ้าง ร้อนเกินไปบ้าง
ให้อาหารเค็มจัดบ้างจืดไปบ้าง ให้อาหารดิบ ๆ สุก ๆ บ้าง แฉะเกินไปบ้าง
เมื่อพ่อโกรธ นางก็กล่าวคำหยาบว่า ใครจักอาจปฏิบัติตาแก่นี้ได้
แล้วก่อการทะเลาะขึ้น แล้วแกล้งขากก้อนเขฬะ เป็นต้น ในที่ทั่วๆ ไป
แล้วฟ้องสามีว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดา
เมื่อฉันกล่าวว่า พ่ออย่าทำอย่างนี้ ๆ พ่อก็โกรธ
ท่านจะให้พ่ออยู่ในเรือนนี้หรือจะให้ฉันอยู่


บุรุษนั้นได้กล่าวกับนางว่า น้องรัก เจ้ายังเป็นสาวอยู่
เจ้าอาจที่จะเป็นอยู่ในที่ใด ๆ ก็ได้ แต่พ่อของฉันแก่แล้ว
เมื่อเจ้าไม่อาจอดกลั้นต่อแกได้ เจ้าก็จงออกจากบ้านนี้ไป
หญิงนั้นเกิดความกลัว ได้หมอบลงแทบเท้าต่อพ่อสามี
ขอขมาโทษว่า ตั้งแต่นี้ไป ฉันจักไม่ทำอย่างนี้อีก
แล้วนางก็เริ่มปฏิบัติตามปกติดังก่อน


ตั้งแต่วันที่บุรุษนั้นถูกภรรยารบกวนบิดาให้เดือดร้อน
เขาก็มิได้ไปฟังธรรมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า
ต่อมา เมื่อภรรยากลับมาเป็นปกติแล้ว เขาจึงได้ไปฟังธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามเขาว่า เพราะเหตุไร เขาจึงไม่มาฟังธรรม
เขาได้กราบทูลเหตุการณ์ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ในกาลนี้เท่านั้นที่ท่านไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา
ไม่ขับบิดาออกจากเรือน แต่ในกาลก่อนท่านเชื่อถ้อยคำของภรรยาของท่าน
นำบิดาไปป่าช้าผีดิบขุดหลุมฝังบิดา
เราตถาคตเกิดเป็นบุตรมีอายุ ๗ ขวบแสดงคุณของมารดาบิดา
ห้ามการฆ่าบิดาได้ในเวลาที่จะตาย คราวนั้นท่านเชื่อฟังถ้อยคำของเรา
ปฏิบัติบิดาจนตลอดชีวิตแล้วไปเกิดในสวรรค์
โอวาทที่เราให้ไว้นั้น แม้ท่านไปเกิดในภพอื่นก็ไม่ละวาง
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา ไม่ขับไล่บิดาออกในบัดนี้.


บุรุษนั้นได้ทูลอาราธนาให้พระศาสดาตรัสเรื่องราวนั้น
พระองค์จึงทรงเล่าเรื่องในอดีตดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล บุรุษหนึ่งชื่อสวิฏฐกะ มารดาของเขาล่วงลับไปแล้ว
เขาได้บำรุงเลี้ยงบิดา โดยเรื่องราวเริ่มต้นก็เหมือนเรื่องข้างต้น
แต่เนื้อความที่แตกต่างไป มีดังต่อไปนี้
ครั้งนั้น หญิงภรรยากล่าวว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดาเถิด
เมื่อฉันกล่าวว่า อย่าทำอย่างนี้ ๆ บิดาก็โกรธ แล้วกล่าวต่อไปว่า
บิดาของท่านดุและหยาบคาย ก่อการทะเลาะอยู่เรื่อย แกแก่คร่ำคร่า
พยาธิเบียดเบียน ไม่ช้าก็จักตาย ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับแกได้
ท่านจงนำแกไปป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมแล้วเอาแกใส่เข้าไปในหลุม
เอาจอบทุบศีรษะให้ตาย เอาฝุ่นกลบข้างบน
สวิฏฐกะถูกภรรยารบเร้าอยู่บ่อย ๆ จึงกล่าวว่า
แน่ะหล่อน ขึ้นชื่อว่าการฆ่าคนเป็นกรรมหนัก ฉันจักฆ่าบิดาอย่างไรได้
หญิงนั้นกล่าวว่า ฉันจักบอกอุบายแก่ท่าน
ท่านจงไปที่บิดานอน ในเวลาเช้ามืด ทำเสียงดังให้คนทั้งหมดได้ยิน
แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ลูกหนี้ของพ่อมีอยู่ที่บ้านโน้น
เมื่อฉันจะไปแต่ลำพังเขาจะไม่ให้ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วเงินจักสูญ
พรุ่งนี้เรานั่งบนยานไปด้วยกันแต่เช้าทีเดียว
แล้วท่านจงลุกขึ้นตามเวลาที่บิดาบอกไว้
เทียมยานให้แกนั่งบนยานแล้วนำไปป่าช้าผีดิบ
ขุดหลุมแล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น
ฆ่าแกแล้วผลักลงหลุมทุบศีรษะ แล้วกลับมาเรือน
สวิฏฐกะคิดว่าอุบายนี้เข้าที จึงรับคำของนางแล้วเตรียมยานที่จะไป


สวิฏฐกะมีบุตรอยู่คนหนึ่งมีอายุ ๗ ขวบ เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม
เขาฟังคำมารดาแล้วคิดว่า มารดาเรามีธรรมลามกยุยงบิดาเราให้ทำปิตุฆาต
เราจักไม่ให้บิดาเราทำปิตุฆาต แล้วบุตรนั้นก็ย่องเข้าไปนอนอยู่กับปู่
ครั้นได้เวลาที่บิดาบอกไว้ สวิฏฐกะได้เทียมยานแล้วกล่าวว่า
มาเถิดพ่อ เราไปสะสางลูกหนี้กันเถิด
แล้วให้บิดาตนนั่งบนยาน กุมารได้ขึ้นยานก่อนแล้ว
สวิฏฐกะไม่อาจห้ามบุตรได้ จึงต้องพาไปป่าช้าผีดิบด้วย
เขาได้ให้บิดาและกุมารพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งกับยาน


สวิฏฐกะถือจอบ เริ่มจะขุดหลุม ๔ เหลี่ยม ณ ที่ลับแห่งหนึ่ง
กุมารลงจากยาน เดินไปหาบิดา แล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พ่อ มันนก มันเทศ มันมือเสือ และผักทอดยอด ก็มิได้มี
พ่อต้องการอะไร จึงขุดหลุมอยู่คนเดียวในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า


สวิฏฐกะได้กล่าวตอบบุตรว่า
ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกโรคภัยหลายอย่างเบียดเบียน
วันนี้ พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม
เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบากเลย


กุมารได้ฟังดังนั้นแล้วก็ฉวยจอบจากมือบิดา
ตั้งท่าจะขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งในที่ใกล้ ๆ กัน
สวิฏฐกะจึงถามกุมารนั้นว่า ลูกรัก เจ้าจะขุดหลุมทำไม?
เมื่อกุมารตอบสวิฏฐกะ โดยกล่าวว่า
ข้าแต่พ่อ เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรมเช่นนี้จากลูกบ้าง
แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยงตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง


สวิฏฐกะได้กล่าวแก่กุมารว่า
เจ้ามากล่าวกระทบกระเทียบขู่เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย
เจ้าเป็นลูกที่เกิดแต่อกของพ่อ แต่หาได้มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อไม่


เมื่อสวิฏฐกะกล่าวอย่างนี้แล้ว กุมารผู้เป็นบัณฑิตจึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พ่อ มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อ
แม้ฉันก็มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อ
แต่เพราะฉันไม่กล้าจะห้ามพ่อผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้
จึงได้พูดกระทบกระเทียบเช่นนั้น
ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอันลามก
เบียดเบียนมารดาหรือบิดาผู้ไม่ประทุษร้าย
ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึงนรกโดยไม่ต้องสงสัย
ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาด้วยข้าวน้ำ
ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า เข้าถึงสุคติโดยไม่ต้องสงสัย


สวิฏฐกะครั้นได้ฟังธรรมกถาของบุตรดังนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า
เจ้าจะเป็นผู้ไม่มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่
เจ้าชื่อว่าเป็นผู้มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อแล้ว
แต่พ่อถูกแม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรมที่หยาบคายเช่นนี้


กุมารได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า
ข้าแต่พ่อ ธรรมดาสตรีเมื่อเกิดโทสะขึ้นข่มไว้ไม่ได้เลย จึงทำชั่วบ่อย ๆ
ควรที่พ่อจะขับแม่ของฉันไปเสีย ไม่ให้ทำชั่วเช่นนี้อีกได้
แล้วกล่าวว่า หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน
พ่อจงขับไล่ไปเสียจากเรือนของตน เพราะแม่จะนำทุกข์อย่างอื่นมาให้พ่ออีก


สวิฏฐกะได้ฟังคำของบุตรผู้เป็นบัณฑิตแล้ว มีความโสมนัส กล่าวว่า
เราไปกันเถิดลูก แล้วขึ้นนั่งบนยานกับบุตรและบิดาไปบ้าน


ฝ่ายภรรยาร่าเริงยินดีว่า บิดาสามีได้ออกจากเรือนไปแล้ว
จึงหุงข้าวปายาส แล้วคอยดูทางที่สามีจะกลับมา
ครั้นเห็นทั้งสามคนกลับมาก็โกรธว่า
สามีได้พาคนกาลกิณีที่ออกไปกลับมาอีกแล้ว จึงด่าว่า
เจ้าคนร้าย เจ้าพาคนกาลกิณีที่ออกไปแล้ว กลับมาอีกทำไม?


สวิฏฐกะไม่พูดอะไร ๆ ปลดยานแล้ว จึงพูดว่า เจ้าว่าอะไร?
แล้วทุบนางนั้นเสียเต็มที่ กล่าวว่า แต่นี้ไปเจ้าอย่าเข้ามาเรือนนี้
แล้วจับเท้าลากออกไป ครั้นไล่ภรรยาไปแล้ว
ก็อาบน้ำให้บิดากับบุตร แม้ตนเองก็อาบ
แล้วบริโภคข้าวปายาสพร้อมกันทั้งสามคน
หญิงภรรยานั้นไปอยู่เรือนผู้อื่นได้ ๒ ถึง ๓ วัน


ในกาลนั้น บุตรกล่าวกับบิดาว่า
ข้าแต่พ่อ แม่ฉันคงยังไม่รู้สำนึกด้วยการถูกลงโทษเพียงเท่านี้
พ่อจงแกล้งว่าจะไปขอลูกสาวลุงในตระกูลโน้น
มาปรนนิบัติตัวกับบิดาและบุตร
สวิฏฐกะได้กระทำตามทุกประการ
สตรีในตระกูลที่คุ้นเคยได้ไปบอกหญิงภรรยานั้นว่า
ได้ยินว่า สามีเธอไปบ้านโน้นเพื่อจะนำหญิงอื่นมาเป็นภริยา
หญิงนั้นสะดุ้งกลัวว่า ฉิบหายล่ะเราคราวนี้ เราไม่มีโอกาสอีกแน่
คิดว่าจะอ้อนวอนบุตรดูสักครั้ง จึงแอบไปหาบุตร
หมอบลงแทบเท้ากล่าวว่า ลูกรัก เว้นเจ้าเสียแล้ว คนอื่นไม่เป็นที่พึ่งของแม่ได้
ตั้งแต่นี้ไป แม่จะปฏิบัติพ่อและปู่ของเจ้าราวกะพระเจดีย์ที่ประทับไว้
เจ้าจงช่วยให้แม่ได้เข้ามาอยู่ในเรือนนี้อีก
กุมารกล่าวว่า ดีแล้วแม่ ถ้าแม่ไม่ทำเช่นนี้อีก ฉันจักช่วย แม่อย่าประมาท
ครั้นเวลาที่สามีนั้นกลับมา กุมารได้กล่าวว่า
หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน ซึ่งมีใจบาปนั้น
ถูกทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจแล้ว จงกลับมาเรือนเถิด
กุมารนั้น ครั้นแสดงธรรมแก่บิดาดังนี้แล้ว ก็ไปนำมารดามา
นางขอขมาโทษสามีและพ่อสามีแล้ว นับแต่นั้นมาก็ประกอบด้วยธรรม
ปฏิบัติต่อสามี พ่อสามี และลูกเป็นอย่างดี สองสามีภรรยาตั้งอยู่ในโอวาทของลูก
ทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์
พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม
ครั้นเวลาจบสัจธรรม บุรุษผู้เลี้ยงบิดาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พระบรมศาสดาทรงประชุมชาดกว่า บิดา สามี และหญิงสะใภ้ในครั้งนั้น
ได้มาเป็น บิดา สามี และหญิงสะใภ้ในบัดนี้
ส่วนกุมารผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระตถาคต ฉะนี้แล
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1400



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP