ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เหตุใดจึงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อไปร่วมทำบุญกับบุคคลบางกลุ่ม



ถาม – ดิฉันเคยไปทำบุญกับคนที่ดูธรรมะธรรมโม ชอบสร้างบุญสร้างกุศล
แต่ดิฉันกลับรู้สึกว่าไปแล้วไม่ค่อยสบายใจและไม่รู้สึกถึงกระแสเมตตาเลย
เคยทดลองมาหลายครั้งแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม
แตกต่างกับตอนที่ไปกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ก็ชอบทำบุญเหมือนกัน
ซึ่งดิฉันร่วมบุญด้วยแล้วสบายใจมากๆ รับรู้ได้ถึงกระแสเมตตา
เหตุใดที่ทำให้รู้สึกไม่เหมือนกันคะ


ตอนที่ไปทำบุญนี่นะ จิตที่คิดเป็นกุศล จิตที่ตั้งใจดี จิตที่ตั้งใจจะไปให้ทานนะครับ
ให้ทานกับผู้มีฐานะสูงกว่าเรา เหนือกว่าเรา คือพระสงฆ์องค์เจ้า
หรือไม่ก็ไปทำบุญประเภทสงเคราะห์กับคนชราหรือว่าเด็กอนาถา
หรือว่าไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลา
อะไรก็แล้วแต่ที่ออกจากบ้านไปตั้งใจว่าจะไปทำดี จะไปทำกุศล
จะไปทำเรื่องของการเกื้อกูลกันกับสัตว์โลกนะครับ
ตัวเจตนาตัวความเป็นจิตที่มีความสว่างนั้น ก็จะเผยตัวตนที่มีภาคสว่าง
แต่ละคนมีภาคมืด ภาคสว่างนะ
ตั้งใจทำชั่วก็จะดึงเอาภาคชั่วออกมา
ตั้งใจไปทำดี ตั้งใจไปในสถานที่ที่เป็นกุศลนะ ก็จะดึงเอาตัวตนภาคสว่างออกมา



ทีนี้ถ้าหากว่าเราเกิดมีความสามารถมากพอที่จะแยกแยะ
ว่าไปกับกลุ่มหนึ่งรู้สึกอย่างหนึ่ง ไปกับอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็สะท้อนถึงตัวตนของเราด้วย ไม่ใช่ตัวเขาอย่างเดียวนะครับ
คือความเป็นคนดีมีหลายแบบ
แล้วก็พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสไว้นะ คนเราเข้ากันได้โดยธาตุนิสัย
ถ้าหากว่ามีคลื่นกรรม คลื่นของเจตนา คลื่นของการกระทำ
คลื่นของวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำ ที่สอดคล้องกัน กลมกลืนกัน
จะมีความรู้สึกว่าไปกันได้ เข้ากันได้
บางคนเจอหน้ากันไม่ต้องจูนชีวิต ไม่ต้องจูนความรู้สึกนึกคิด
ไม่ต้องปรับตัวเข้าหากันเลย มีความรู้สึกเข้ากันได้ทันที
บางทีไม่ใช่เป็นเรื่องของเคยว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีตชาติอะไร
แต่เป็นเรื่องการเข้ากันได้โดยธาตุ



พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้นะ สัตว์โลกคบกันโดยธาตุนิสัย
ถ้าหากว่ามีนิสัยใกล้เคียงกันนะ ไปทางมืดเหมือนๆ กัน
ก็จะรู้สึกว่าเข้ากันได้ ไม่ต้องมาปรับความเข้าใจ หรือว่าพูดทำความรู้จักกันมากนะ
ก็รู้สึกว่ามันเข้ากันได้เองอยู่แล้ว
ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่าใฝ่บุญด้วยกัน รักษาศีลด้วยกัน
แล้วก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ เป็นไปเพื่อที่จะเกื้อกูล ไม่ใช่เป็นไปเพื่อที่จะเบียดเบียน
คลื่นความรู้สึกเกื้อกูล มันก็จะทำให้เกิดความสุข
ต่างฝ่ายต่างมีความสุขนะที่ได้อยู่ใกล้กัน คุยกันปุ๊บรู้สึกว่าถูกคอถูกอัธยาศัยโดยทันที



แต่ในความเป็นจริง มันแบ่งแยกได้ยิบย่อยกว่านั้นเยอะ
อย่างเรื่องชอบดนตรีด้วยกัน ดนตรีประเภทไหน ก็ต้องแบ่งออกไปอีก
อย่างดนตรีร็อกกับดนตรีคลาสสิก บางทีคุยกันไม่รู้เรื่อง นั่งด้วยกันไม่ได้
หรือแม้กระทั่งไปทำบุญด้วยกันอย่างนี้ ก็ทำบุญด้วยเจตนาแบบไหน
ทำบุญอยากจะเอาหรือว่าทำบุญเพราะอยากจะมีจิตใจสว่างเดี๋ยวนี้นะ
ถ้าหากว่าทำบุญแบบอยากจะเอา จะเอาโลกหน้า
จะเอาผลกำไรที่ได้ภายในเดือนสองเดือน หรือว่าจะเอาหน้าเอาตาอะไรก็แล้วแต่นะ
พูดง่ายๆ ว่าคิดจะเอา ไม่ใช่คิดจะให้ ไปนี่เพื่อไปลงทุน ไม่ใช่ไปเพื่อที่จะเสียสละ
อย่างนี้นี่นะ คนที่เข้ากันได้ก็จะจับกลุ่มกัน แล้วรู้สึกว่าไปด้วยกันแล้วมีความสุข
บางทีไม่ใช่ความสุขนะ แต่มันเป็นความรู้สึกกลมกลืน



ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไปนี่คิดให้จริงๆ
แล้วก็รู้สึกสบายใจที่จะให้ ไม่ได้หวังจะเอาอะไรทั้งสิ้น
แล้วโดยนิสัยส่วนตัวก็เป็นเหมือนกับคนที่ไม่มีอาการปากว่าตาขยิบ
ไม่มีอาการที่ว่าซ่อนมีดไว้ข้างหลัง
จะมีความตรงไปตรงมา ซื่อๆ เหมือนๆ กัน ก็จะรู้สึกถึงความเมตตา
ลักษณะของความเมตตา
มันไม่ใช่ว่าฉันอยากให้เธอมีความสุขเหลือเกิน อะไรแบบนั้น ไม่ใช่นะ
คือง่ายๆ เลย ไม่คิดเบียดเบียนกัน ไม่มีซ่อนมีดอยู่ข้างหลัง
ปากว่าอย่างไร ตาว่าอย่างนั้น
ไม่ใช่ปากว่าอย่าง ตาขยิบไปอีกทางหนึ่งอะไรแบบนั้น



เอาง่ายๆ ก็แล้วกันนะ ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าสบายใจ
แล้วก็รู้สึกถึงกระแสเมตตากับคนกลุ่มไหน
ก็ให้รวมกับกลุ่มนั้นแหละ รวมกันกับกลุ่มนั้น

ไม่ต้องไปแสวงหา คือไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนได้หลายกลุ่ม
บอกว่าฉันใจกว้าง คบคนได้มากอะไรแบบนั้น
เพราะว่าในทางบุญในทางกุศลแล้วนี่นะ
มันไม่มีหรอกที่ว่าจะไปคบกับพระได้ แล้วก็คบกับโจรก็ไม่ขัดเขินอะไรแบบนั้น



ในทางบุญทางกุศลนะ คบคนเช่นไร
ถ้าหากว่ามีความสว่างอย่างเรา ถ้าหากว่ามีความสว่างเหนือกว่าเรา
อย่างนี้จะทำให้จิตของเรานี่นับวันมีความสว่างตาม
นับวันมีความสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป

แต่ว่าหากว่าจะเอาแบบที่สว่างครึ่งหนึ่ง
แล้วก็เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งนี่แบ่งความมืดมาให้อีกครึ่งหนึ่ง
ในที่สุดตัวเราจะกลายเป็นสีเทา แล้วตัวเราจะสับสนว่าอันไหนถูกอันไหนผิดกันแน่



อย่างเช่นที่บางคนนะ บางกลุ่มนี่คือไปทำบุญด้วยกัน
แล้วก็เหมือนเท่าที่ได้ยินมานะ ก็จะออกแนวไปโจมตีคนที่ไม่ใช่พวกของตัว
พูดง่ายๆ ว่าทั้งทริป ทั้งการเดินทางนี่มีแต่การว่ากันสาดเสียเทเสีย
แอบเอาคนโน้นคนนี้มานินทา เผลอไม่ได้ ต่อให้เคยคุยกันดีๆ
เดี๋ยวพอลับหลังหน่อยเดียวเอามาขุดคุ้ย หาเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกัน
แบบนั้นถ้าสมมติว่าเรายังไม่เคยที่จะเป็นคนแบบนั้นมาก่อน
ในที่สุดจะต้องเคยจนได้ แล้วก็เป็นคนแบบนั้นไปจนได้



ถ้าพิจารณาอย่างนี้นะครับ เราก็เลือกเอาก็แล้วกัน
เอาแบบที่เห็นๆ ว่าไปด้วยกันแล้วมีจิตใจที่มีความเกื้อกูล
ไม่คิดเบียดเบียนกัน ด้วยกาย วาจา ใจ จริงๆ
ไม่มีการปากว่าตาขยิบจริงๆ นะ เอาแบบนั้นก็แล้วกัน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP