สารส่องใจ Enlightenment

ธรรมแท้



วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร




ปุจฉา - ลูกและเพื่อนๆ ลูกทุกคนเข้าใจธรรมะหลวงปู่
และบูชาธรรมเบื้องสูงของหลวงปู่ยิ่งนัก
ธรรมะเบื้องสูงนั้นจะหาอ่านหรือฟังได้น้อยมาก
ครูบาอาจารย์โดยส่วนใหญ่
จะสอนไปในเรื่องการพิจารณาอสุภะกรรมฐานเพื่อถอดถอนกามราคะ
หรือการเจริญเมตตาและการพิจารณามรณานุสติเพื่อแก้โทสะ
แต่ธรรมะของหลวงปู่จะมุ่งเน้นในเรื่องให้รู้เท่าความเป็นจริงของสังขารและขันธ์ ๕
โดยเฉพาะในเรื่องนามสังขาร เห็นความเกิดดับ ความไม่เที่ยง
มิใช่เรา มิใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขาเลย เพียงแต่มีกิเลสพาเราเข้าไปยึดครองเท่านั้น
นอกจากหลวงปู่แล้ว ลูกและเพื่อนๆ ลูกก็มีหลวงพ่อ...ที่เมืองกาญจนบุรีอีกองค์
ที่ลูกไปเสมอแทบทุกอาทิตย์ ได้ฟังธรรมท่านก็เบิกบาน
เช่นเดียวกับได้อ่านธรรมหลวงปู่ค่ะ



วิสัชนา - อนึ่งผู้ใคร่ครวญธรรมเป็นผู้เจริญ ผู้ไม่ใคร่ครวญธรรมก็ตรงกันข้าม
คำว่าธรรมหมายโดยย่อก็มี ๒ อย่าง
โลกุตรธรรมเป็นหัวจักรของธรรมทั้งหลายย่อมดึงดูดไปสู่พระนิพพาน
ธรรมแท้ไม่มีมาก ธรรมฝ่ายเกิดฝ่ายดับคือฝ่ายสังขารและกองทุกข์
ซึ่งมีกิเลสผู้หลงเข้าไปยึดถืออีกด้วย
ถ้าไม่มีกิเลสเข้าไปยึดถือสิ่งเหล่านั้นก็เกิดดับอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีพิษสงอันใดเลย
ส่วนธรรมฝ่ายไม่เกิดไม่ดับคือพระนิพพานก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้น หาได้มีเรื่องอันใดไม่



ขอให้เข้าใจว่าคำว่าธรรมเป็นของว่างก็ว่างอยู่ มี ๒ ประเด็น คือ
- ประเด็นฝ่ายเกิดดับ คือว่างอยู่แบบหยาบๆ

- ประเด็นที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็ว่างอยู่อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก จะไปตีเสมอกันไม่ได้
แม้ถึงจะเป็นอนัตตาอันเป็นฝ่ายคำภาษาบาลีก็ตาม
ก็มีความหมายอันเดียวกัน ลึกซึ้งหนึ่ง ไม่ลึกซึ้งหนึ่ง
ธรรม ๒ ประเภทนี้ไม่มีท่านผู้ใดไปจองไว้เป็นเจ้าของเลยก็หมดปัญหาที่จะมีกิริยาใดๆ
จะสำคัญตัวว่าได้หรือปล่อย ถ้าสำคัญตัวว่าได้หรือปล่อย
ก็คล้ายๆ กับว่ามีตนมีตัว มีเรามีเขา มีสัตว์มีบุคคล


ขอให้เข้าใจว่าธรรมทั้งปวงถ้าสำคัญตัวว่าเสวยก็เป็นอันผิดทั้งนั้น
ที่ท่านบัญญัติว่าพระบรมศาสดาเสวยวิมุติสุขในคราวที่ตรัสรู้ใหม่ๆ
๗ แห่งๆ ละ ๗ วัน เป็น ๔๙ วันนั้น
บัญญัติพระบรมศาสดาเสวยวิมุติสุข แต่ก็จริงตามสมมติ
ถ้าว่าตามปรมัตถ์แล้ว พระบรมศาสดาทรงพระสยัมภู
องค์ท่านสำคัญตัวว่าเสวยหรือไม่เสวย ก็ไม่มีท่านผู้ใดจะไปยืนยันได้เพราะเป็นพุทธวิสัย



และมีสิ่งที่น่าพิจารณาอยู่ว่า “มีพระอรหันต์เท่านั้นเท่านี้องค์อยู่ในโลก”
ถ้าจะพูดในธรรมะชั้นสูงแล้ว “พระอรหันต์อะไรจะมาอยู่ในโลก”
เพราะคำว่าโลกก็คือกองนามรูปและกิเลสเราดีๆ นี่เอง
เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและดับไปหาระหว่างมิได้เท่านั้น
แต่ให้เข้าใจว่าสมมติก็จริงตามสมมติ จะเอาไปคัดค้านกับวิมุติไม่ได้
เป็นสมมติสัจจะจริงตามสมมติ ปรมัตถ์เล่าก็เป็นปรมัตถสัจจะ
ลึกซึ้งกว่ากันจนมองไม่เห็นและก็ไม่มีที่หมายด้วย


เอ้า!..ธรรม ๒ ประเภท ท่านผู้ใดเป็นเจ้าของเล่า? และก็ว่างอยู่ตามธรรมชาติใช่หรือไม่?
เหตุนั้นพระบรมศาสดาจึงยืนยันว่า
“เรารู้พระนิพพานตามเป็นจริงของพระนิพพาน แต่เราไม่ติดอยู่ในพระนิพพาน
ถ้าเราติดอยู่ในพระนิพพานก็เรียกว่าเราไม่รู้พระนิพพาน
ถ้าเราติดอยู่ในสังขาร ก็เรียกว่าเราไม่รู้สังขาร
เหตุนั้นวิญญาณปฏิสนธิของเราจึงไม่มี
เมื่อวิญญาณปฏิสนธิของเราไม่มีแล้วนามรูปก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
ไม่ต้องเรียงปฏิจจสมุปบาทก็ได้ เพราะอวิชชาความโง่ๆ ดับไปแล้ว
เพราะเหตุว่าพระสติพระปัญญากลมกลืนกันทันเวลาแข็งแกร่งเหนือไปแล้ว
ตรงกับคำว่า นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
ปญฺญา ย ปริสุชฺฌติ บุคคลจะบริสุทธิ์จะโดยเอกเทศหรือโดยสิ้นเชิง
ก็เพราะพระสติพระปัญญากลมกลืนเหนือความหลงไปแล้ว
เอส วนฺโต ทุกฺขสฺส
เป็นที่สุดแห่งกองทุกข์โดยไม่เหลือ”


มีคำย้ำเข้าไปอีกว่า ถ้าเราไม่มี ของเราไม่มี ขาดตัวแล้ว
จะไปทำกิริยาปล่อยหรือวางก็ไม่ถูกทั้งนั้น เราไม่มีกิริยากำ จะไปสำคัญตัวว่าวางทำไม



สิ่งเหล่านี้แหละขอให้ชาวพุทธขบให้แตก
จึงจะเหนือเหตุเหนือกรรมเหนือวิบาก จึงจะไม่วนเวียน
จึงขอจบย่อเพียงนี้.



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP