วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๘



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            แม่บ้านใหญ่ออกจากห้องอาหารนานแล้ว พิจิก เมษายังไม่ขยับตัว ทั้งสองนั่งเก้าอี้ข้างกัน สายตามองยังทิศทางที่คุณแม่บ้านเดินลับสายตา ร่องรอยครุ่นคิด กังวลทอจับดวงตา

            ถ้าสองคนนี้ทำงานร่วมกัน ตอนนี้คงต้องหันหน้าปรึกษา พูดคุย...แม่บ้านใหญ่มาไม้ไหน...แกรู้อะไรบ้าง...เจตนาแท้จริงในการพูดจาครั้งนี้คืออะไร?

            พอต่างฝ่ายเป็นคู่แข่ง จึงต้องสงบใจ ใช้สติปัญญาหาคำตอบด้วยตัวเอง

            พวกเขาเชื่อว่า การพูดคุยครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาแค่มาบอกว่า...ทั้งคู่เลื่อนเป็นลูกจ้างประจำแล้ว ครบเดือนไม่ต้องตกงาน...

            ...เจตนาจริงลึกซึ้งกว่านั้น...

            คำถามเพียงข้อเดียว ‘พวกเธอเคยเห็นผีมั้ย’ ซ่อนเจตนา ความนัยมากมาย

            ‘ผี’ สองหนุ่มสาวทบทวนคำนี้ในใจ เพื่อใช้เป็นกุญแจไขปริศนา ก่อนได้คำตอบในเวลาเดียวกัน

            “ใช่แล้ว!” สองเสียงหลุดมา พร้อมหันหน้ามองตากัน

            ประกายกระจ่างฉายแวบ พอรู้สึกตัวต่างรีบขยับถอยห่าง เหมือนอีกฝ่ายเป็นตัวเชื้อโรค

            คืนก่อนนั้น พิจิก เมษาถูกวิญญาณรายา พรนรี อดีตภรรยาเก่านายศิวา ชักนำให้ไปดูพิธีประหลาดของแม่บ้านเข็มทอง

            พิธีนั้นแสดงให้เห็นว่า สตรีกลางคนผู้นี้สามารถติดต่อ สื่อสารภูตผี วิญญาณได้ แต่จะควบคุม บังคับ หรือเป็นผู้ทรงเวทในเงาจริงหรือไม่ ต้องใช้เวลาพิสูจน์

            พวกเขารู้แน่อย่างหนึ่งคือ...ดวงวิญญาณที่แม่บ้านใหญ่ติดต่อ ทราบว่าสองหนุ่มสาวมีสัมผัสพิเศษ จึงจงใจปรากฏตัวต่อหน้า ชักพาไปดูพิธี...แต่เมื่อไม่พบร่องรอยทั้งคู่ที่บ้านน้อยกลางป่า จึงแปลกใจ ผิดหวัง

            ...เป็นไปได้หรือไม่...ที่วิญญาณพวกนั้น ได้บอกความลับ ความสามารถพิเศษนี้กับแม่บ้านเข็มทอง!

            แค่คิดก็หนาววูบ...

            นั่นเอง...เป็นที่มาของคำถาม...เคยเห็นผีมั้ย?

            ยังดีที่พิจิกเลี่ยงอย่างฉลาด ทั้งไม่โกหก และไม่ยอมรับตรง ๆ อีกฝ่ายจึงไม่อาจจับรอยมดเท็จในแววตาพวกเขาได้

            ความสามารถข้อนี้ ไม่เป็นความลับแก่แม่บ้านใหญ่อีกต่อไป...น่าแปลก...เหตุใดคุณแม่บ้านจึงไม่ซักไซ้รายละเอียดมากกว่านี้ เพราะถ้าพิจิก เมษาโดนไล่ต้อนจริงจัง สุดท้ายอาจต้องพูดความจริง

            ความสงสัยปรากฏ...คำตอบมาในเวลาชั่วแล่น

            เหตุผลที่บ้านเข็มทองไม่ซักไซ้ ไล่ต้อน เพราะคิดว่าพวกเขามีความสามารถโกหกเป็นเลิศ แต่งเรื่องได้แนบเนียน สมเหตุสมผลจนเรดาร์ตรวจจับโกหกของแกยังสแกนไม่ออก

            ถ้าเป็นอย่างนั้น แกคิดว่าไม่ควรเสียเวลาดีกว่า

            แกคงไม่คิดหรอกว่า...คนที่ปลอมตัวเข้ามาแบบนี้ จะไม่กล้าผิดศีลข้อมุสาแบบขาดวิ่น...

            เมื่อแกแน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นนักโกหกขั้นเทพ เปล่าประโยชน์ที่จะซักถามเอาความจริง แกคงต้องอาศัยความสามารถส่วนตัวคอยสังเกต จับผิด สืบเสาะเองมากกว่า

            พอเข้าใจความคิด เจตนาแม่บ้านเข็มทองกระจ่าง สองหนุ่มสาวก็หนาววูบ เกิดความกังวล หนักใจฉับพลัน

            คำถามตามมาเป็นพรวน...

            ภูตผีเหล่านั้นบอกแม่บ้านใหญ่แค่ไหน...

            การทำงานภายใต้การจับตาจากคนมีอำนาจในบ้านจะเป็นอย่างไร...

            ถ้าแม่บ้านใหญ่รู้ความสามารถ เจตนาจริงของพวกเขาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป...

            แผนการจะพบอุปสรรคกว่าเดิมหรือไม่...

            ที่สำคัญ...หากแม่บ้านใหญ่คือผู้ร้าย...ผู้ทรงเวทในเงาจริง...ฝ่ายนั้นมีแผนเล่นงานพวกตนแบบไหน?

            ความกังวลใจเพิ่มพูน หนักอก อึดอัดกระวนกระวาย แทบอยากเก็บกระเป๋ากลับบ้านเสียเดี๋ยวนั้น...

            สิ่งที่ทำได้จริงคือลุกขึ้น หยิบจานชามของตนไปเก็บเงียบ ๆ

            พิจิกมองหญิงสาวนำจานไปเก็บ ดวงตาทอประกายอ่อนโยน รู้สึกตั้งหลักใจได้เร็วกว่าเธอ

            “หมวยเล็ก...มีตังค์ให้ยืมมั้ย?” จู่ ๆ พิจิกก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ

            “หา...อะไรนะ” หญิงสาวหันกลับมาถาม ไม่คิดว่าจะได้ยินวาจาประโยคนี้จากคู่แข่ง

            “แค่ยืมตังค์ ทำไมทำท่าตกใจขนาดนั้น” นัยน์ตาชายหนุ่มทอประกายขำขัน

            “ถ้ายืมตังค์เป็นค่ารถกลับบ้าน แล้วไม่มาที่นี่อีก...ฉันจะยกให้แกเลย...ถือเป็นเงินปลอบใจ ที่แกยอมแพ้ฉัน” เมษาย้อนใส่ เกิดแรงฮึดในใจ

            “คนบ้านเดียวกันแท้ ๆ ทำไมใจดำอย่างนี้วะ” ชายหนุ่มแหย่ต่อ

            “คนละบ้านเว้ย...พูดดี ๆ” พูดไปชักอารมณ์เสีย นัยน์ตาขุ่น

            พิจิกยิ้มกริ่ม ยั่วหญิงสาวสำเร็จ

            “ตอนแกโมโหนี่...น่ารักฉิบ...เลย”

            “ไอ้หมาจิก...” เสียงเข่นเขี้ยว ดวงตาฉายแวววับ

            ชายหนุ่มยิ้มไม่เกรงโทสะฝ่ายตรงข้าม

            “โมโหอย่างนี้ดีแล้ว...เห็นมั้ยว่า...อารมณ์เปลี่ยน!”

            พูดเพียงเท่านี้ เมษากระตุกวาบ...ได้สติขึ้นมา

            เมื่อครู่หล่อนหนักใจ ครุ่นคิดเรื่องโดนแม่บ้านใหญ่ล่วงรู้ความลับบางส่วน กังวลเรื่องที่อาจโดนสืบประวัติละเอียดจนทำให้งานสำคัญผิดพลาด

            พิจิกกังวล ครุ่นคิดไม่ต่างจากเธอ เพียงแต่เขาได้สติก่อน จึงหาทางช่วยหญิงสาวด้วยการแกล้งยั่วให้โกรธ...เมื่อเกิดโทสะขึ้นมา ความฟุ้งซ่าน วุ่นวายก็ดับหาย อารมณ์เปลี่ยน...พอโดนพิจิกทักอารมณ์เข้าตรง ๆ ความที่เคยฝึกเจริญสติมาตลอดทำให้โทสะในใจหายวับ...เกิดสติขึ้นแทนที่

            ชายหนุ่มยิ้มอารมณ์ดี ไม่จำเป็นต้องบอก พูดจาอะไรมากมาย เขาช่วยให้หล่อนมีสติ เพราะสติ ปัญญาเท่านั้น ถึงจะช่วยให้พวกเขาเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้ได้...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สถานการณ์ขณะนี้ต้องระวังตัว

            คำถามคือ ต้องระวังตัวขนาดไหน ถึงจะไม่เรียกว่าเป็นการ ‘ร้อนตัว’

            แม่บ้านเข็มทองอาจรู้แค่พวกเขา ‘เห็นผี’ เท่านั้น หรือต่อให้รู้มากกว่านี้ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะตัวแม่บ้านใหญ่น่าจะมีความลับมากกว่าใคร

            เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น พิจิกจึงไม่แสดงท่าทางระวังตัวมากมาย ตามพวกหนุ่มคนงานแก๊ง ‘นักดื่ม’ ออกไปทางประตูด้านหลังศิวาดล แต่ไม่ร่วมวงด้วย อาศัยจังหวะเหมาะสม เร้นกายไปหาปู่เผด็จตามกำหนดนัดหมาย

            ลอบขึ้นมาบนรถใต้เงามืดสำเร็จ โดยไม่มีใครติดตาม สังเกตเห็น

            “เอ้า...นี่น่าจะเป็นรายงานแพทย์เกี่ยวกับอาการป่วยของเมียเจ้าของบ้านหลังนี้” ปู่เผด็จยื่นซองเอกสารให้หลานชายเป็นลำดับแรก

            “โห...ปู่ได้รายงานแพทย์ของคุณแพรพลอยมายังไงนี่...ไม่ธรรมดาเลย” พิจิกแปลกใจ คาดไม่ถึง

            เขาแค่บอกปู่ว่า แพรพลอยเป็นโรคไบโพล่าร์ ปู่เผด็จก็นำรายงานแพทย์มาให้ดู เพื่อใช้ประโยชน์ในการสืบหาตัว ‘ผู้ร้ายในเงา’ ได้แล้ว

            “เรื่องที่สอง...ผลการตรวจหลักฐานนั่น ยังยืนยันเหมือนเดิม...นมที่แกให้มาไม่มีสารพิษ ส่วนนมที่กองพิสูจน์หลักฐาน ผลก็เป็นอย่างที่แกรู้นั่นแหละ”

            “ครับ เรื่องนี้ผมจะสืบเองที่หลัง” พิจิกกำลังจะเอ่ยปากรายงานสถานการณ์ด้านตน เกี่ยวกับเรื่องแม่บ้านใหญ่ พอดีปู่สวนคำมาก่อน ไม่เปิดโอกาสให้หลานชายเอ่ยวาจา

            “เรื่องที่สาม...นายศิวา เจ้าของที่นี่ มันไม่ธรรมดาเลยนะ” ปู่เผด็จรีบสรุป บอกเล่าทุกประเด็นโดยเร็ว เพื่อใช้เวลาที่เหลือบอกเรื่องสำคัญในตอนท้าย

            “เรื่องนายศิวาผมพอรู้ครับ” พิจิกหาข้อมูลเองบ้างแล้ว “เขาขยายธุรกิจหลายด้าน สร้างศัตรูเยอะ ผมสงสัยแค่ ใครเป็นคนแอบเอาเครื่องติดตามใส่โทรศัพท์เขาได้ เพราะดูแล้ว น่าจะเป็นคนสนิทอย่างเลขา คนใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น”

            “ไอ้คนติดเครื่องติดตามตัวในโทรศัพท์ไม่ใช่คนสนิทหรอก” เรื่องนี้ปู่รู้มากกว่าหลานชาย “ธงรบมันยอมหลุดออกมาแล้วว่าเป็นพวกฝ่ายตรงข้ามนั่นแหละ ดูจากหลักฐานกล้องวงจรปิด พวกนั้นมันส่งคนปลอมตัวมาแอบติดเครื่องพวกนี้ก่อนวางแผนลงมือตั้งสองสามวัน...”

            “โห...ฟังดูเหมือนในหนังประเภทมิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ลเลย” พิจิกฟังแล้วยังทึ่ง

            “ถ้าให้พูดอีกอย่าง...” ปู่เผด็จมองละเอียด “ไอ้ศิวาคนนี้ มันสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับคนอื่นไว้มาก ฝ่ายตรงข้ามจึงยอมทุ่มเท ทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้น กำจัดมันให้ได้”

            พิจิกชักเสียวสันหลังวาบ

            “เรื่องที่สี่” ปู่เผด็จขึ้นเรื่องใหม่รวดเร็ว “คืนวันงานเปิดรั้ว...อะไรนั่นน่ะ เป็นวันที่อำนาจมืดมีกำลังถดถอยที่สุด เหมาะที่จะนำดินกลางเรือนมาทำพิธีปิดผนึกอาคม”

            “หา!” พิจิกแปลกใจ “แล้วเราไม่ต้องตามหาตัวผู้ร้ายในเงาของปู่ก่อนหรือครับ”

            “ถ้าเราทำพิธีปิดผนึก...มันต้องโผล่หางออกมาแน่ ไม่ต้องกลัวหรอก” ปู่พูดอย่างมั่นใจ

            “ปู่มีแผนการว่ายังไงบ้างครับ” พิจิกถาม เก็บเรื่องแม่บ้านใหญ่ไว้คุยตอนท้าย

            “มี...” ปู่ตอบ “แต่ก่อนจะฟังแผนการ แกต้องรู้เรื่องเหตุการณ์ในวันปิดผนึกอาคมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเสียก่อน...”

            พิจิกชะงัก เรื่องที่เขาอยากรู้ เฝ้ารอมานานกำลังถูกเปิดเผยออกมาแล้ว...มิน่า ผู้เฒ่าถึงรวบรัด สรุปประเด็นต่าง ๆ รวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้เวลากับเรื่องสำคัญนี่เอง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมษาเสียบหูฟัง พร้อมเปิดเครื่องเล่น mp3 ฟังข้อความจากปู่คงคา

            หลังจากได้สติ คลายกังวลจากการโดนแม่บ้านใหญ่จู่โจม หญิงสาวค่อยตั้งหลัก ไตร่ตรองรายละเอียดรอบด้าน ใจผ่อนเบาลงกว่าครึ่ง สามารถทำตัวตามปกติ เป็นลูกจ้างสาวคนซื่อตามเดิมโดยไม่ขัดฝืน

            ออกจากห้องอาหารยังสามารถ กลับไปทำงานครัวตึกใหญ่ตามปกติ ไม่นึกหวั่นเกรงการพบหน้าแม่บ้านเข็มทองแต่อย่างใด

            ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารมื้อค่ำแก่เจ้านายทั้งสองโดยไม่ขาดตกบกพร่อง พูดจากับแม่บ้านใหญ่แบบไม่ส่อพิรุธ ร้อนตัว เก็บถ้วยจานลงมาทำความสะอาดเรียบร้อย กว่าจะมาถึงห้องพักก็ล่วงเข้าสองทุ่มเศษแล้ว

            เครื่อง mp3 ทำงาน เสียงปู่คงคาดังออกมา...

            หมวยเล็ก...ก่อนที่แกจะทำพิธีปิดผนึกอาคมในคืนพลังมืดถดถอยนี้ จำเป็นต้องรู้เหตุการณ์ในวันที่ปู่พยายามปิดผนึกอาคมคราวก่อนให้ชัดเจนเสียก่อน จะได้ไม่พลาดพลั้ง อย่างที่ปู่กับไอ้เผด็จเคยพลาดมาแล้ว

            สิ่งแรกที่แกต้องรู้และระวังอย่างมากคือ ผู้ทรงเวทในเงามีสองคน...ปู่เรียกพวกมันว่า ผู้ทรงเวทในเงา แต่ไอ้เผด็จตั้งใจเรียกพวกมันว่า...ผู้ร้ายในเงา...เพราะหนึ่งในพวกมัน...ไม่ใช่มนุษย์!”

            หัวใจเมษาเต้นเร็วกว่าปกติ เรื่องราวปริศนาสิบกว่าปี กำลังคลี่คลาย สิ่งที่ปู่คงคาปิดปากมานาน กำลังเปิดเผยออกมา...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สิบกว่าปีก่อน

            คฤหาสน์ศิวาดลเพิ่งลงฐานราก พื้นที่โดยรอบอยู่ในระหว่างปรับสภาพพื้นผิว บางส่วนแบ่งโซนปลูกต้นไม้เพาะเป็นสวนป่าไว้แล้ว ที่ดินบริเวณแอ่งกระทะถูกขุดขึ้นมาเป็นบริเวณกว้าง นำดินมาถม ปรับพื้นที่ส่วนอื่นให้สวยงาม ตรงแอ่งนั้นก็จะปล่อยน้ำ สร้างเป็นทะเลสาบแทน

            ตอนชายชราทั้งสองมาถึง เป็นวันที่คนงานทั้งหมดหยุดพัก เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างถูกเก็บไว้ในโรงชั่วคราวอย่างดี รถไถ เครื่องมือชนิดหนักก็จัดวางเป็นระเบียบ บอกถึงความเข้มงวดของผู้คุมงาน

            ตัวคฤหาสน์ศิวาดลยังไม่ถูกสร้าง มีเพียงเค้าโครงฐานราก เสาสูง บ่งบอกว่ากำลังปรับสร้างในส่วนห้องใต้ดินก่อน ค่อยขยายขึ้นในส่วนชั้นอื่นต่อไป

            สองผู้เฒ่าจำไม่ได้ บริเวณไหนเคยเป็นเรือนพระยาคงเวท แต่เท่าที่ดูด้วยตา สัมผัสด้วยความรู้สึกภายในล้วนยืนยันชัด ผนึกอาคมถูกทำลายไปหมดแล้ว

            ...เหตุใดพวกเขาถึงเพิ่งมาในเวลานี้...

            “ไอ้คนที่นัดเรามา มันอยู่ไหนวะ” ปู่คงคาเปรย กวาดสายตามองรอบ

            “กูว่ามันไม่มาหรอก” ปู่เผด็จรู้สึกได้ นัยน์ตาคมปลาบฉายแววครุ่นคิด “มันตั้งใจบอกข่าวให้พวกเรามา ด้วยเจตนาแฝงบางอย่าง”

            พูดกันตามความจริง ปู่เผด็จ ปู่คงคาเกือบลืมเลือนแล้วว่า พวกตนเคยปิดผนึกอาคมกักขังภูตผีไว้ตรงนี้ เมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้ว เนื่องด้วยสมัยยังหนุ่ม คู่หูจอมเวทช่วยเหลือผู้คนจากมนตร์ดำมากมาย ที่ยังพอจำเรื่องราวของเรือนพระยาคงเวทได้ ก็เพราะตอนนั้นเป็นปีสองพันห้าร้อยพอดี

            ที่มาวันนี้ เนื่องจากได้รับจดหมายจากบุคคลนิรนาม ส่งมาบอกเล่าเท้าความถึงเรือนพระยาคงเวท และการปราบผี ปิดผนึกครั้งก่อน พร้อมกับแนบรูปภาพสถานที่ปัจจุบันให้ดู บอกว่าผนึกนั้นถูกทำลาย ปิศาจร้ายออกมาแผลงฤทธิ์ ก่อความเดือดร้อนอีกครั้ง

            นั่นเป็นเหตุให้สองผู้เฒ่าต้องกลับมาสะสางงานเก่า ทั้งที่ร่างกายชรา เรี่ยวแรงถดถอย...และที่ไม่คิดพาหลานชายหลานสาวมาช่วย ก็เพราะเห็นว่าน่าจะเกินกำลัง ขืนมาด้วยจะเป็นภาระถ่วงพวกตนเปล่า ๆ

            พอมาถึงพบสภาพโดยรอบก็บอกกับตนเองทันทีว่ามันยากกว่าที่คิด หนำซ้ำบุคคลปริศนา ที่บอกข่าว ชักชวนพวกตนกลับเงียบหาย ไม่ปรากฏตัว คล้ายมีแผนการบางอย่างในใจ

            “เอาไงดีวะ” ปู่คงคาถามความเห็นเพื่อนรัก

            “มึงสังเกตมั้ย...ที่นี่ไม่มีร่องรอยผีสักตัว!” ปู่เผด็จบอก

            ปู่คงคาแผ่จิตสัมผัสออกเป็นวงกว้าง กระจายหาคลื่นพลังงานแปลกปลอมต่างภพ ใช้เวลาครู่หนึ่งยังไม่เจอ จึงสำรวมจิตกลับมาอยู่กับตัว แววตาทอประกายแปลก

            “ตอนนี้ไม่มี...ใช่ว่าพวกมันจะไม่กลับมา” ปู่คงคาเอ่ยปาก เพื่อนสนิทพยักหน้ารับ

            ต่อให้ผนึกอาคมถูกทำลาย ยังมีสายใยมนตราเชื่อมโยง ไม่ว่าผีร้ายหลบหนีแห่งหนใด ขอเพียงนำดินจากกลางเรือนพระยาคงเวทขึ้นมาทำพิธี จะสามารถดึงดูดพวกมันกลับลงมายังผนึกอันใหม่ได้อีกครั้ง

            “มึงจำได้มั้ย เรือนพระยาคงเวทอยู่ตรงไหน?” ปู่เผด็จตั้งคำถาม

            “กูยังจำไม่ได้เลย ว่าจุดที่เรายืนอยู่นี่ มันเคยเป็นอะไรมาก่อน” ปู่คงคาตอบ

            สองผู้เฒ่ามองหน้ากัน กวาดสายตามองบริเวณโดยรอบ เวลาผ่านไปสี่สิบกว่าปี ที่ดินแปลงนี้เปลี่ยนไปจนยากจดจำ ต่อให้ทั้งสองแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน ความทรงจำก็ยังเลือนราง ไม่รู้ตรงไหนคือที่ตั้งเรือนพระยาคงเวท ยิ่งตอบไม่ได้ จุดกลางเรือนที่พวกตนฝังผนึกอาคมอยู่ที่ใด

            เมื่อผนึกอาคมถูกทำลาย คลื่นอาคมที่เหลือย่อมเบาบาง หากไม่เข้าใกล้จริง จะไม่สามารถใช้จิตสัมผัสรู้ได้เลย

            “ว่าไง...จะเริ่มเดินหาเรือนพระยาคงเวทจากตรงไหนก่อน” ปู่คงคาตั้งคำถาม

            “ไอ้เล้ง ที่กว้างขนาดนี้ มึงจะลงทุนเดินดุ่ม ๆ หาเองหรือไง” ปู่เผด็จบ่นแกมด่า

            “กูไม่แก่เหมือนมึงนี่หว่า” เพื่อนสนิทยังมีอารมณ์หยอกล้อ

            “ไอ้ฉิบหาย เตะปี๊บแข่งกับกูมั้ยล่ะ” ปู่เผด็จไม่ยอมแพ้

            “เตะหาหอกอะไรวะ...เจ็บตีน”

            โดนสวนกลับอย่างนี้ปู่เผด็จยังหัวเราะขัน ไม่ถือสา

            ผู้เฒ่าทั้งสองเดินเคียงไหล่ออกมาจากบริเวณก่อสร้างอันกว้างใหญ่ รถจอดด้านนอก ไกลพอสมควร ทั้งคู่ไม่อยากให้คนขับรถมาวุ่นวายในพิธีปิดผนึกอาคมของตน จึงสั่งให้เฝ้ารถ ห้ามไปไหน...

            พอต้องเดินกลับตอนนี้ต่างนึกเสียใจ...รู้อย่างนี้สั่งให้คนขับรถมันขับเข้ามารับดีกว่า...

            “กูจะกลับไปเตรียมข้าวของทำพิธีตรวจหาร่องรอยผนึกอาคม” ปู่เผด็จมีวิธีหาเรือนพระยาคงเวทโดยไม่ต้องเหนื่อยเดินรอบพื้นที่ใช้จิตสัมผัสกวาดหา

            “พิธีมันยุ่งยาก เอิกเกริกขนาดนั้น เจ้าของที่เขาจะยอมให้เราทำหรือวะ” ปู่คงคาแสดงความเห็น

            การทำพิธีตรวจหาร่องรอยผนึกอาคมในบริเวณกว้างขนาดนี้ ต้องใช้เครื่องมือหลายอย่าง ขั้นตอนทำพิธีวุ่นวาย เอิกเกริกจริงอย่างปู่คงคาบอก หากเจ้าของที่ไม่ยินยอมให้ทำ ก็นับว่าหมดหนทาง

            “เราก็มาวันที่พวกมันหยุดงานก็ได้ หรือไม่...กูจะลองคุยกับเจ้าของที่นี่ดูก่อน” ปู่เผด็จบอก

            “ถ้าเขาเชื่อ แล้วยอมให้ทำพิธี โดยไม่คิดว่ามึงเป็นไอ้แก่เสียสติ...กูยอมให้มึงเหยียบเลยว่ะ” ปู่คงคาท้า

            “เออ...ไอ้เล้ง มึงรอให้ตีนกูนาบหน้าได้เลย” อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้

            สองผู้เฒ่าหัวเราะอารมณ์ดี ฉับพลันบรรยากาศรอบกายเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าสดใสกลับมีเมฆดำเคลื่อนเข้ามาบดบัง ลมแรงพัดกรรโชกดังอู้ ๆ

            ผู้เฒ่าทั้งสองต่างชะงักเท้า หันมองหน้ากัน ดวงตาฉายแววตื่นตัว ร่างยืนตรงนิ่ง ปักหลักดุจเสาแข็งแรง ไม่ยอมคลอนแคลนต่อพายุร้าย

            ท้องฟ้ามืดทะมึน เมฆดำคล้อยต่ำ สายลมหมุนวนพัดแรง แมกไม้เอนลู่ ฝุ่นทรายกระจายฟุ้งปลิวว่อน ร่างชราทั้งสองดูคล้ายเสาหลักผุกร่อน ที่ยืนต้านพายุอย่างไม่เกรง

            เสียงสวดสาธยายมนตร์แว่วออกมา สองเสียงประสานกลมกลืน สอดแทรกเข้าไปยังกระแสพายุหมุนที่ครอบคลุม ส่งผลให้มันอ่อนกำลังลง กลายเป็นสายลมเอื่อย แล้วค่อยแผ่วพลิ้วเคลื่อนผ่านนุ่มละไม

            นี่แค่การเริ่มต้น...

            บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง ฟ้าครึ้มทะมึนด้วยเมฆดำ แสงสว่างสลัวมัว มองเห็นรอบกายเป็นสีเทาจาง ฝุ่นบาง ๆ กระจายครอบคลุมทั่ว อุณหภูมิลดต่ำจนหนาวยะเยือกโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

            มันคือเขตอาคม แดนมนตรา...เป็นกับดักที่เตรียมไว้รอสองผู้เฒ่าโดยเฉพาะ

            ไม่ต้องถามว่าใครวางกับดักนี้... ‘เจ้าของจดหมายนิรนาม’ ที่บัดนี้ยังไม่กล้าปรากฏตัว!

            ครืด...ครืด...ครืด...เสียงลากโซ่ดังรับเป็นทอด ๆ โอบล้อมแน่นขนัด ปู่เผด็จ ปู่คงคาเหลียวมองตามเสียง พบชายหญิงแต่งกายโบราณจำนวนมาก ที่ข้อเท้ามีโซ่เส้นใหญ่ล่ามต่อกันไว้แน่นหนา

            สองผู้เฒ่าสำรวมจิตมั่น ทอดสายตามองเหล่าปิศาจที่โอบล้อม ความกลัวมิได้บังเกิด ในใจมีความเมตตาสงสาร เห็นโซ่ที่ล่ามข้อเท้าเหล่านั้นแล้วนึกอยากช่วยเหลือ...

            การปิดผนึกอาคมของพวกตนเพียงแค่การกักขัง จำกัดบริเวณให้เหล่าปิศาจ วิญญาณอยู่ในสถานที่เฉพาะไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนแก่ใคร แต่ไม่ใช่เป็นการลงทัณฑ์ ทรมานล่ามโยงด้วยสายโซ่มนตราอย่างที่เห็นเช่นนี้

            ...ใครกันพันธนาการเหล่าปิศาจ...

            ปู่เผด็จใช้จิตเข้าไปสัมผัสความรู้สึกปิศาจทั้งหลาย ทำให้ทราบพวกนี้เป็นเหมือนข้าทาสชั้นผู้น้อย กระทำตามคำสั่งนายใหญ่ ลำพังตนเองไม่ใช่ภูตผีร้ายกาจ การถูกพระยาคงเวทนำมาเลี้ยงดู และอยู่ในผนึกอาคมเป็นเวลานาน ทำให้พวกมันล้วนอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรงอาละวาด ก่อกวนใครเช่นในอดีต

            ต่อให้ผนึกอาคมถูกทำลาย ปิศาจพวกนี้ได้รับอิสระ หลุดรอดมาได้ ก็ไม่อาจเป็นภัยต่อผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน ที่แทบไร้ความเชื่อเรื่องผีสางกันแล้ว

            ปู่คงคาฉุกคิดได้อีกเรื่อง...ผีร้ายที่ถูกกักขังไม่ได้มีเท่านี้ การปิดผนึกอาคมครั้งก่อนพวกตนไม่อาจมองเห็น นับจำนวนพวกมันทั้งหมดก็จริง แต่หนึ่งในจำนวนนั้นมีพลังงานปิศาจกล้าแข็งกว่าใคร มันไม่ปรากฏตัวให้เห็นรูปร่างชัดเจน แต่พลังของมันรุนแรง แข็งกร้าวจนพวกตนต้องร่วมมือทุ่มเทพลังอาคมต่อต้าน ผลักดันอยู่นานกว่าจะนำมันกักขังในผนึกสำเร็จ

            ถ้าเช่นนั้น...อาจเป็นได้ว่า เมื่อผนึกอาคมถูกทำลาย เหล่าปิศาจได้รับอิสระ แต่มีปิศาจพลังงานกล้าแข็งตนหนึ่งยังมีความอาฆาตแค้นพวกเขา จึงใช้พลังของมันล่ามโยงปิศาจตนอื่นนำมาใช้เป็นข้าทาส แล้วออกอุบายล่อลวงให้ผู้เฒ่าทั้งสองมาที่นี่...

            เรื่องนี้อาจมีช่องโหว่ ขาดความสมเหตุสมผล มีข้อชวนสงสัยหลายจุด แต่เมื่อมองภาพรวมแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก...

            ความเข้าใจบังเกิด พร้อมกับปรากฏพลังงานปิศาจอันกล้าแข็ง รุนแรงครอบคลุมเข้ามา ปู่คงคารู้สึกว่า พลังของมันวันนี้ กล้าแข็งกว่าเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วชนิดเทียบกันไม่ได้...

            ...หรือการล่ามโซ่ปิศาจตนอื่นทั้งหมด จะเป็นชักนำพลังงานปิศาจเหล่านั้นมาไว้ที่มันเพียงตนเดียว...

            ถึงตอนนี้ มันออกคำสั่งให้เหล่าสมุนทั้งหลาย บุกโจมตีพวกเขาแล้ว

            หากปู่เผด็จ ปู่คงคายังหนุ่มแน่น การต่อสู้ครั้งนี้คงเข้มข้น ตื่นตาตื่นใจ...

            ทว่า...ยามนี้ทั้งคู่อายุย่างเข้าเจ็ดสิบ เรี่ยวแรงถดถอย จะต่อกรกับเหล่าปิศาจจำนวนมาก และหัวหน้าที่มีพลังกล้าแข็งได้อย่างไร?



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP