วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๕


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

มรรคาอยู่ในห้องพระ กับความสยองขวัญที่ปีกแก้วพบเห็น เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาเขาแลตรงยังพระพักตร์พระพุทธรูป สองมือประนมไหว้นอบน้อม แววดุในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความเคารพ เลื่อมใสเต็มหัวใจ

ต่ำลงมาจากตั่งวางพระพุทธรูป ภาพหลวงปู่ใหญ่ตั้งเด่นชัด

ผมไม่รู้จะดึงความทรงจำในอดีตคืนมาอย่างไรครับ เขากล่าวเบาๆ หลวงปู่ช่วยชี้ทางให้ผมด้วยเถิดครับ

ห้องพระเงียบสงัด สิ่งภายนอกไม่อาจกระทบถึงราวกับถูกตัดขาด ให้เป็นดินแดนอันเวิ้งว้าง โดดเดี่ยว

มรรคาได้ยินเสียงพายุ แรงลมกระหน่ำ ไม่ปรานีต่อดินฟ้าอากาศและมวลสรรพสัตว์ในโลก เสียงหวีดหวิวสลับกับรงสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินในความวิปริตนั้น เสียงหัวเราะอันกึกก้อง หยิ่งผยองของ จ้าว โดดเด่นขึ้นมา

ข้าเริ่มให้ได้เท่านี้ ต่อไป จงดำเนินด้วยตัวเอง เสียงที่ไม่คุ้นหูแว่วมาจากกลางใจ

มรคาตวัดขานั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้เสียงเหล่านั้นเข้าครอบคลุมความรู้สึกทุกส่วน...ยิ่งพยายามเท่าใด ผลก็ยังไม่คืบหน้า ชายหนุ่มตั้งสติค่อยๆ คิด...ทำอย่างไรเขาถึงจะ เห็น

ถ้าคิดอยาก เห็น จะไม่มีวันได้เห็น คำพูดของพันเกลียวดังขึ้นมา

มรรคาสูดลมหายใจลึกๆ หยุด ความต้องการทั้งมวล...

เอาเถอะ...ถ้าคำอธิษฐานในชาติก่อนมัน แรง พอทุกสิ่งจะกระจ่างเอง แต่ถ้ามันไม่มีกำลังพอถึงขนาดนั้นก็หยุด เลิก จะไม่สนใจอีกแล้ว อดีตคืออดีต มันจบลงแล้ว นี่คือปัจจุบัน ไม่เกี่ยวข้องกัน จะไม่ใฝ่หา ไม่วิ่งตามมันอีกต่อไป...จบสักที ผลจะเป็นยังไงก็ช่าง...พอ...

เขาบอกกับตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าไม่รู้เรื่องในคืนนี้ ทุกอย่างก็จบ...เขาจะไม่สนใจอีกแล้ว

ใจวางจากความอยากรู้ เสียงพายุฝนยิ่งกระหน่ำซัด มันชัดเจนจนเขาแทบจะมองเห็นภาพ เสียงหัวเราะยังไม่ขาดสาย...เนิ่นนาน เขาเหมือนจะได้พบเจ้าของเสียงหัวเราะ

เขายืนอยู่ท่ามกลางลมพายุซึ่งกระหน่ำหนัก ชาวบ้านทุกคนหมอบราบด้วยความเคารพ เกรงกลัวหมอผีประจำหมู่บ้าน คำนับซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงหัวเราะทอดต่ำลงมาๆ จนกระทั่งเงียบหาย

แสงสีแดงเพลิงลุกโชนสูงลิ่ว เขากอดอกมองเข้าไปกลางรัศมีสีแดงฉาน ร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง

โอ...จ้าวเสด็จมาแล้ว...จ้าวมาแล้ว หมอผีพร่ำไม่ขาดปาก ชาวบ้านยิ่งขดตัวงุดลงดิน ตัวสั่นระริก ไม่กล้าเงยหน้า

จ้าว ช่างเป็นชายที่งดงามจนชายด้วยกันยังอิจฉา เรือนร่างสูงอ้อนแอ้นซ่อนความแกร่งกำยำ ผิวขาวนวลลออตัดกับอาภรณ์สีแดงเข้ม ใบหน้าราวกับปั้นแต่งและสลักเสลาด้วยยอดประติมากรผู้ทรงพรสวรรค์อันประเสริฐ หากเป็นภาพวาด ก็เป็นภาพที่จิตรกรทุกคนในโลกมิอาจหาข้อบกพร่องได้ มันคือใบหน้าที่ชะลอเอาความงามของสตรีเพศ รวมเข้ากับความคมเข้มของบุรุษ จนกลายเป็นหนึ่งเดียวที่ยากเปรียบเปรยต่อสิ่งใดได้

ข้าขอคารวะต่อท่าน เทพ ผู้มาจากแดนสุขาวดี น้ำเสียงของจ้าวแตกต่างจากเสียงหัวเราะ อย่างสิ้นเชิง

คำว่า เทพ ทำให้หมอผีตะลึงงัน มองชายไร้ที่มาอย่างไม่เชื่อสายตา กะพ้อเงยหน้างงงัน กึ่งปีติ กึ่งหดหู่ใจ

...ลงว่าเทพมาช่วย หล่อนย่อมมีโอกาสรอด...แต่เพราะท่านเป็นเทพ...หล่อนย่อมไม่มีหวังได้ชิดใกล้

สองชายยืนประจันหน้ากันอย่างไม่เกรง ร่างหนึ่งครองอาภรณ์สีแดงสด ท่วงท่าสง่าผ่าเผยแกมหยิ่งผยอง อีกร่างสวมเสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา ยืนกอดอกปล่อยตัวตามสบาย หากราศีที่มี ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมิอาจฮึกเหิมได้

ในฐานะเจ้าบ้าน ข้าขอทราบนามและเหตุผลที่ท่านมาเยือนถึงถิ่น จะได้หรือไม่

ข้ามาทวงถามความยุติธรรมให้แก่หญิงสาวคนหนึ่ง เขาเลือกตอบคำถามหลัง

อีกะพ้อนั่นหรือ อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ข้าไม่คิดว่าท่านเทพผู้สูงศักดิ์ จะใส่ใจต่อมนุษย์เดินดินไร้ค่าเช่นนี้

ก่อนจะเป็นเทพ ข้าก็เคยเป็นมนุษย์ เจ้าเองก็คงไม่ผิดกัน ในวัฏสงสารมีแต่ผู้เดินทาง วนเวียนอยู่ในชาติภพน้อยใหญ่ทั้งสิ้น ไยต้องมาดูหมิ่นกัน

ไม่ต้องมาเทศน์ให้ข้าฟังก็ได้ น้ำเสียงยังนิ่มนวล แต่ใบหน้าเริ่มแข็งกร้าว มีอะไรก็ว่ากันมา ไม่จำเป็นต้องใช้สำนวน

ข้าขอให้เจ้าละเว้นชีวิตมนุษย์ผู้นี้ และเลิกให้พวกชาวบ้านนับถือบูชาสิ่งงมงายไร้สาระเสียที

ท่านหาว่าข้า และกฤตยามนต์ของข้า คือสิ่งงมงาย ไร้สาระ ท่านให้ข้าปล่อยนังผู้หญิงโอหัง กล้าด่าว่าข้า กล้าไม่บูชานับถือข้าเช่นนั้นหรือ

เจ้าจะเอาอย่างไร

ข้าให้เกียรติท่าน เพียงเพราะท่านเป็นเทพ...แต่ใช่ว่าข้าจะกลัวท่าน วิชา ของข้า ใช่จะด้อยกว่าผู้ใด เสียงกระหึ่ม ห้าวหาญ บาดหู ใบหน้าเริ่มแข็งกร้าว ความงดงามค่อยๆ แปรเปลี่ยน...

หรือเจ้าหมายความว่า ข้าต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ก่อนกระมัง เจ้าถึงจะยอมเชื่อฟัง

ฮ่า...ฮ่า เสียงหัวเราะเช่นนี้อีกแล้ว เสียงที่เหมือนจะถล่มฟ้าดินให้ทลายเป็นผุยผง

ร่างอ้อนแอ้นงดงามของจ้าวเปลี่ยนไป กลับกลายร่างสูงใหญ่ทึบทะมึนราวยักษ์ปักหลั่น ใบหน้าแบะบานออก ดวงตาโตลึก ถมึงทึง สีผิวเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้ม อาภรณ์ที่ใส่กลายเป็นสีดำสนิท

...มันคือสิ่งตรงข้ามกับความงดงามตอนแรกอย่างสิ้นเชิง...

ถ้าเจ้าชนะข้า...เทพผู้สูงศักดิ์...ไม่ว่าเจ้าสั่งอย่างไร...ข้าล้วนยอมสิ้น คำพูดเต็มไปด้วยความอหังการ

มือเขาคลายจากการกอดอก นัยน์ตาฉายแววเจิดจ้า เสื้อผ้าแปรเปลี่ยนกลายเป็นชุดทรงสีน้ำเงินเข้ม

เอาเถอะ...ข้าจะสั่งสอนให้เจ้าได้รู้การควรไม่ควรเสียบ้าง

สิ่งที่ปรากฏต่อตาชาวบ้านทุกคน คือร่างทั้งสองลอยสู่ความมืดดำของราตรีกาล ลำแสงสีน้ำเงินเข้มโอบคลุมร่างแห่งเทพ รัศมีสีดำกลืนจ้าวเข้าสู่ห้วงแห่งความมืด

มันเป็นความเงียบที่ทุกคนอึดอัดใจ มันคือความสงบที่ทำให้ใครๆ ต่างร้อนรน ทุรนทุราย...ที่ขอบฟ้า เห็นเพียงลำแสงสีเงินยวงพุ่งแปลบปลาบ สลับกับแสงสีอันตระการตา แต่ทว่า..ไร้ทุกสรรพเสียง ไม่ว่าจะเห็นแสงสว่างโชติช่วงปานใด หรือแสงสีที่แสบตาเพียงไหน ก็ไม่มีเสียงที่ทำให้ทุกคนร่วมรับรู้ได้เลย...

แล้วจู่ๆ จ้าว ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยร่างอันงดงาม หล่อเหลา หมอผีเกือบโห่ร้องยินดี ถ้าไม่ทันสังเกตว่า...ใบหน้าของจ้าวซีดเซียว รัศมีแดงฉานที่เคยมีหายไปเกือบหมด

เทพ ปรากฏกายลักษณะเดิม แต่งกายเสื้อผ้าชาวบ้าน ท่าทางเนิบเนือย แต่ใบหน้าผุดผ่อง เต็มไปด้วยราศี

ท่านให้ข้าสัญญาสองข้อใช่ไหม จ้าวกระชากเสียงห้วน

ห้ามทำร้ายผู้หญิงคนนี้ และเลิกให้ชาวบ้านบูชานับถือเจ้าเสียที คำพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่คำสั่ง

ได้ เสียงตอบสะบัด ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากชาวบ้านหายตกตะลึง ทุกคนโห่ร้องดังกึกก้อง หมอผีประจำหมู่บ้านแอบเร้นกายโดยไม่มีใครทันสังเกต

เทพแปลกหน้าไม่ใส่ใจต่อเสียงชื่นชมยินดี ท่าทางเคารพนบไหว้ของชาวบ้าน เขาเดินช้าๆ ไปหาหญิงสาวที่หมอบพับเพียบ มองเขาด้วยแววตาเคารพบูชา รอยยิ้มของเขายังเป็นดังเดิม ไม่ต่างจากชายผู้มีคุณที่กะพ้อคุ้นเคย

ข้าจัดการเรื่องของเจ้าเรียบร้อยแล้วนะ เขาคุกเข่าลงบอกหล่อน

น้ำตาหญิงสาวไหลคลอเบ้า ชายที่ตนเองแอบมอบชีวิตและหัวใจ อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ แต่หล่อนไม่กล้ากระทั่งสัมผัสปลายนิ้วเขา

ท่าน...ทำเพื่อข้าน้อย เสียงถามแผ่วเครือ

ใช่...ก็ข้ารับปากเจ้าแล้ว ใบหน้าสดใส รอยยิ้มกระจ่างของเขา ยิ่งทำให้กะพ้อหม่นหมองใจ

แล้ว...ท่าน...จะ...จากไป เป็นคำถามซึ่งหวังจะได้รับคำปฏิเสธ

ถึงเวลาแล้ว คำตอบเหมือนการตอกย้ำรอยแผลในใจ อยู่ดีมีสุขนะ เขาอวยพร

เดี๋ยว... น้ำเสียงเรียกอย่างขลาดๆ ข้าน้อยยังไม่รู้...ชื่อของท่าน

เขายิ้มให้อย่างเมตตา ก่อนตอบเสียงแผ่วพลิ้ว

ทิชาเทพ...

ร่างสูงสง่าเลือนหายไป ในขณะที่ใบหน้ากะพ้อนองด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นไห้ดังเหมือนหัวใจจะพังภินท์ ร่างบอบบางสั่นสะท้าน ไม่ต่างจากนกน้อยเปียกฝน

หัวใจของมรรคาถูกบีบ ความเศร้าเสียใจของหญิงสาวกำลังระบาดใส่เขา น้ำตาทุกหยดเหมือนน้ำกรด กัดกร่อนจนเขาอดเวทนาไม่ได้ เมื่อมีอารมณ์อื่นมาแทรก ความตั้งมั่นในใจไม่อาจทรงตัว นิมิตจึงเลือนหาย เสียงที่ได้ยินก็คืนสู่ความเงียบสงัดดังเดิม

...เขาเข้าใจแล้ว...ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง ขณะก้มลงกราบพระพุทธรูป

ขออีกครั้งเดียวเถอะ ...ขอให้ได้เห็นอดีตอีกครั้งเท่านั้น...เขาก็จะเข้าใจเรื่องได้ทั้งหมด...มรรคายืนยันกับตัวเอง


ปีกแก้วแต่งตัวเรียบร้อยลงจากห้อง เพื่อเตรียมตัวไปสอบวันสุดท้าย มรรคาดื่มกาแฟรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาเงยหน้าเมื่อเด็กสาวเดินมาถึง

กินอะไรหน่อยมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง

เอ...วันนี้อารมณ์ดีอะไรคะ...มหาวิทยาลัยของแก้วกับออฟฟิศพี่มัคมันคนละทางกันเลยนะคะ เด็กสาวสงสัย

ไม่เป็นไรหรอก วันนี้พี่เข้าสายได้ เขาพูดสั้นๆ แก้วสอบวิชาสุดท้ายไม่ใช่หรือ นั่งรถมีคนขับสบายๆ จะได้ทำคะแนนดีๆ ไง

ปีกแก้วย่นจมูกใส่ รู้ว่าเขาล้อเลียน

ทำหน้าอย่างนี้แสดงว่าไม่ไปใช่ไหม เขาหยิบของเตรียมตัวลุก

ไปสิคะ เด็กสาวตะลีตะลานแย่งของในมือมรรคามาถือเอง นานๆ พี่มัคจะใจดีไปส่งสักที

สอบเสร็จแล้ว ถ้ามีเวลาว่าง ไปหาพี่ที่ออฟฟิศหน่อยนะ มรรคาบอกขณะเดินไปขึ้นรถ

ทำไมหรือคะ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นถาม

คืนนี้งานวันเกิดคุณลุง แก้วจะไม่ไปทำผมแต่งหน้าก่อนหรือจ๊ะ หรือว่ายังไม่อยากเป็นสาว พี่จะได้บอกเลิกช่างเขาให้

แสดงว่าพี่มัคจัดการเตรียมให้แล้วใช่มั้ยคะ...ไชโยดีใจจัง กิริยากระโดดโลดเต้นคล้ายเด็กเล็กๆ เช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มต้องส่ายหน้า...เขาทำใจไม่ได้สักทีว่า ปีกแก้วโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว...


ที่แห่งนั้นอึมครึมด้วยไม่อาจมีแสงตะวันฉายฉานลงมาอย่างเต็มที่ ต้นไทรใหญ่ยืนตระหง่านโดดเด่นเสียดฟ้ามองเห็นสีเขียวของหมู่ไม้กระจัดกระจายออกโดยรอบ

ปิศาจหมอผีกำลังหมอบราบตรงเบื้องหน้าต้นไทร หูทั้งสองสดับเสียงที่ดังมาเป็นจังหวะช้าๆ หนักแน่น ภาษาใช้แปร่งแปลก ไม่อาจจำแนกสัญชาติ เนิ่นนานกว่าเสียงเหล่านั้นจะเงียบลง ร่างที่หมอบราบค่อยกล้าเงยหน้าขึ้น คุกเข่าคำนับต่อต้นไทรด้วยอาการเคารพสูงสุด

ขอบคุณจ้าวอย่างเหลือประมาณ ที่สั่งสอน วิชา ให้แก่ข้า ปิศาจหมอผีกล่าว

อำนาจเทพที่คุ้มครองนังผู้หญิงคนนั้นจะร้ายกาจสักเพียงใดเชียว แค่ขับไล่เอ็งกับพวกบริวารออกจากบ้านมันได้เท่านั้น แต่พอมันย่างก้าวออกมา วิชาที่ข้าถ่ายทอดให้เอ็งคราวนี้ สามารถต่อกรกับอำนาจเทพของมันได้แน่นอน

จ้าวคือผู้ทรงอานุภาพสุดฟ้าสุดแผ่นดิน... วิชาอื่นอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่วิชาเยินยอ ปิศาจหมอผีกลับเชี่ยวชาญ

พอ เสียงจ้าวสั้นแต่เด็ดขาด เอ็งไปทำงานที่ข้าสั่งให้สำเร็จ จับตาดูอีกะพ้อมันด้วย...ถึงข้าจะถูกขังอยู่ในนี้ แต่ก็พอรู้ว่ามันไม่ซื่อสัตย์ต่อข้า

ขอรับจ้าว มันก้มลงกราบอีกครั้ง

บรรยากาศมัวซัวยิ่งทวีความขุ่นข้นลงไปอีก แสงฟ้าแปลบแปลบกลางฟ้า รอเวลาผ่าลงสู่พื้นพสุธา

 

๑๒

ข้างล่างเรียบร้อยดีไหมคุณ คุณฉัตรฉวีหันใบหน้าที่พอกเครื่องสำอางไปถามสามี

ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ คุณธมควานหาเสื้อผ้าในตู้เตรียมไว้ใช้ในคืนนี้

ชุดของคุณฉันให้เขาวางไว้บนเตียงไง พูดแล้วรีบหลับตาเพื่อให้ช่างแต่งหน้าเกลี่ยเครื่องสำอางบนเปลือกตา

คุณธมมองเสื้อผ้าบนเตียง สีหน้าติดจะระอานิดๆ เหลือบตาไปยังภรรยาและช่างประจำตัวที่หน้ากระจกแล้วถอนใจ

...คนแก่...จะพอกเครื่องสำอางประทินโฉมสักแค่ไหนก็หนีความชราไม่พ้น...

ปีนี้คุณธมอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ส่วนคุณฉัตรฉวีจะอายุน้อยกว่าก็ไม่เกินสองสามปี วัยขนาดนี้น่าจะเกษียณอายุพักผ่อนได้แล้ว แต่คุณฉัตรฉวียังโลดแล่นอยู่ในวงสังคมชั้นสูงอย่างสาวเสมอ ส่วนคุณธมต้องควบคุมกิจการต่างๆ อีกมากมาย ชีวิตเต็มไปด้วยงานและงาน มีลูกสาวสองคน พลอยใส ลูกคนโตแต่งงานกับหนุ่มนักธุรกิจในแวดวงเดียวกัน ส่วน แพรวา ลูกสาวคนรอง ชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เรียนจนจบดอกเตอร์แล้วยังไม่หยุดเรียน


คุณธมมีน้องๆ อีกสามคน ทัต ธนา และสุณี ซึ่งแต่ละคนมีชีวิตผกผันต่างกันไป สุณีหย่าร้างกับสามี ทรัพย์สินที่มีถูกปอกลอกโกงไปจนเกือบหมด ธนาใช้ชีวิตพรั่งพร้อมเงินทองที่ต่างประเทศ โดยไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย ลูกๆ ของเขาใช้สัญชาติที่ประเทศนั้นกันหมด

ส่วนทัต น้องชายที่มีวันใกล้เคียงกับคุณธมมากที่สุด ก็เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ทิ้งลูกชายคนเดียวกับเด็กสาวในความดูแลอีกคนไว้ให้ ด้วยทรัพย์สินที่มีล้นเหลือเช่นนี้ คุณธมสามารถเลี้ยงเด็กทั้งสองไว้ที่บ้านได้อย่างไม่เดือดร้อน...ถ้าไม่ติดปัญหาที่คุณฉัตรฉวี

คุณฉัตรฉวีกับคุณนวลแม่ของมรรคา เป็นยิ่งกว่าไม้เบื่อไม้เมา ทั้งคู่เรียนมาด้วยกัน และเป็นคู่แข่งกันทุกด้าน จนเมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ความไม่กินเส้นยิ่งเด่นชัด...บ้านหลังใหญ่ถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ความแตกร้าวยิ่งขยายตัวมากขึ้น เมื่อคุณฉัตรฉวีมีลูกสาว แต่คุณนวลได้ลูกชาย

ถึงจุดนี้ คุณนวลเป็นฝ่ายถอนตัวออกจากสนามรบ ด้วยไม่อยากให้ความแตกแยกของตนต้องลุกลามใหญ่โต

สองสามีภรรยาและลูกน้อย ปลูกบ้านอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเล็กๆ มีความสุข จนกระทั่งเสียชีวิต

เวลานั้นคุณธมตั้งใจนำมรรคาและปีกแก้วมาเลี้ยงไว้เอง แต่คุณฉัตรฉวีคัดค้านเต็มที่...หล่อนกลัวว่ามรรคาจะมาแย่งทุกสิ่งจากเธอและลูกสาวทั้งสองไป

ถึงแม้คุณธมจะพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร...แต่สิ่งที่คุณธมขาดคือลูกชาย

ความที่ไม่ต้องการให้ครอบครัวมีปัญหา คุณธมจึงให้เด็กทั้งสองอยู่กันเอง โดยมีป้าแฉล้มคนเก่าคนแก่ของบ้านคอยดูแล ส่วนคุณธมรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายและเข้าดูแลกิจการโรงงานของน้องชาย จนกระทั่งมรรคาเรียนจบจึงปล่อยให้เขาควบคุมดูแลเอง

...ซึ่งชายหนุ่มทำได้ดีกว่าที่เขาคิด...


เป็นยังไงบ้างคะคุณ คำพูดของคุณฉัตรฉวีทำให้คุณธมเบือนหน้ากลับ

ฮื่อ...ดี เขาตอบโดยไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าหลังแต่งหน้า กับก่อนแต่ง ภรรยาเขาดูแตกต่างกันอย่างไร

แล้วคุณเองทำไมยังไม่แต่งตัว เสียงภรรยาเข้มงวดคล้ายเวลาดูแลสั่งสอนลูกๆ

หัววันอย่างนี้ แขกยังไม่มาหรอก

ไม่ได้นะคุณ เราต้องคอยดูแลความเรียบร้อยก่อนแขกจะมาถึง

เอาน่า...มันยังไม่มีอะไรหรอก ทางด้านอาหารเลี้ยงแขกเราก็ให้ทางโรงแรมจัดการ ส่วนอาหารพิเศษบางอย่าง แม่ครัวของเรากับแม่แฉล้มเขาก็ดูแลเป็นแม่งานให้อยู่แล้ว...ส่วนเรื่องทั่วๆ ไป ฉันก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตะกี้ก่อนขึ้นมาก็ฝากตามัคกับยายแก้วให้ช่วยดูแลกันแล้ว

คราวนี้คุณฉัตรฉวีลุกพรวดเหมือนงูโดนตีขนดหาง คุณธมรู้ทันทีว่าตนเองพลาดไป

ทำไมต้องให้ไอ้เด็กสองคนนั่น เข้ามาวุ่นวายในงานบ้านเราด้วย

ฉัตรฉวี คุณธมขึ้นเสียง ที่คุณเรียกว่า ไอ้ น่ะ มันหลานแท้ๆ ของผมนะ

ฉันไม่เคยนับญาติกับพวกมัน ผู้เป็นภรรยาไม่ยอมแพ้

คุณธมได้แต่ถอนใจ ความเกลียดที่คุณฉัตรฉวีมีต่อคุณนวล ได้ถูกถ่ายเทไปยังมรรคาและปีกแก้วอย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งคุณธมให้ความรัก ความเอ็นดูต่อหลานทั้งสองมากแค่ไหน ก็ยิ่งกระพือไฟโทสะและแรงเกลียดของคุณฉัตรฉวีมากขึ้นเท่านั้น

คุณธมรู้ว่าภรรยากำลังกลัว...กลัวว่ามรรคาจะแย่งทุกสิ่งจากเธอไป ทุกสิ่ง นั้น รวมถึงคุณธมด้วย

มรรคาเป็นลูกน้องชายที่คุณธมรักมากที่สุด ด้วยความไม่มีลูกชาย มรรคาจึงเปรียบเสมือนลูกชายคนเดียวของคุณธม

ลูกชาย เป็นสิ่งเดียวที่คุณฉัตรฉวี ไม่สามารถให้คุณธม


พวกลูกๆ ของเรามากันหรือยัง คุณธมพยายามเบนหัวเรื่อง

ตาชิดกับแม่พลอยมาหาเมื่อตอนเที่ยง บอกว่าอาจจะมาช้าสักนิด เพราะตาชิดมีนัดกับลูกค้าต่างประเทศ

คุณฉัตรฉวีพูดถึงลูกเขยและลูกสาวด้วยความภูมิใจ

แล้วยายแพรล่ะ คุณธมถามต่อ

โทร.ทางไกลมาบอกแล้วว่าเครื่องจะลงห้าโมงเย็น ไม่ต้องให้ใครไปรับ จะนั่งแท็กซี่มาเอง ลูกสาวคนนี้เหมือนนก ที่บินไปมาจนเป็นเรื่องปกติ

เอาละ งั้นเดี๋ยวฉันจะไปอาบน้ำสักหน่อย แล้วจะแต่งตัวลงไปข้างล่าง คุณธมบอก

พอคุณธมหายเข้าไปในห้องน้ำ คุณฉัตรฉวีก็ให้ช่างแต่งหน้าเก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อย จนพอใจจึงเข้าไปแต่งตัวในหลืบ

หลืบบังตาสำหรับแต่งตัวของคุณฉัตรฉวีค่อนข้างกว้าง ไม้กั้นฉากสลักเสลาสวยงาม ผนังติดกระจกยาวจดพื้นทำให้มองเห็นได้ทั่วตัว

คุณฉัตรฉวีแต่งตัวเสร็จก็ยืนสำรวจตัวเองที่หน้ากระจก มองหาข้อบกพร่อง เงาสะท้อนเผยให้เห็นสตรีสูงวัยแต่งหน้าเนียนจัด รูปร่างท้วมเล็กน้อย ทั้งๆ พยายามควบคุมอาหารเต็มที่ ชุดที่ใส่เรียบแต่หรู ดูสง่า ทรงผมรับกับใบหน้าอย่างเหมาะเจาะ ผู้อื่นคงยากจะคาดเดาอายุจริงของหล่อนได้

ขณะที่หล่อนกำลังชื่นชมตัวเองอยู่นั้น ลมอันเย็นเยียบเหม็นคลุ้งก็เป่ารดซอกคอ ลามจนถึงใบหู รอบกายมีละอองหมอกเลือนๆ ปกคลุม และที่น่าขนลุกไปกว่านั้น คือเงาในกระจก

คุณฉัตรฉวีไม่ได้ยืนคนเดียวในหลืบอีกแล้ว กระจกสะท้อนให้เห็นเงาอีกใบหน้าหนึ่ง ที่โผล่ยื่นออกมา ระหว่างช่วงไหล่และซอกคอหล่อน

ใบหน้าสีคล้ำๆ ชาด้าน ไร้ความรู้สึก ริมฝีปากหนา จมูกบานพะเยิบ ดวงตาเหลือกโพลง เส้นผมหยิกแนบศีรษะ มันกำลังยิงฟันหรา และส่งเสียงแผ่วต่ำ...

เหอ...เหอ...เหอ...

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP