จากใจ บ.ก.ใกล้ตัว Lite Talk

ฉบับที่ ๒๕๘ นิมิตความจริง



258 talk



ชีวิตปกติแบบเราๆท่านๆ
มีตื่น มีหลับ
แต่ชีวิตในทางพุทธ
แม้ลืมตา ก็ยังไม่แน่ว่าตื่น


ช่วงตื่นแบบคนธรรมดา
คือช่วงที่ตามองเห็นรูป
หูได้ยินเสียง ใจคิดทำบุญทำบาปขึ้นมาได้


ส่วนช่วงหลับหลง ลงสู่ความฝัน ได้แก่
ช่วงที่เห็นนิมิตเลอะเทอะขณะหลับหนึ่ง
ช่วงที่เหม่อ เพ้อ ละเมอหาอดีตอนาคตหนึ่ง
กับช่วงที่ใกล้ตาย เห็นทั้งชีวิตที่ผ่านมา
เป็นแค่กลุ่มภาพนิมิตที่เอาติดตัวไปไม่ได้หนึ่ง


นับดูแล้ว ชาติหนึ่งๆ
คนส่วนใหญ่เอาชีวิตไปทิ้งกับการฝัน
มากกว่าการ ‘ตื่น’ ขึ้นทำอะไรมาก


นอกจากนั้น ยังมีการหลับหลงอีกแบบ
ทางพุทธมองว่า ทุกชาติเราถูกปิดหูปิดตา
หลงเข้าใจผิดเหมือนๆกันหมดว่า
กายใจเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ
ชาติก่อนก็เข้าใจผิดอย่างนี้
แล้วกายใจก่อนก็ล้มตายหายไป
เกิดใหม่ลืมกายใจที่หายไปแล้ว
แล้วชาตินี้ก็หลงยึด หลงเข้าใจผิดแบบเดิม
ซึ่งในไม่ช้า กายใจนี้ก็ต้องล้มตายหายไปอีก


เพราะเหตุนั้น ทางพุทธจึงมองว่า
บุคคลผู้พิจารณา
เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไป 
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว
ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ไม่พิจารณา
เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
แต่กลับมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี


คำว่า ‘ประเสริฐกว่า’ ในที่นี้
ไม่ได้มองว่า ใครดีใครเลวกว่ากัน
แต่มองในแง่การมีสิทธิ์พ้นอุปาทานเฉพาะตน
กล่าวคือ เมื่อเกิดสติรู้ขึ้นมาว่า
ลมหายใจเข้าออกเดี๋ยวนี้
กำลังแสดงความไม่ใช่ตัวเดิม ไม่มีตัวตน
แม้สุขทุกข์ จิตสงบ จิตฟุ้งซ่าน
ต่างก็กำลังแสดงความไม่ใช่ตัวเดิม ไม่มีตัวตนอยู่ชัดๆ
ถ้าเห็นเรื่อยๆ กระทั่งถึงขั้นเกิดสมาธิ
รู้ความไม่ใช่ตัวเดิม ไม่มีตัวตนเหล่านั้น
เป็น ‘นิมิตความจริง’ ที่ปรากฏเป็นปกติทั้งวัน
เพียงเท่านั้น ก็เป็นประตูทางออกจากการหลง
ใกล้ได้เวลาออกจากการหลับ
จึงนับว่า แม้เห็นความไม่เที่ยงเพียงวันเดียว 
ก็ประเสริฐกว่ามีชีวิตแบบไม่รู้ความจริงสำคัญ
ไปเป็นร้อยๆปี หรือหลายภพหลายชาติ!


(หมายเหตุ - คิดๆนึกๆถึงความไม่เที่ยงรอบตัว
ไม่นับเป็นเหตุให้อุปาทานในตัวตนหายไป
เพราะเป็นพุทธิปัญญาระดับอ่อนๆ
ที่อาศัยจินตนาการช่วย
แต่หากเกิดสมาธิ 
เห็นรายละเอียดในกายใจ
เป็นนิมิตแสดงความไม่ใช่ตัวเดิมแจ่มชัด ต่อเนื่อง
นับเป็นเหตุให้อุปาทานในตัวตนหายไปได้จริง
เพราะเป็นพุทธิปัญญาแบบเปิดตาใน ตื่นขึ้นมาเห็น)


ดังตฤณ
พฤษภาคม ๖๒





review


พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่พระภิกษุ
โดยทรงเปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์กับสิ่งต่างๆ

และสิ่งที่พึงประพฤติปฏิบัติในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ดังความในคอลัมน์ "ธรรมะจากพระสูตร"
ตอน "อรกานุสาสนีสูตร ว่าด้วยคำสอนของอรกศาสดา"


ท่านผู้ที่ละกิเลสได้แล้วในแต่ละชั้น ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป
จะสามารถทราบได้ด้วยตัวของท่านเอง แม้จะไม่มีผู้ใดบอกใช่หรือไม่
ติดตามได้จากวิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
เรื่อง "ผู้ที่ละกิเลสได้แล้วจะทราบได้ด้วยตนเองใช่ไหม"
ในคอลัมน์ "สารส่องใจ" ค่ะ


ควรวิธีการใดในการโน้มน้าวใจบุพการีที่ชราและมีปัญหาสุขภาพ
ให้สร้างกุศลต่างๆ ให้มากที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเอง
หาคำตอบได้ในคอลัมน์ "ดังตฤณวิสัชนา"
ตอน "จะทำให้พ่อแม่ที่มีความยึดมั่นถือมั่นสูง หันมาสนใจธรรมะได้อย่างไร"


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP