วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๖


            


cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ที่ร้านกาแฟ...

            มีนาตั้งใจไม่ถามเรื่องที่ทั้งคู่ได้รับมอบหมายงานจากปู่ตน แต่อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อพวกเขา

            “เฮ้อ...ดูสิไอ้จิก หัวแกยังกะดอกกระถิน ใครมันครีเอทให้วะ”

            “โห...ขืนผมปล่อยตัวให้หล่อขั้นเทพตามปกติ คงทำงานนี้ลำบาก ไม่มีใครเชื่อว่าจะมาเป็นคนขับรถหรอก...ต้องไล่ให้ไปเป็นดาราอย่างเดียว” พิจิกคุยโอ่

            “พวกแกนี่เหมือนกำลังเล่นละครน้ำเน่า ประเภทพระเอกนางเอกปลอมตัวกันเลยนะ” มีนายิ้มขัน

            “ก็ไม่ได้อยากหรอก” เมษาหน้าบูด ตาขุ่นขวาง

            “ผมคิดว่ากำลังทำหน้าที่หลานชายกตัญญูอยู่น่ะเจ้” พิจิกบอก

            “ตอแหล!” คู่ปรับสวนทันที

            มีนาหัวเราะพรืด พิจิกอมยิ้มยักคิ้วให้คู่แข่ง

            “จ้ะ...แม่คนดี” ตอบแค่นั้นก็ทำให้อีกฝ่ายเถียงไม่ออกแล้ว

            “เออ...คุยเรื่องอื่นเถอะ” มีนากลัวเกิดสงครามกลางโต๊ะกาแฟ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยด่วน “จำได้มั้ย พ่อน้องเขย ไหนบอกว่าจะหาหนุ่มหล่อโพรไฟล์ดีมาแนะนำให้ฉันรู้จักไง”

            สรรพนามว่า ‘เจ้’ มีนาใช้กับน้องสาวคนเดียวของเธอ

            “โห...เจ้...รู้มั้ยว่าสเปกเจ้หายากขนาดไหน หล่อ รวย ความรู้ดี มีสติปัญญา ไม่งี่เง่า...ที่สำคัญ โสดและไม่เป็นเกย์...เท่าที่ผมรู้จัก มีอยู่แค่คนเดียวเอง” พิจิกยิ้มกริ่มในคำท้าย

            “อ้อ...ถ้าไอ้ ‘คนเดียว’ ที่แกรู้จัก คือไอ้หมาธัน...พี่ชายแกนะ...ฉันขอยอมเป็นโสดคาคานอย่างนี้ดีกว่า” มีนาดักคอ เบรกตรง ๆ

            พิจิกหัวเราะ เมษาปรายสายตาเยาะเย้ยใส่ชายหนุ่ม...สองสาวพี่น้อง มีคำเรียกขานสองหนุ่มข้างบ้านไม่แตกต่างกัน ส่วนคำเรียกขาน ‘น้องเขย’‘พี่สะใภ้’ ของพิจิก มีนา จึงเป็นวาจาที่ทั้งคู่มักใช้หยอกล้อ เหน็บแนมกันประจำ เพราะรู้ว่าวาจานั้น แทบไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

            “งั้นก็แย่หน่อยนะเจ้” พิจิกทำหน้าหนักใจ “สงสัยเจ้คงต้องหิ้วผมไปแก้ขัด กินแทนก่อนแล้วล่ะ”

            “ให้มันแน่นะแก ตอนนี้พวกผู้หญิงรุ่นฉันนิยมกินเด็กอยู่ด้วย...แกพร้อมเมื่อไหร่ รีบใส่กล่องผูกโบไปวางหน้าคอนโดฉันได้เลย”

            มีนาไม่ปฏิเสธ รับสมอ้างหน้าตาเฉย แอบเหลือบตาดูปฏิกิริยาน้องสาวตน

            เมษาถอนใจเฮือกใหญ่ ตั้งใจให้คนทั้งสองได้ยิน

            “ไอ้หมาจิก” หญิงสาวลงเสียงหนัก “แกออกไปได้แล้ว ฉันมีธุระจะคุยกับเจ้มีน”

            “จะคุยก็คุยไปสิ ฉันไปห้ามปากแกตอนไหน” พิจิกดื้อตาใส

            “เข้าใจคำว่าธุระมั้ย” เมษาขึงตาจริงจัง

            “ฉันก็มีธุระคุยกับเจ้มีนเหมือนกัน...โห...เราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วเนอะ” พิจิกหาลูกคู่

            “ใช่ ๆ” มีนารับมุข “เราไม่เจอกันตั้ง...เดือนนึงแล้วแน่ะ”

            “พอเหอะ” เมษาเกือบหมดความอดทน จ้องพี่สาวตาเขม็ง “เจ้บอกว่ามีธุระสำคัญจากปู่จะมาบอกหนูไม่ใช่เหรอ”

            “อือใช่...” มีนาตอบรับ “แต่ไอ้จิกก็ฟังได้นี่...มันเป็นน้องเขยฉันไม่ใช่เหรอ”

            “ไม่ใช่!” เมษาปรี๊ดแตก “นอกจากเจ้จะไปหาน้องสาวคนใหม่ยกให้มันนั่นแหละ”

            มีนาหัวเราะขัน พิจิกยิ้มนัยน์ตาพราว พอใจที่ได้แหย่หญิงสาวตรงหน้า รู้สึกสนุกโดยเฉพาะตอนมีพี่สาวของเธอมาเป็นลูกคู่ เข้าข้างเขา

            “เจ้มีน...ผมไปก่อนดีกว่า...ไม่งั้น ‘อี’ หมวยเล็กมันจะโดดถีบผมเอา” ชายหนุ่มไม่วายแหย่แกมกัด

            “ไม่อยู่ฟังจริงน่ะ” มีนาแหย่กลับ

            “ไม่ได้หรอก...มัน...อืมม์...” พิจิกแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีน่ะเจ้...ผมไม่แอบฟังความลับของคู่แข่ง...”

            มีนาพยักหน้าเข้าใจ...ถ้าจะว่าไปนับจากสองผู้เฒ่าหมางเมินกัน คนที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือหลานรักทั้งสองนั่นเอง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -

 



            การสนทนาจริงจังระหว่างพี่น้องสองสาวเริ่มต้นหลังพิจิกออกจากร้านกาแฟไปแล้ว

            “ปู่ฝากมาบอกว่า คืนวันงานเปิดรั้วศิวาดล เป็นคืนที่พลังมืดอ่อนด้อยที่สุด เหมาะจะทำพิธีรวมธาตุ นำดินกลางเรือนขึ้นมา” หญิงสาวจดจำคำพูดไม่ผิดเพี้ยน

            “แต่วันนั้นมีคนมาในงานมากนะเจ้ น่าจะทำพิธีลำบาก ถึงจุดทำพิธีจะอยู่ห้องใต้ดินก็เถอะ” เมษาบอกปัญหา

            “นั่นแหละปู่ถึงส่งเจ้มาช่วยเป็นกองสนับสนุนแกไง”

            “หือ...ขนาดนั้นเชียว” เมษาไม่เชื่อฝีมือพี่สาวตน

            “ลองฟังแผนของปู่ก่อนมั้ย” มีนาเอ่ยขึ้น

            “ได้สิ ว่ามาเลย”

            โปรดิวเซอร์สาวเริ่มอธิบายความคิดของปู่คงคาทั้งหมด โดยหลักการแล้ว แผนการนี้วางไว้เพื่อช่วยสนับสนุนให้เมษาทำพิธีโดยสะดวก ไม่มีคนรบกวน ซึ่งเมื่อนำดินกลางเรือนมาได้แล้ว จะลอบออกไปทำพิธีปิดผนึกอาคมบริเวณนอกงานอีกที

            เมษาฟังแผนการตั้งแต่ต้นจนจบก็พยักหน้า เห็นด้วย

            “โอเค แผนของปู่น่าจะทำได้” หญิงสาวยอมรับ

            “อ้อ...ปู่ฝากของมาให้แกด้วย” มีนาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

            เมษาเอื้อมมือรับ มองอย่างสงสัยก่อนเก็บมันใส่กระเป๋าตนเอง

            “เรียบร้อย หมดหน้าที่ของเจ้วันนี้แล้ว ยังไงค่อยเจอกันวันงาน” มีนาเตรียมกลับ

            “เดี๋ยวก่อนเจ้” เมษาสงสัย “ถามจริงเถอะ นึกยังไงเจ้ถึงยอมมาช่วยหนูแบบนี้...ทุกทีพอรู้ว่าหนูกับปู่ไปทำเรื่องแปลก ๆ กัน เจ้ต้องอุดหูกลัวแทบตาย”

            “ไม่ได้นึกอะไร แค่อยากช่วย...เจ้รักน้องสาวตัวเองจะตาย” มีนาตอบเสียงหวานเกินจริง

            “ปู่จ่ายอะไรเป็นค่าตอบแทนล่ะ” คนเป็นน้องสาวรู้ทัน

            มีนายิ้มกริ่ม นัยน์ตาพราวระยับ ไม่ขัดเขิน

            “นิดหน่อยเอง...ปู่บอกว่าจะจ่ายค่าคอนโดที่เหลือทั้งหมดให้เจ้เท่านั้นแหละ!”

            เมษาถอนใจส่ายหน้า มองพี่สาวอย่างหมดคำพูด คำถาม...งานนี้ปู่คงคาลงทุนสูงไม่ใช่เล่น การปิดผนึกอาคมสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ?

            หรือว่า...มีเบื้องหลังอะไร สำคัญกว่านั้น...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บนรถ...เดินทางกลับศิวาดล

            สองหนุ่มสาวนั่งนิ่งเงียบตลอดทาง พิจิกตั้งใจขับรถ นัยน์ตามองถนนโดยไม่หันมาแหย่ หาเรื่องเมษาอย่างเคย แววตามีรอยครุ่นคิด ใคร่ครวญเรื่องราวในหัวของตน

            เมษาไม่สนใจกิริยาท่าทางชายหนุ่ม หล่อนนั่งทบทวนแผนการ รายละเอียดที่พี่สาวเพิ่งเล่าให้ฟัง มือคลำของในกระเป๋าที่ปู่ฝากมาให้...มันเป็นเครื่อง mp3 ที่บันทึกเสียงของปู่เอาไว้

            การที่ปู่คงคาฝากมาให้แสดงว่าต้องมีเรื่องราวสำคัญ ไม่สามารถบอกเล่าทางโทรศัพท์ และไม่สะดวกที่จะมาเจอเป็นการส่วนตัวได้

            เมื่อนึกถึงเรื่องราวสำคัญ เมษาค่อยเอื้อมมือสัมผัสเข็มกลัดดลดาราในกระเป๋า

            เข็มกลัดชิ้นนี้ช่วยให้เธอรับรู้เรื่องดลดารามากกว่าเดิม...

            ยามสัมผัสพลอยสีแดงบนหัวเข็มกลัด มันจะชักจูงให้เกิดกระแสเหนี่ยวนำ เชื่อมโยงกับตัวเจ้าของ บังเกิดเป็นภาพนิมิตเรื่องราวดลดาราติดตามมา

            ในคืนก่อนนั้น หลังจากพบเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับแม่บ้านเข็มทอง ความสงสัยในเรื่องดลดาราเพิ่มขึ้นทวีคูณ พอกลับถึงห้องพัก เมษาจึงใช้สมาธิผ่านผิวสัมผัสหัวพลอยให้จิตเข้าไปรับรู้เหตุการณ์ที่ดลดาราประสบเจอ



            นิมิตแรก ปรากฏเป็นภาพดลดาราเล่าเรื่องราว รายละเอียดความฝันน่าสะพรึงให้แม่บ้านเข็มทองฟัง พอเล่าจบก็ตั้งคำถาม

            “มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้นจริงหรือพี่เข็ม” ดลดาราหาคนยืนยัน

            เข็มทองถอนใจ

            “พี่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” แม่บ้านใหญ่แบ่งรับแบ่งสู้

            “งั้นเราจะทำยังไงดี ฉันปล่อยมันไว้เฉย ๆ ไม่ได้หรอก...สายตาปิศาจพวกนั้นยังฝังอยู่ในหัว เสียงขู่พวกมันยังก้องในใจ มันเหมือนจริงมากจนฉันมั่นใจว่าไม่ใช่ความฝันแน่นอน”

            “แต่ดิฉันเห็นคุณดลแค่สลบอยู่หน้าประตูนั่นจริง ๆ นะคะ ไม่ได้วิ่งไปไหน หรือทำอะไรเลย”

            “นั่นแหละ ฉันถึงสงสัย มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงฝันเหมือนจริง เห็นอะไรแปลก ๆ ขนาดนี้ ศิวาดลไม่ใช่คฤหาสน์ผีสิง สร้างมาเป็นร้อยปีอย่างพวกปราสาทของฝรั่งซะที่ไหน...ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ฉันออกแบบเลือกสรรเองกับมือ ระหว่างก่อสร้างก็ไม่เคยเกิดเหตุอาถรรพณ์อะไร ไม่มีคนงานตาย ไม่มีใครถูกผีสิง เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่าที่นี่มีอาถรรพณ์ ผีสิง มาเข้าฝันอะไรแบบนี้ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด”

            “เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะลองถามคนเก่าคนแก่ละแวกนี้ดู แล้วจะหาข้อมูลของที่ดินแถวนี้มาให้มากที่สุด เผื่อจะได้รู้อะไรดี ๆ บ้าง” แม่บ้านเข็มทองเสนอความคิด

            “ดีจ้ะ ขอบใจมากพี่เข็ม...ถ้าไม่มีพี่เสียคนนึง ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

            “คุณดลจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณศิวาฟังมั้ยคะ”

            “ยังไงก็ต้องเล่าให้เขาฟังแน่ ๆ แต่ขอดูจังหวะอารมณ์ดีก่อน ช่วงนี้ศิวาเครียดมาก เรื่องขยายกิจการ เปิดบริษัทใหม่ เห็นว่ามีปัญหาอุปสรรคเยอะ ฉันไม่รู้จะช่วยเขายังไงเหมือนกัน”

            “ที่จริง เพียงเท่านี้คุณศิวาเธอก็รวยมหาศาล จนดูแลกิจการไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องขยายกิจการ เปิดบริษัทอะไรให้เหนื่อยอีกเลย”

            “มันพูดยากนะพี่เข็ม...ศิวาเขามีความฝันยิ่งใหญ่ ไกลมาก แค่เป็นมหาเศรษฐีติดอันดับประเทศมันน้อยไปสำหรับเขาแล้ว ตอนนี้เขาหวังถึงขั้นไปติดอันดับต้น ๆ ของโลกโน้นแน่ะ” ผู้พูดเองก็รู้สึกเหนื่อยใจไม่แพ้คนฟัง แต่คร้านที่จะไปขัดความฝันของสามี

            “ค่ะ...ฝันไกลก็ต้องเหนื่อยมากหน่อย” แม่บ้านเข็มทองบอก แววตามีความเห็นใจหญิงสาวผู้เป็นนาย

            ภาพนิมิตคืนแรกจบลงเท่านั้น จิตเมษาถอนออกจากสมาธิ เกิดอาการเหนื่อยล้าในใจ เหมือนใช้พลังงาน กำลังมากเกินกว่าปกติ

            คืนต่อมา หญิงสาวใช้วิธีเดิมตามรอยดลดารา ภาพนิมิตเรื่องราวที่เห็น เกิดขึ้นเวลาดึกสงัดในห้องนอนส่วนตัว เป็นช่วงที่ดลดารากำลังเล่าเรื่องราวความฝันน่าสะพรึงของตนให้สามีฟัง

            “น่าจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละ” ศิวาเอ่ยปากทันทีที่ฟังจบ มือเผลอคลำเหรียญอาคมที่คอโดยไม่รู้ตัว

            “คุณคิดว่าฉันแค่ฝันเพ้อ ฟุ้งซ่านไปเองเท่านั้นเหรอ” น้ำเสียงหญิงสาวมีรอยโทสะ

            “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น” ศิวาอ่อนลง ใช้วาจาปลอบประโลม “ผมคิดว่าคุณคงเหนื่อยมากไป...คนทำงานศิลปะมักมีจินตนาการสูงกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว เวลาคุณเหนื่อยเครียด มันอาจสร้างภาพฝันที่เหมือนจริงจนแทบจับต้องได้โดยคุณไม่รู้ตัวก็ได้”

            “คุณอาจจะคิดว่าฉันฝันเหมือนจริง แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้เจอกับตัวเองอย่างฉัน คุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝันเลยสักนิดเดียว”

            “ดล...ผมว่าคุณไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีมั้ย...งานชิ้นล่าสุดเพิ่งเสร็จไม่ใช่หรือ...” ศิวามีวิธีพูดเบี่ยงประเด็น หันเหหัวเรื่องให้ภรรยาคล้อยตามจนคลายใจจากเรื่องที่กังวลทีละน้อย

            “งานล่าสุด...จริงสิ...คุณเห็นหรือยัง?” น้ำเสียงดลดารากระตือรือร้น เหมือนเด็กอยากอวดของเล่น

            “ผมแอบขึ้นไปดูมาแล้ว...มันสวยมาก” ศิวาพูดโดยแสดงให้เห็นว่าตนมีความสนใจในงานของภรรยามากแค่ไหน “คุณถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปในภาพได้อย่างหมดจด งดงาม...เชื่อว่าไม่มีศิลปินคนไหน ถ่ายทอดภาพนี้ออกมาได้ดีกว่าคุณอีกแล้ว”

            “ฉันดีใจที่คุณชอบมัน...” ดลดารายิ้มออก

            “ผมว่าจะให้ช่างเขามาตกแต่งผนังห้องโถงใหญ่ของเราเสียใหม่ เพื่อเอาไว้ประดับรูปล่าสุดของคุณ...” ศิวาบอก

            “อย่าเพิ่งเลยค่ะ ฉันยังไม่คิดจะเอารูปนี้ไปติดไว้ที่นั่น” ดลดาราบอก

            “แสดงว่าคุณวางแผนไว้แล้วใช่มั้ยว่าอยากติดรูปอะไร” ศิวาถามอย่างสนใจ

            “แหม...คุณนี่รู้ใจจัง” วาจาเท่ากับเป็นการตอบรับ

            “จริงเหรอ...งั้นต่อไปคุณจะวาดรูปอะไรมาติดล่ะจ๊ะ” เสียงหวานแกมออดอ้อน

            “คุณจำได้มั้ย...เราเจอกันครั้งแรกที่ไหน” ดลดาราถาม

            “ที่โรม...ด้านหน้าน้ำพุเทรวี” ศิวาตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

            ดลดารายิ้มสวย ซุกศีรษะไปในอ้อมอกสามี นัยน์ตาทอประกายรำลึกงดงาม

            “ฉันจำสายตาที่คุณมองฉันครั้งแรกได้แม่น...และจำความรู้สึกของตัวเองชัดเจน เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”

            ศิวายิ้มตอบ มือโอบกระชับร่างในอ้อมแขน ก้มลงจูบศีรษะเธอเบา ๆ

            “ฉันอยากวาดภาพเราสองคนในวันนั้น...คุณและฉัน...ในช่วงเวลาที่ได้พบกันครั้งแรก หน้าน้ำพุเทรวี...ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนพรหมลิขิต...”

            “คุณตั้งชื่อภาพนั้นไว้ในใจหรือยัง” ศิวาถามเสียงอ่อนโยน

            “ตั้งไว้แล้ว...ภาพนี้จะมีชื่อว่า...ศิวาดล...มันเป็นชื่อของเราสองคน ซึ่งมีความหมายว่า การพบกันของพวกเรา เป็นการดลบันดาลจากมหาเทพพระศิวะ เป็นดั่งพรหมลิขิต ที่พาเรามาเจอกันวันนั้น และรักกันมาจนถึงทุกวันนี้”

            ดวงตาดลดาราทอประกายอ่อนหวานเปี่ยมด้วยความฝัน แทบเป็นคนละคนกับนายหญิงผู้เด็ดขาด จริงจัง เจ้าอารมณ์แห่งศิวาดล

            นิมิตคืนที่สองจบแค่นั้น เมษายิ่งรู้สึกอ่อนล้ากว่าเดิม การใช้สมาธิผ่านสื่อวัตถุเพื่อเข้าไปรู้เห็นเหตุการณ์ในอดีตทำให้สูญเสียพลังงานมากอย่างคาดไม่ถึง

            คืนต่อมาจิตเมษาฟุ้งซ่าน ยากรวมเป็นสมาธิ ทำให้นึกถึงคำสอนของปู่ที่พร่ำบอกเสมอ...ขณะบำเพ็ญภาวนา อย่าส่งจิตออกนอก’ ไปรู้เห็นเรื่องราวนอกตัว ถ้ายังไม่ชำนาญในสมาธิเพียงพอ ไม่เช่นนั้นมันยากที่จะกลับมาตั้งมั่นเป็นสมาธิตามปกติอย่างเดิมได้

            ที่ผ่านมาหญิงสาวจะใช้สมาธิออกรู้เท่าที่จำเป็น และงานช่วยเหลือผู้คนกับปู่คงคาไม่ได้มีบ่อยนัก ทว่าการมาทำงานในศิวาดล จำเป็นต้องใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดเข้าสู้ ทำให้ยากที่จะปฏิบัติตามคำสอนของปู่อย่างเคร่งครัด

            เมษาจึงค่อย ๆ หาวิธีตะล่อมจิตให้รวมลงเป็นสมาธิ เพื่อเข้าไปรับรู้อดีตดลดาราอีกครั้ง...

            คราวนี้ภาพที่เห็นคือการพูดคุยระหว่างดลดารากับแม่บ้านเข็มทอง

            “ดิฉันไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินศิวาดลมาแล้วค่ะ” แม่บ้านใหญ่เข้าประเด็น

            “ได้ความว่ายังไงบ้าง” ดลดาราอยากรู้

            “ที่ดินแปลงนี้ได้มาจากหลายเจ้าของ...แต่แปลงใหญ่สุดเป็นของตระกูลเก่าแก่ สืบเชื้อสายมาจากพระยาท่านหนึ่งเลยทีเดียว”

            “พระยาท่านนั้นเป็นใคร มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือเปล่า?”

            “ท่านชื่อพระยาคงเวท มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในด้านไสยเวท คาถาอาคมต่าง ๆ”

            ดลดาราเสียวสันหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ

            “แล้วเกี่ยวอะไรกับศิวาดลของเราบ้าง” ถามอย่างสงสัย

            “ผู้เฒ่าคนหนึ่งแถวนี้ ความจำแกยังดี พอเห็นศิวาดลของเรา แกก็บอกว่า เราสร้างคฤหาสน์ทับบนเรือนพระยาคงเวท!”

            คนฟังสะดุ้งวาบ ความรู้สึกหวาดกลัวรุนแรงเข้าจู่โจม

            “แต่...” หญิงสาวพยายามเอ่ยแก้ “ตอนเรามา...ที่ดินแถวนี้มันรกร้าง ว่างเปล่าหมดแล้ว ไม่มีร่องรอยบ้านเรือนใครมาปลูกอยู่ก่อนเลยนะ”

            “เรือนพระยาคงเวทถูกรื้อถอนไปตอนปีสองพันห้าร้อย...ผู้เฒ่าคนนั้นจำได้แม่น เพราะเป็นปีที่ฉลองกึ่งพุทธกาลกัน” แม่บ้านใหญ่อธิบาย

            “โอ๊ย...นั่นมันตั้งสี่สิบกว่า...เกือบจะห้าสิบปีมาแล้วนะ...มันไม่น่าเกี่ยวอะไรกับเราเลย” ดลดาราฝืนเถียงทั้งที่ใจหวั่น

            “รายละเอียดน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ค่ะ” แม่บ้านเข็มทองเอ่ยปากจริงจัง แววตาลึกซึ้ง บอกถึงเรื่องราวที่จะเล่ามีความสำคัญยิ่ง

            “พระยาคงเวทท่านช่วยชาวบ้านปราบผีร้าย แล้วจับมาขัง เลี้ยงไว้ในเรือนตัวเองเป็นจำนวนมาก พอท่านเสียชีวิต พวกลูกหลานก็ไม่มีอาคมแกร่งกล้าเท่าท่าน ทำให้มีผีร้ายหลุดรอดออกไปอาละวาดข้างนอก ส่วนในเรือนก็สร้างความหวาดหวั่นแก่พวกลูกหลาน จนต้องหาหมอผี อาจารย์ดีมาปราบ...”

            แม่บ้านใหญ่หยุดชั่วขณะ เห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาคัดค้าน ไม่เชื่อถือ จึงค่อยเล่าต่อ...

            “สุดท้ายมีอาจารย์ดีมาจัดการภูตผีเหล่านี้สำเร็จ ทำพิธีปิดผนึกอาคมผีร้าย แล้วบอกให้ทายาทพระยาคงเวทรื้อเรือนถวายวัด เพราะถ้าอาศัยอยู่ต่อไป อาจมีคนพลาดพลั้งทำให้ผนึกอาคมเสื่อมได้ พอรื้อถอนเรือนเสร็จ พวกเขาก็ย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง ทายาทรุ่นหลังก็หลงลืมที่นี่ ปล่อยให้กลายเป็นที่ดินรกร้างหลายสิบปี จนบ้านเมืองเจริญ ที่ดินมีราคาค่อยขายทิ้งต่อมือกันมาเรื่อยจนคุณศิวามาซื้อสร้างศิวาดลนี่แหละ”

            “ถ้าอย่างนั้น การที่เราสร้างบ้าน คล่อมเรือนพระยาคงเวทก็หมายความว่า...” ดลดาราไม่กล้าพูดต่อ

            “คฤหาสน์เราตั้งอยู่บนผนึกอาคม หรือพูดง่าย ๆ คือสร้างบ้านทับคุกของพวกผีร้ายนั่นแหละค่ะ” แม่บ้านสรุป

            ดลดารานิ่งเงียบเนิ่นนาน ในใจมีความขัดแย้งรุนแรงมากมาย ทั้งความเชื่อ ไม่เชื่อ สงสัยตีกันยุ่งในหัวไปหมด

            ถ้าการที่ลูกหลานพระยาคงเวทอาศัยอยู่ในเรือนที่ปิดผนึกอาคมเอาไว้ อาจทำให้ผนึกเสื่อมมนตร์ขลัง ปล่อยภูตผีออกมา แล้วการที่พวกเธอมาไถขุดปรับปรุงซากที่ตั้งเรือนเดิมอย่างนี้ ผนึกอาคมน่าจะคลายอำนาจไปแล้ว เหตุใดระหว่างการปลูกสร้างจึงไม่เกิดอาถรรพณ์ใด

            ...อาจเป็นได้หรือไม่...ที่เวลาหลายสิบปี บ้านเมืองเจริญ ผู้คนมากมาย ผิดกับแต่ก่อน ทำให้ภูตผีร้ายต่างอ่อนล้า คลายอิทธิฤทธิ์ ไม่อาจสร้างความเดือดร้อนใด ๆ...

            ทว่า...หากพวกมันสิ้นฤทธิ์จริง เหตุใดเธอจึงยังเห็นเรือนพระยาคงเวทชัดเจนอย่างนั้น หนำซ้ำพวกมันยังแผลงฤทธิ์สร้างความหวาดกลัวแก่เธอได้ขนาดนี้...ทั้งที่เป็นแค่ความฝัน!

            “เรา...ควรทำยังไงต่อไปดี” ดลดาราเอ่ยเสียงแผ่ว อาศัยแม่บ้านคนสนิทเป็นที่พึ่ง

            “ดิฉันจะลองหาทางดู...” แม่บ้านเข็มทองบอก แววตาปรากฏร่องรอยหนักใจ ยากอธิบายเป็นคำพูด

            นิมิตครั้งที่สามปรากฏเท่านี้ คืนต่อจากนั้นจิตเมษาฟุ้งซ่าน กระจัดกระจายเกินกว่าจะใช้งานออกรู้ได้อย่างเดิม ทำได้เพียงค่อยตะล่อมมันให้กลับสู่ความสงบทีละน้อย โดยกลับไปสู่พื้นฐานการฝึกจิตขั้นต้นที่ปู่คงคาสอน

            ให้รู้ทันจิตที่หนีไปคิดนะลูก” ในขั้นเบื้องต้นนี้ ไม่ต้องหวังความสงบ เป็นสมาธิใด ๆ แค่จิตหนีไปคิดเรื่องอะไร จิตกำลังฟุ้งซ่านแบบไหน ก็ให้รู้ทันมันไปอย่างนั้น

            การ ‘รู้ทัน’ จิตที่หนีไปคิดนั้นไม่อาจทำให้เกิดความสุขสงบในทันที แต่เมื่อจิตขยันรู้ทันจิตที่หนีไปคิดได้บ่อยขึ้น ความคิด ฟุ้งซ่านก็จะดับเร็วขึ้น จิตไม่ถูกโมหะครอบคลุมนาน ๆ อย่างเคย ความสุข สงบ สมาธิจึงค่อยเกิด ค่อยตั้งมั่นทีละน้อย

            ด้วยเหตุนี้ เมษาจึงหยุดติดตามเรื่องราวดลดาราชั่วคราว คาดไม่ถึงวันนี้กลับพบพี่สาวตนเอง มาพร้อมแผนการ และข้อความสำคัญจากปู่ในเครื่อง mp3 ซึ่งไม่รู้ว่าในนั้นจะมีอะไรบ้าง

            ไม่ว่าอย่างไร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณบอกให้เธอเตรียมพร้อมรับมืองานใหญ่ที่จะมาถึง สติ สมาธิจะย่อหย่อนไม่ได้ จำเป็นต้องพักเรื่องดลดาราไว้ก่อน



            ระหว่างเมษานั่งใคร่ครวญ ทบทวนประสบการณ์ของตน พิจิกแค่เหลือบมอง ไม่คิดรบกวน เพราะเขามีเรื่องราว แผนการส่วนตัวเช่นกัน

            ระหว่างเมษาคุยกับมีนาเกี่ยวกับแผนการ ความลับของตน พิจิกเลี่ยงออกมาเดินในห้าง เปิดโอกาสให้สองสาวพูดคุยตามสบาย ไม่สนใจแอบฟัง

            ตอนนั้นปู่เผด็จส่งข้อความมาหาทางไลน์

            “คืนนี้พบกันที่เดิม...เวลา...”

            ปู่ส่งไลน์มานัดหมาย ใช้สถานที่เดิม เพียงแค่เปลี่ยนเวลาให้เร็วขึ้น เพราะหลังจากเกิดเหตุมือปืนบุกยิงคืนนั้น ทางศิวาดลปิดประตูด้านหลังเร็วกว่าเดิมเป็นชั่วโมง พร้อมสืบหาไส้ศึกว่าใครคือคนบอกความเคลื่อนไหวของนายศิวา

            ปรากฏว่าในศิวาดลไม่มีไส้ศึก มือปืนเป็นระดับมืออาชีพ ตำรวจพบเครื่องติดตาม ดักฟังในมือถือของนายศิวา ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวมหาเศรษฐีรายนี้อย่างละเอียด ง่ายต่อการวางแผนสังหาร และน่าจะเป็นเครื่องมือให้ทางตำรวจติดตามย้อนรอยคนร้ายง่ายขึ้นเช่นกัน

            พิจิกไม่รู้ว่าการพบกันครั้งนี้ ปู่มีเรื่องราวสำคัญใดจะบอก สังหรณ์ในใจกระซิบว่า คืนนี้เขาจะได้รู้เรื่องราวที่ค้างคาใจมานาน เป็นเรื่องสำคัญที่น้อยคนจะได้รับทราบ

            ความรู้สึกนี้ทำให้ใจสั่นระรัว อยากรู้ อยากเร่งให้ถึงเวลานัดหมายเร็ว ๆ

            ด้วยจิตใจมัวนึกถึงช่วงเวลาพบผู้เฒ่า พิจิกจึงไม่มีอารมณ์เย้าแหย่ จิกกัดเมษาอย่างเคย ทั้งที่เห็นว่าหล่อนจ่อมจมอยู่ในห้วงความคิด แผนการส่วนตัวนานเกินไปแล้ว

            ตลอดเส้นทางจากห้างสรรพสินค้าจนถึงศิวาดล บนรถจึงมีแต่ความเงียบงัน สองหนุ่มสาวไม่นึกอยากพูดคุยกัน ต่างฝ่ายล้วนมีเรื่องราวในหัวของตนเอง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP