วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๔


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ร้านอาหารเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้านี้ ตกแต่งอย่างมีสไตล์ โต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะถูกแยกเป็นสัดส่วน มุมเฉพาะมีเพลงเบาๆ เปิดคลอสร้างบรรยากาศ

พี่มีเรื่องจะสารภาพ มรรคาเริ่มต้นพูดหลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย

คะ เด็กสาวเอียงคอถาม

คือ...พี่ลืมซื้อของขวัญให้คุณลุง

ปีกแก้วหัวเราะกิ๊ก แสร้งทำหน้าเคร่งเครียด

อย่างนี้ต้องทำโทษ

เอาสิ...ถึงขั้นประหารมั้ย เขาถาม สีหน้ารู้ทัน

อืม... ปีกแก้วทำท่าคิด ยังคิดไม่ออกค่ะ...เอางี้ก่อน ว่าแล้วก็ทำท่าเจ้าเล่ห์

ยังไงมื้อเย็นนี้ พี่มัคก็เลี้ยงอยู่แล้ว ไม่นับเป็นการปรับ เอาว่าเสร็จจากกินข้าว พี่มัคต้องเลี้ยงหนังแก้วรอบนึง...รอบค่ำก็ได้ จากนั้นค่อยคิดอีกทีนะคะ

พี่ไม่ได้เข้าโรงหนังตั้งหลายปีแล้ว เขาบ่นเบาๆ แต่ไม่ได้คัดค้าน

อีกอย่าง มะรืนนี้ก็จะถึงวันเกิดคุณลุงแล้ว แก้วว่าเราเดินหาซื้อของขวัญในห้างนี้ก็ได้เหมือนกัน

เอาสิ เขาตามใจ แต่โทร.ไปบอกป้าแล่มแกหน่อยก็ดี ว่าเราไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน

ค่ะ เด็กสาวรับคำ มรรคายื่นโทรศัพท์มือถือมาให้

คุณนายแฉล้มหรือค้า... หล่อนแกล้งลากเสียงยาว นี่แก้วพูดค่ะ จะโทร.มาบอกว่า ไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นนะคะ ทำไมหรือจ๊ะป้า...แหม...ก็แก้วมีสปอนเซอร์ใหญ่รับเลี้ยงข้าวนี่คะ หล่อด้วยนะป้า กระเป๋าหนักอีกต่างหากครบสูตรเลย...อะไรนะคะ อ๋อพี่มัคเหรอ...ไม่รู้สิ แต่ป้าไม่ต้องห่วงพี่เขาหรอก ธรรมดาก็มีเลขาคนสวยคอยดูแลอยู่แล้ว

ปีกแก้วพูดจาหยอกล้ออีกพักใหญ่ อาหารชุดแรกก็ถูกนำมาเสิร์ฟ หล่อนจึงวางหูโทรศัพท์

บรรยากาศอาหารมื้อเย็นค่อนข้างสดใส มีคำพูดหยอกล้อและเสียงหัวเราะ...แท้จริงมรรคาไม่ได้คิดว่าการลืมซื้อของขวัญจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เขาเป็นห่วงปีกแก้วเกี่ยวกับเรื่อง สมุนของจ้าว มากกว่า

ก่อนออกจากบ้านพันเกลียว เขาถามหล่อนเกี่ยวกับวิธีป้องกันวิญญาณร้าย แต่หญิงสาวกลับให้คำตอบที่ฟังแล้วไม่ชวนให้คลายใจได้เลย

ไม่มีวิญญาณดวงไหน จะทำอันตรายน้องคุณได้หรอก

เพราะเขายังไม่คลายใจ จึงพยายามอยู่ใกล้ชิดปีกแก้วให้มากที่สุด เขาเชื่อว่า อย่างน้อย ตัวเขาคงพอคุ้มครองหล่อนได้บ้าง

ไอ้นี่อร่อยน้า...พี่มัค กินเยอะๆ สิจะได้แข็งแรง เด็กสาวตักกับข้าวให้

แข็งแรงหรืออ้วนจนกลิ้งได้กันแน่ เขาเย้าพลางตักกับข้าวอีกชิ้นยื่นให้

ว้าย...อันนี้กินไม่ได้เจ้าค่ะ คอเลสเตอรอลสูงปรี๊ด ขืนกินได้อ้วนตาย

ไม่กินแล้วสั่งมาทำไม เขาแกล้งชักสีหน้า

ก็มันน่าอร่อยดีออก แก้วเลยสั่งเผื่อพี่มัคไง เด็กสาวตอบเสียงหวาน

มรรคาไม่คิดจะต่อปากต่อคำด้วย หลังอาหารต่างพากันเดินดูสินค้าหลากหลายภายในห้าง พูดคุยหารือเรื่องซื้อของขวัญบ้าง แต่คุยไปคุยมาปีกแก้วก็พาเฉไฉออกนอกเรื่อง จนชายหนุ่มต้องส่ายหัว สุดท้ายเด็กสาวกลับลากข้อมือเขาเข้าร้านกิ๊ฟช็อป

อะไร อย่าบอกพี่นะว่าจะซื้อของแบบนี้ให้คุณลุง เขามองของกระจุกกระจิกในร้านค้าด้วยสายตาระอาใจ

แหม...ก็ดูหลายๆ แบบไงคะ ถ้าไม่มีของให้คุณลุง แก้วเลือกให้ตัวเองก็ได้

ว่าแล้ว มรรคาบ่นพลางโยกหัวเด็กสาวเบาๆ

ระหว่างที่ปีกแก้วกำลังเลือกชมสินค้าตามประสาผู้หญิง มรรคาเลี่ยงมายืนหน้าร้าน นัยน์ตามองรอบๆ อย่างไม่ใส่ใจ ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดระยะ ร้านรวงตกแต่งสีสันน่าสนใจ...แล้วสายตาเขาก็ถูกดึงดูดไปยังกระจกใสหน้าร้านเสื้อผ้าฝั่งตรงข้าม

เงาในกระจกสะท้อนภาพรางๆ ร่างหนึ่ง...เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ผิวดำ ใบหน้าชาด้าน ผมหยิกขอดแนบศีรษะ ริมฝีปากเม้มสนิท นัยน์ตาเบิกโพลง จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย...ปิศาจหมอผี...สมุนเอกของจ้าว...

มรรคาสำรวมสติ จ้องตอบมันอย่างไม่เกรง ชั่วครู่ร่างนั้นค่อยๆ จางหายกลายเป็นกระจกใสดังเดิม

ชายหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วๆ มัน กำลังติดตามใคร...เขา...หรือว่า ปีกแก้ว...

 

๑๑

เสียงดนตรีจังหวะคุ้นๆ ดังใกล้ๆ หู มรรคาถอนสายตาจากกระจกใส พบปีกแก้วกำลังยื่นกล่องดนตรีขนาดเล็กมาทางเขา

“When I was just a little girl. I asked my mother ‘What will I be’ ”

เสียงใสๆ ร้องคลอจังหวะดนตรีแจ้วๆ

“Whatever will be will be” ชายหนุ่มบอกชื่อเพลง

ค่ะ เพลงโปรดของแก้วเลยนะคะ แม่ชอบร้องให้ฟัง ท้ายเสียงเบาลง มรรคาก้มดูหีบเพลงในมือเด็กสาว

หีบเพลงขนาดเล็ก ตัวหีบเป็นไม้ แต่บนฝาประดับแก้วคริสตัลรูปปลาคู่ติดปีกใสกระจ่างอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น

ชอบมั้ยจ๊ะ เขาถาม เด็กสาวยิ้มแป้น

ถามอย่างนี้ แสดงว่าจะซื้อให้ใช่มั้ยคะ

งั้นสิ เขาตอบง่ายๆ

มันแพงนะคะ ทั้งร้านมีอันเดียวด้วย เด็กสาวลองใจ

ไม่เป็นไรหรอก พี่ซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ล่วงหน้าเลย อีกไม่กี่อาทิตย์แล้วนี่ เลยวันเกิดคุณลุงไม่ถึงเดือน

ปีกแก้วหน้าม่อย

ว้า...งั้นพอถึงวันเกิดของแก้วจริงๆ พี่มัคก็ไม่ซื้อของขวัญอย่างอื่นให้แก้วแล้วสิคะ

งกจังแฮะ จะเอากี่ชิ้นล่ะเรา เขาถามอย่างเอ็นดู

เอาชิ้นนี้ก่อนดีกว่า ชิ้นอื่นค่อยว่าทีหลัง เดี๋ยวพี่มัคเห็นราคาแล้วจะเปลี่ยนใจ

เด็กสาวรีบจูงมือมรรคาไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ระหว่างที่รอทางร้านห่อของให้ ปีกแก้วกระซิบหยอกชายหนุ่ม

เสร็จแล้วอย่าลืมเหลือเงินไว้จ่ายค่าของขวัญคุณลุงนะคะ...แถมหนังอีกรอบด้วย

มรรคาเขกหัวหล่อนเบาๆ

เอ้าล้มทับพี่เข้า อยากรู้นักว่าถ้าไม่มีพี่แล้ว เราจะไปไถใคร... มรรคาไม่ทันสังเกตเห็นแววสะท้านใจในดวงตาของปีกแก้ว

หลังจากจ่ายเงิน ทั้งคู่ยังเดินไปอีกหลายร้าน จนถึงร้านขายเครื่องเซรามิคชั้นดี ปีกแก้วกรี๊ดกร๊าด เมื่อเห็นชุดเขามอขนาดเล็ก มีคนแก่ท่าทางใจดีนั่งตกปลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

รายการนี้ลงบัญชีมรรคาเช่นเคย


พันเกลียวสวมชุดขาวสะอาด นั่งขัดสมาธิ สันหลังตรง เทียนดวงเล็กจุดสว่างวับแวม รอบๆ ห้องพระตกอยู่ในเงามืด หญิงสาวจ้องเขม็งยังกึ่งกลางไส้เทียน กำหนดเปลวไฟสีน้ำเงินด้านในเป็นอารมณ์ ก่อนจะหลับตา

เปลวไฟในนิมิตกระจ่างชัด หล่อนภาวนาตามที่พ่อสอนให้ดังก้องในใจซ้ำๆ ซากๆ จนในที่สุดจิตค่อยสงบดิ่งลึก เปลวไฟที่มองเห็นถูกย่อให้เหลือแค่ปลายเข็ม คำภาวนาแผ่วจางลง

ชั่วขณะหนึ่งหญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองถูกดับประสาททั้งมวล ไม่ได้ยินเสียง ไม่มีความรู้สึก มีแต่จิตอันสงบลึกเป็นอารมณ์เดียว...เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจกำหนด ความสงบเริ่มคลายตัว ปรากฏแสงสว่างเรืองโรจน์ในนิมิต หญิงสาวตั้งสติ นึกอธิษฐานจิตทันที

หากลูกมีสัญญาใดในอดีต ขอให้ปรากฏภาพเหล่านั้นในนิมิตด้วยเถิด

แสงสว่างหรุบหรู่กะพริบพราย มองเห็นเพียงภาพรางๆ ไม่อาจแยกแยะ พันเกลียวพยายามสกัดกั้นความคิดต่างๆ ไม่ให้ไหลพรูเข้ามา กำหนดความสงบตรงหน้า แล้วปล่อยให้นิมิตดำเนินต่อไป


เกวียน...หญิงสาวเห็นเกวียนกำลังบรรทุกศพสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อนรางเลือน ไม่อาจเห็นกระจ่างชัดนัก

เกวียนจอดในที่คล้ายๆ ป่าช้า มีต้นไม้สูงหนาทึบ และต้นไม้ต้นหนึ่งยืนเด่นตระหง่านอยู่ไม่ห่างจากเกวียน คือต้นไทร มันเป็นไทรขนาดย่อม แต่ความที่บริเวณนั้นมีแต่ต้นไม้สูงละลิบ ต้นไทรที่เป็นพุ่มเล็กๆ ห้อยระย้อยจึงค่อนข้างสะดุดตากว่าต้นอื่น

ศพหญิงสาวถูกฝังลวกๆ ตรงบริเวณนั้นเอง...มีคำพูดจากันไม่กี่ประโยค

ไปดีเถอะนะอีนางเอ๊ย เอ็งมันไม่น่าอายุสั้นเลย

อีกไม่กี่วันเราก็จะถึงเมืองแล้ว เอ็งน่าจะอดทนอีกสักหน่อย

พ่อหาพระมาสวดให้เอ็งไม่ได้หรอกนะ เข้าใจพ่อด้วย ขอให้วิญญาณเอ็งไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ

พันเกลียวได้ยินกระทั่งสายลมวู้หวิว เสียดความรู้สึกของทุกคน จนหนาวยะเยือกเข้าไปในอก

แสงสว่างฉายโชนอีกครั้งก่อนจะริบหรี่และสาดกระจายแตะแต้มเต็มไปหมด มองคล้ายแสงดาวในเดือนมืด

พันเกลียวมองเห็นเงาดำๆ ของหญิงสาววูบไหวไปมาคล้ายคนหลงทาง หล่อนแทบเข้าใจความรู้สึกอันโดดเดี่ยว และว้าเหว่าของหญิงสาวคนนั้น ความรู้สึกซึ่งไม่อาจบรรยาย เมื่อพบว่าตนเองตกมายังที่ไม่คุ้นเคยไม่รู้จักเพียงลำพัง อีกทั้งไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อยู่มาตั้งแต่จำความได้

วิญญาณไร้ที่ไปกำลังแสวงหาทางดำเนิน แต่ทว่าหล่อนโชคร้ายที่ติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้

ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...ไอ้หมอ เอ็งพานางทาสคนใหม่มาแล้วรึ เสียงนี้พันเกลียวจำได้...มันคือ จ้าว

เงาดำๆ ของหญิงสาวถูกประกบด้วยเงาอันสูงใหญ่อีกร่างฉุดกระชากเข้ามา

นิมิตถูกตัดสลับสับสน จนพันเกลียวไม่สามารถแยกแยะ หญิงสาวพยายามกำหนดจิตให้อยู่ในความสงบแต่ก็โดนคลื่นอารมณ์ทยอยซัดไม่หยุดยั้ง...ทุกสิ่งเหลือแต่ความมืด ความกระจ่างซึมลึกเข้าไปในใจพันเกลียว

...หล่อนเคยเป็นวิญญาณเร่ร่อน วนเวียนแสวงหาที่เกิด โชคร้ายที่โดนฝังใกล้กับเขตอำนาจของจ้าว หล่อนถึงโดนปิศาจหมอผีเข้าควบคุม

ความสงบถอนตัวออกมา เหลือเพียงอารมณ์ปกติ หญิงสาวลืมตาขึ้นพบกับความมืด เทียนไขละลายจนดับหมด หล่อนขยับขาจากท่านั่งสมาธิ เวลาเป็นเท่าใดหล่อนไม่รู้...แต่สิ่งที่หล่อนต้องการทราบ กำลังเผยตัวทีละน้อย...


มรรคาปิดหนังสือ เขายังตีบตันเช่นเดิม ประวัติของหลวงปู่ใหญ่เล่มนี้ เขาอ่านนับสิบเที่ยวได้ แต่ไม่พบความกระจ่างใดๆ ขึ้นมา เขาไม่รู้ว่ากุญแจไขอดีตอยู่ที่ใด

ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดตัวอย่างเมื่อยล้า เดินออกไปริมระเบียง มองฟ้าสีหมึก ปล่อยใจให้อยู่ในห้วงภวังค์

เขานึกถึงหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนไว้ผมสั้น ท่าทางซื่อบริสุทธิ์ มีดวงตาเศร้าสร้อย และดวงตาคู่นี้ทำให้เขานึกอยากตั้งคำถามกับหล่อน

กะพ้อ ฉันติดค้างอะไรเธอหรือเปล่า

มรรคาเอนหลังพิงเสา กอดอกและหลับตาลง หวังให้อดีตย้อนทวนกลับมาอีกครั้ง เรื่องระหว่างเขากับกะพ้อมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นหรือไม่ และโยงใยมาถึงจ้าวได้อย่างไร

ลมเย็นๆ พัดผ่านแขน คล้ายมีมืออันนุ่มนวลมาแตะ ชายหนุ่มลืมตามองไปรอบตัว...ไม่มีใคร

เขากลับเข้าห้องอีกครั้ง หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้อง...จุดหมายอยู่ที่ใด มีแต่เขาที่รู้


อีกแล้ว...ปีกแก้วนึกในใจ...มันอยู่ใกล้ๆ หล่อนอีกแล้ว

เด็กสาวกำลังทบทวนตำราเตรียมสอบ แต่เหมือนมีใครมาจ้องมองอยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ก้ำกึ่งระหว่างหวาดกลัวกับระอาใจ หล่อนรู้สึกเช่นนี้หลายครั้ง ตั้งแต่เจอตัวมันจังๆ

ปีกแก้ววางตำรา หันไปมองด้านหลัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีอะไร สุดท้ายต้องถอนใจ เงยหน้าขึ้นเบื้องบน...

คุณอาคะ เสียงเรียกติดจะเหนื่อยหน่าย

หนูจะทำยังไงดี รำคาญไอ้ผีบ้านี่จะแย่อยู่แล้ว ความกลัวแต่แรกแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญใจ

มันจะเอายังไงกับหนูกันแน่

รำคาญมากก็ไล่มันไปเสียสิ จู่ๆ คำตอบแว่วมากลางใจ

ปีกแก้วยิ้มเต็มที่ ดีใจเหมือนได้พบของสูญหายกลับคืน

คุณอา!”

เอ้า เรียกซะดังเชียว แก้วหูจะแตกแล้ว

ปีกแก้วกำลังจะบรรยายความคิดถึงที่ขาดการติดต่อกันเสียนาน แต่แล้วกลับนึกถึงปัญหาเฉพาะหน้าได้

เดี๋ยว ตะกี้คุณอาบอกให้หนูไล่มันไปได้ใช่มั้ยคะ

งั้นสิ เสียงตอบเหมือนไม่ใส่ใจ

อ้าว แล้วไหงตอนแรกคุณอายอมให้พวกมันเข้าบ้านล่ะคะ

ก็ตอนนั้นมันมี หน้าที่ ต้องทำ แต่ตอนนี้ มันทำเกินหน้าที่แรกมากเกินไปแล้ว จะให้อยู่ทำไม

ปีกแก้วหัวเราะคิก หนูจะทำยังไงดีล่ะคะ

ใครอนุญาตให้พวกมันเข้ามากันล่ะ เมื่ออนุญาตได้ ก็สั่งห้ามได้

ต้องขออนุญาตพี่มัคอีกเหรอ ปีกแก้วเสียงอ่อย

มรรคาเป็นคนออกปากอนุญาตพวกมันหรือไง

งั้นหนูก็ไล่ได้สิคะ

ได้ แต่จำกัดเขตเฉพาะในบ้านนี้เท่านั้นนะ เพราะถือว่าเป็นบ้านเรา จะอนุญาต หรือห้ามเข้า ยังไงก็ได้ แต่ถ้าเป็นข้างนอก ไม่เกี่ยว พวกมันเป็นอิสระ

ก็ยังดีว้า เด็กสาวคิดอย่างปลงตก

เสียงหัวเราะผะแผ่ว กังวานใสในใจ

ปีกแก้วรูดม่านพร้อมกับเลื่อนบานหน้าต่างออก เตรียมตัวจะรวบรวมสมาธิ แต่พลัน ลมชืดๆ พัดผ่านวูบ กลิ่นเหม็นติดจมูก หล่อนขนลุกซู่ ตัวชาเห่อ

เด็กสาวเกร็งมือจับขอบหน้าต่างแน่น นัยน์ตาแข็งค้างขณะเบิกมองสนามเบื้องล่าง...ท่ามกลางแสงไฟมัวซัวหล่อนเห็นอสุรกายมากมาย แออัดเบียดเสียดกันจนเต็มสนาม

วี้ด วี้ด ครืด ครืด... เสียงร่ำร้องเซ็งแซ่ กลบเต็มสองหู ด้วยสัมผัสแปลกๆ ปีกแก้วหันไปมองผนังนอกบ้าน คราวนี้ร่างหล่อนเย็นวาบเหมือนตกหล่มน้ำแข็ง

ตัวอะไรบางอย่างกำลังคลานสี่ตีน เนิบช้าบนผนัง ลำตัวมันฟอนเฟะด้วยน้ำเหลือง ส่วนที่เป็นเนื้อหนังแห้งกรัง คล้ายใบไม้กรอบๆ แช่น้ำหนอง ใบหน้ามันเหมือนรวมความน่าสะพรึงกลัวทั้งมวลเข้าไว้ โครงหน้าบิดเบี้ยวไม่ได้รูป นัยน์ตามีข้างเดียว ห้อยย้อยอยู่มุมล่างของใบหน้า ปากมีสามแห่ง คือกลางกะโหลกและสองข้างแก้ม ลิ้นที่โผล่จากปากทั้งสามแบ่งเป็นห้าแฉก สีแดงสดราวกับเลือด ส่วนที่เหลือบนใบหน้าดารดาษด้วยไส้เดือนกำลังดิ้นยุ่บยั่บ

ปีกแก้วหันไปทางผนังอีกด้าน ก็พบกับไอ้ตัวน่าขยะแขยงเช่นนี้อีกสี่ห้าตัวกำลังคลานเข้ามาอย่างคุกคาม เสียงร้องวี้ดหวิวชวนสยองขวัญยิ่งกว่าเสียงทั้งมวลที่หล่อนเคยได้ยินมา

เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก สมองแทบหยุดสั่งงาน จนความกลัวพุ่งสู่ขีดสุดกลับกลายเป็นความกล้า...หล่อนจึงนึกได้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไร

ไป ปีกแก้วชี้นิ้วไปนอกกำแพงบ้าน หล่อนคิดว่าได้ตวาดไปสุดเสียง หากความจริง คำพูดพ้นริมฝีปากเพียงแผ่วเบา แต่ทว่าชัดเจน เฉียบขาด

ปิศาจทุกตัวชะงักงัน

ในเมื่อคิดจะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่ละก็...ออกไป ฉันไม่อนุญาตให้พวกแก โผล่เข้ามาในนี้แม้แต่ตัวเดียว

จบคำพูด ฝูงอสุรกายส่งเสียงร้องกรี๊ด ไม่ต่างกับโดนลากไปประหาร ลมหมุนพัดติ้วๆ ม้วนร่างอันน่าสยดสยองออกไปจนหมดสิ้น

ปีกแก้วถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่วายค้อนขวับยังเบื้องบน

คุณอานะคุณอา ทำไมไม่เตือนกันก่อนล่ะว่า พวกมันไม่ยอมไปแต่โดยดี

ก็พวกมันไปแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก เสียงย้อนอย่างขันๆ

แหม หนูจะได้เตรียมตัวก่อน ไม่ก็นั่งไล่มันในห้องก็ได้ ไม่ต้องโผล่ไปที่สนาม

หึ...หึ...ในน้ำเสียงคล้ายอยากบอกบางสิ่ง

ถ้ารู้ว่าไล่พวกมันง่ายอย่างนี้ หนูไม่ต้องให้เขาเชิญคุณพันเกลียวมาหรอก เด็กสาวไม่ทันเฉลียวใจ

ถ้าเป็นคนอื่น คงไม่ง่ายอย่างนี้หรอก อีกอย่างพวกมันได้ทำหน้าที่ที่ควรทำแล้ว ตอนนี้มันกำลังทำหน้าที่ที่ไม่ควรทำ ก็สมควรถูกไล่

คุณอาจะบอกอะไรหนูคะ จะอย่างไรก็คุ้นเคยกันมานาน พอจะจับความพิกลในเนื้อคำพูดได้

บอกไปก็เท่านั้น ให้ทุกอย่างดำเนินด้วยตัวมันเองเถอะ

อีกแล้ว เสียงปีกแก้วโต้ตอบอย่างระอาใจ

แล้วคุณอาก็เงียบไป...เช่นทุกครั้ง

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP