วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๗



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            พระเผด็จ กับพระคงคาผ่านชีวิตนักเลงมาก่อน นิยมเรื่องวิชาเร้นลับ ไสยศาสตร์ไม่น้อย เคยไปกราบขอเรียนกับครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้วิชามาอย่างผิวเผิน พอรู้ว่าหลวงตาชราเคยเป็นนักเลงดังในตำนาน ที่ตนเคยได้ยินชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็ก จึงดีใจ พากันเข้าไปกราบขอเป็นลูกศิษย์ เพื่อเรียนไสยเวทเหล่านั้น

            “ท่านเป็นพระ ต้องกราบตัวเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เรียนธรรมะให้แจ้งสิ” หลวงตาชราตอบมาเช่นนั้น

            คำปฏิเสธไม่ได้ทำให้ภิกษุใหม่ทั้งสองย่อท้อ ยอมแพ้...

            สิ่งที่พระหนุ่มทั้งสองมีเหมือนกันคือความมุ่งมั่น เอาจริง อดทนไม่ท้อถอย พอได้ยินคำปฏิเสธอย่างนั้น ก็ไม่ยอมถอย เข้ามาวนเวียน เพียรอ้อนวอนขอร้อง รวมถึงมาช่วยดูแลอุปัฏฐาก กระทำตัวเป็นเสมือนลูกศิษย์ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์จริงอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

            ผ่านไปหนึ่งเดือน หลวงตาชราเห็นความมุ่งมั่น เอาจริงเสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ ท่านจึงออกอุบายหาวิธีสั่งสอนพระหนุ่มทั้งสอง

            “ผมสอนพวกท่านก็ได้...มีเงื่อนไขข้อเดียวคือ ห้ามสงสัย ห้ามถามในสิ่งที่ผมสอน...บอกให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น...ถ้าไม่พอใจพวกท่านจะเลิกเรียนเมื่อไหร่ก็ได้”

            สองพระหนุ่มยินดี รับปาก พร้อมฝากตัวเป็นศิษย์ ร่ำเรียน ปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนโดยไม่เกี่ยงงอน

            สิ่งที่หลวงตาชราสอนคือ สมถกรรมฐาน ในสายพุทธ สอนให้เดินจงกรม นั่งสมาธิโดยมีสติ สัมปชัญญะตลอดสาย เพื่อให้จิตตั้งมั่น มีกำลัง โดยไม่สอนคาถา อาคม ไสยเวทแม้แต่บทเดียว

            เมื่อรับปากเงื่อนไขห้ามถาม ห้ามสงสัย พระหนุ่มทั้งสองจึงตั้งใจปฏิบัติตามโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่คัดค้าน ไม่ลังเลสงสัย ผลที่ได้รับจึงเกิดเป็นสมาธิ ความตั้งมั่นตามลำดับอย่างรวดเร็ว

            ด้วยความที่ทั้งคู่มีนิสัย พื้นใจโลดโผน ชอบออกรู้ออกเห็นอยู่เป็นทุนเดิม พอจิตเป็นสมาธิ มีกำลังก็มักแวบไปออกรู้ ออกเห็นเรื่องนอกตัวประเภทนรก สวรรค์ ภูตผี ปิศาจอยู่เนือง ๆ

            หลวงตาชราผู้เป็นอาจารย์ต้องคอยขนาบ แนะนำสั่งสอนให้ทั้งสองกลับมาสู่เส้นทางถูกตรงเสมอ จนถึงวาระที่พระเผด็จ พระคงคาต้องลาสึก กลับไปสู่เพศฆราวาส

            ก่อนวันสึก พระทั้งสองเข้าไปกราบลาพระอาจารย์ รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนฝึกฝน ร่ำเรียนมาตลอดพรรษา ไม่ใช่ไสยเวท อาคมอย่างตั้งใจแต่แรก...

            “เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ต้องเรียนวิชาของพระพุทธเจ้า” ผู้เป็นอาจารย์บอกจุดประสงค์ เป้าหมายของพระแก่ศิษย์ทั้งสอง

            “วิชาที่นอกเหนือจากมหาสติปัฏฐาน การเรียนรู้กาย-ใจ ไม่อาจทำให้พ้นทุกข์ได้เลย”

            “ไสยเวท อาคม ของขลังที่ไหนมันก็สู้ใจที่ขลัง ใจที่มีวิชชา เอาชนะกิเลสอาสวะไม่ได้หรอก”

            “เมื่อไหร่ที่สามารถชนะกิเลสในใจตนจนดับสนิทราบคาบแล้ว...ชีวิตที่เหลือ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเอาชนะใครอีกแล้ว”

            พระทั้งสองก้มกราบครูบาอาจารย์ ต่อให้ยังไม่เข้าใจปัจฉิมโอวาท ต่อให้ยังไม่ได้ร่ำเรียนไสยเวท อาคมตามต้องการ แต่ใจก็รับรู้ว่าตนได้รับสิ่งมีค่า ไม่เสียเวลาเปล่าในการบวชเรียนครั้งนี้แล้ว



            สึกออกไปไม่นาน สองหนุ่มก็ได้รับข่าวว่าหลวงตาชรามรณภาพ ทั้งคู่จึงรีบไปงานประชุมเพลิง ทันได้กราบสรีระสังขารก่อนขึ้นเมรุเผา

            ในงานนี้ สองหนุ่มได้พบบุคคลสำคัญในชีวิต...

            ...ครูแกลง...

            ครูแกลงเป็นลูกศิษย์หลวงตาชราสมัยท่านเป็นฆราวาส ร่ำเรียนไสยเวท อาคมจนจบครบถ้วน นับเป็นจอมขมังเวทผู้หนึ่ง สมัยหนุ่มได้ใช้วิชาที่มีตระเวนช่วยเหลือผู้คนไปทั่วจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ

            พอได้มาพบครูบาอาจารย์อีกครั้ง ตอนท่านครองผ้าเหลือง ก็ได้รับคำสั่งสอน ชี้นำแนวทางสว่างจนเกิดสติ วางมือจากการเป็นจอมขมังเวท ใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบสุขในวัยกลางคน

            ถึงครูแกลงจะวางมือจากการเป็นจอมขมังเวท ส่วนลึกในใจก็ไม่อยากให้สรรพวิชาที่ร่ำเรียนมาต้องสาบสูญ ขาดหายในรุ่นของตน หากมีโอกาสก็จะมองหาลูกศิษย์ที่เหมาะสม เพื่อรับถ่ายทอดวิชาเหล่านั้นออกไป

            คาดไม่ถึงครูแกลงจะพบลูกศิษย์ที่เหมาะสม ในงานประชุมเพลิงอาจารย์ตน

            เวลาหนึ่งพรรษาที่ได้ร่ำเรียนสมถกรรมฐานจากหลวงตาชรา ทำให้สองหนุ่มมีพื้นฐานสมาธิมั่นคง แยกแยะออกว่าสิ่งใดคือสัมมาสมาธิ สิ่งใดคือมิจฉาสมาธิ เหมาะที่จะเรียนไสยเวท อาคมอันเป็นวิชาเฉพาะตัว ไม่เหมือนใครซึ่งครูแกลงร่ำเรียนโดยตรงมาจากหลวงตาชราสมัยเป็นฆราวาส

            ศิษย์พื้นฐานดี มีนิสัยโลดโผน รักชอบในไสยเวท คาถาอาคม ได้มาพบอาจารย์ดีที่กำลังมองหาผู้รับช่วงวิชาพอดี มันจึงเป็นความเหมาะสม ลงตัวอย่างคาดไม่ถึง

            ก่อนกราบตัวเป็นศิษย์ ทั้งสองได้ให้สัจจะกับผู้เป็นอาจารย์ ต่อหน้ากองเถ้าถ่านที่หลงเหลือจากการประชุมเพลิง เผาสังขารหลวงตาชรา

            “ข้าพเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ไม่ใช้วิชาที่เรียนไปในทางที่ผิดเด็ดขาด”

            “ข้าพเจ้าจะใช้วิชาที่ร่ำเรียนเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล ปัดเป่าทุกข์ภัยแก่ผู้ลำบาก โดยไม่หวังลาภสักการะใด ๆ ทั้งสิ้น”

            “วิชาที่เรียนนี้เพื่อใช้กำราบคนชั่ว วิญญาณร้าย จะไม่ใช้ทำร้ายคนดีแม้สักคนเดียว”

            สองนักเลงคนละบ้าน มาเป็นพระร่วมวัดกัน สุดท้ายกลายเป็นคู่หู สหายร่วมสำนักเดียวกัน ร่ำเรียนไสยเวท วิชาอาคมจนเจนจบ แกร่งกล้า ร่วมมือใช้วิชาที่เรียนช่วยเหลือผู้คนหลายรูปแบบ ร่วมเป็นร่วมตาย ฝ่าอันตรายด้วยกันหลายครั้ง ก่อวีรกรรมดีงามโดยไม่มีใครรู้เห็นเป็นจำนวนมาก

            การช่วยปิดผนึก กำราบวิญญาณร้ายที่เรือนพระยาคงเวท เป็นแค่หนึ่งในหลายเรื่องราวของสหายอาคมทั้งสอง

            ชีวิตวัยหนุ่มของเผด็จกับคงคาโลดแล่นอย่างมีสีสันชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งสองหนุ่มได้พบรัก มีคู่ครองเป็นตัวเป็นตน จัดงานวิวาห์ไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังพร้อมใจมาปลูกเรือนหลังใหญ่ติดกัน กลายเป็นเพื่อนรัก เพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าญาติพี่น้องคนในครอบครัวเดียวกันเสียอีก

            เมื่อตั้งใจสร้างครอบครัว สองหนุ่มก็หันมาสนใจ ทุ่มเทเวลากับกิจการของตระกูลอย่างจริงจัง

            ด้วยความฉลาดเฉลียว ใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย ประกอบกับมีพื้นฐานสมบัติเงินทองมั่นคง ทำให้การลงทุน ขยายกิจการของสองตระกูลเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางของตนเองยิ่งขึ้น และด้วยความเป็นคนมีวิชา ดูคนออก อ่านนิสัยคนเป็น จึงได้ช่วยเหลือคนดีที่ตกยากเป็นจำนวนมาก

            การแผ่พระคุณโดยไม่หวังผลตอบแทนนี้ ทำให้ทั้งคู่ได้คนดี มีฝีมือ อีกทั้งยังซื่อสัตย์ ไว้ใจได้มาช่วยทำงานอย่างเต็มที่ ส่งเสริมกิจการจนใหญ่โต แข็งแรง ไม่มีใครในจังหวัดเทียบเทียมได้


   
            เผด็จกับคงคาเคยให้สัญญากันว่า หากลูกของตนฝ่ายหนึ่งเป็นชาย อีกฝ่ายเป็นหญิง จะวางแผนจัดแจงจับคู่ หมั้นหมาย เตรียมให้แต่งงานกันในอนาคต

            บังเอิญทั้งสองมีลูกโทนเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นผู้ชาย จึงต้องรอมาอีกหลายปีจนถึงรุ่นหลาน ค่อยมีความหวัง

            ปู่เผด็จมีหลานชายสองคน คือธันวา กับพิจิก ส่วนปู่คงคาก็มีหลานสาวสองคน ชื่อ มีนา กับเมษา แต่ความหวังการจับคู่ในรุ่นหลานนั้นไม่อาจสำเร็จได้ เพราะธันวา กับมีนา ต่างเป็นคนหัวดื้อ พอรู้ว่าปู่จะจับคู่พวกตนก็แสดงอาการต่อต้าน ขัดขืน ไม่ยอมตามใจผู้ใหญ่อย่างชัดเจน

            พอมาถึงรุ่นของพิจิก เมษา ท่านผู้เฒ่ามีเรื่องน่าตื่นเต้น ยินดีกว่าการได้จับคู่ ผูกสัมพันธ์สองตระกูล นั่นคือ ฤกษ์เกิดของหลานทั้งสอง เป็นฤกษ์ของผู้ทรงเวท บอกถึงพื้นฐานบุญบารมีจากชาติก่อนที่สะสมมายาวนาน แข็งแกร่ง แน่นหนา เหมาะที่จะรับช่วงสืบต่อไสยเวท อาคมจากปู่ได้อย่างง่ายดาย หนำซ้ำความสำเร็จอาจก้าวไกลกว่าผู้ถ่ายทอดหลายช่วงตัว

            ตอนพิจิก เมษาเกิด ผู้เฒ่าทั้งสองจึงเริ่มถ่ายโอนอำนาจการบริหาร ดูแลกิจการต่าง ๆ ให้กับลูกสะใภ้ และคนสนิทไว้ใจได้ไปจนเกือบหมดแล้ว

            จากนั้นปู่เผด็จกับปู่คงคาก็ขอรับเลี้ยง ดูแลหลานชาย หลานสาวคนเล็กด้วยตัวเอง เพราะหวังสร้างทายาทผู้ทรงเวทสมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติธรรมดา และยังมีความสามารถ อาคมอันเร้นลับ ช่วยเหลือผู้คน ขับไล่มนตร์ร้าย สานต่อเจตนารมณ์ของครูแกลง ไม่ให้ขาดช่วงในรุ่นของผู้เฒ่าทั้งสอง

            ส่วนความหวังอีกข้อของสองชายชรานั่นคือได้เห็นสองตระกูลเชื่อมสายสัมพันธ์กันก่อนพวกท่านจะไม่มีลมหายใจ



            ทว่า...อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หลานชายหลานสาวทั้งสองสามารถฝึกจิต ร่ำเรียนวิชาอาคมได้ตั้งแต่อายุน้อย อีกทั้งยังสนิทสนมกันอย่างน่าพอใจ ไม่คิดขัดแย้งหากผู้ใหญ่จะจับคู่ให้...แต่...ผู้เฒ่าทั้งสองเองต่างหาก เกิดเรื่องขัดแย้ง หมางใจกันเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้เพื่อนรัก เพื่อนสนิทไม่คิดมองหน้า หันหลังให้กัน เด็กชายเด็กหญิงผู้เป็นหลานจำต้องยอมเดินตามผู้ใหญ่ มองเห็นอีกฝ่ายเป็นบุคคลต้องห้าม...ทั้งที่ส่วนลึกในใจ อาจไม่เป็นเช่นนั้น

            เป้าหมายจับคู่พังทลายไปแล้ว ทว่า...ความหวังที่จะเห็นหลานชายหลานสาวสามารถสืบต่ออาคม ไสยเวทกลับสัมฤทธิ์ผล ดีเกินคาด

            พิจิก เมษากลายเป็นผู้ทรงเวทที่งำประกาย ใช้ชีวิตไม่ต่างจากเด็กทั่วไป สามารถร่ำเรียนวิชาทางโลกได้เก่งกาจไม่แพ้คาถาอาคม อีกทั้งไม่รู้สึกแปลกแยกในความเป็นตัวเองทั้งสองด้านนี้

            ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเกิดจากความเพียรพยายาม ทุ่มเทเอาใจใส่จากสองผู้เฒ่าอย่างแท้จริง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “นายพิจิก...”

            “ขะ...ขะ...ครับ”

            “คุณเป็นคนงานใหม่”

            “ครับ”

            “ตำแหน่งอะไร”

            “เอ่อ...คนขับรถครับ”

            “เพิ่งมาทำงานได้สองวัน”

            “ใช่ครับ”

            “เมื่อคืน...ตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่มคุณอยู่ที่ไหน ทำอะไร?”

            “ผมอยู่ที่เรือนครัวตั้งแต่ก่อนสองทุ่ม...เอ่อ...มากินข้าวเย็นครับ...แล้ว...เอ่อ...หลังจากนั้นพ่อบ้านสมยศก็เรียกพวกผมไปคุยเรื่องการเตรียมงานวันเปิดรั้วศิวาดลครับ...”

            “ที่บอกว่า...พวกผม...แสดงว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย?”

            “ครับ...ครับ...มีคนอื่นด้วย...เอ่อ...ก็พวกคนขับรถทั้งหมด”

            “คุยเสร็จตอนไหน”

            “ก็...เอ่อ...ไม่แน่ใจ...น่าจะสี่ทุ่มกว่า หรือเกือบสี่ทุ่มนี่แหละครับ”

            “เอาล่ะ...ไปได้แล้ว”


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “นางสาวเมษา”

            “คะ...ค่า...เอ๊ยค่ะ”

            “คุณเป็นคนงานใหม่เหมือนกัน”

            “ค่ะคุณตำรวจ”
  
            “เพิ่งมาทำงานได้สองวัน”

            “ค่ะคุณตำรวจ”

            “ตำแหน่งอะไร”

            “ตำแหน่งผู้ช่วยแม่ครัว...แต่...เอ่อ...จริง ๆ หนูแค่กวาดถูครัว ล้างจานเองจ้ะ”

            “เมื่อคืน...ตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่มคุณอยู่ที่ไหน?”

            “อูยยย...หนูอยู่ที่เรือนครัวตั้งแต่ตอนเย็นยันค่ำเลยค่ะ”

            “ทำอะไร”

            “ก็...ช่วยป้าแมวแม่ครัว กับพี่นางผู้ช่วยแม่ครัวเตรียมข้าวเย็นให้ลูกจ้าง คนงาน พอพวกนั้นมากินข้าวกันเสร็จ หนูก็ต้องอยู่เก็บกวาดล้างจาน ทำความสะอาดเรือนครัวจนค่ำเลยจ้ะ”

            “ช่วงเวลานั้นคุณอยู่กับใคร”

            “อ๋อ...ป้าแมวกับพี่นางสลับกันค่ะ...ป้าแมวสั่งงานแล้วปล่อยให้พี่นางคอยสอนดูแลหนูจนเสร็จเลยจ้ะ...เอ๊ยค่ะ”

            “ออกจากเรือนครัวตอนกี่ทุ่ม”

            “เอ...หนูไม่แน่ใจ ไม่ได้ดูนาฬิกา น่าจะค่ำมากแล้ว สักสามสี่ทุ่มได้”

            “เอาล่ะ...ไปได้แล้ว”

            “ขอบคุณค่ะคุณตำรวจ”

            ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่พิจิก เมษาได้รับ ซึ่งไม่ต่างจากลูกจ้าง คนงานอื่นในศิวาดล


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ศิวาดลเกิดเรื่องใหญ่ มีคนตายกลางห้องโถงคฤหาสน์โดยไม่มีใครรู้!

            ผู้พบศพคนแรกคือคุณเข็มทอง แม่บ้านใหญ่...

            ปกติแล้วคุณเข็มทองจะตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ขึ้นไปดูแลความเรียบร้อยบนชั้นสาม ซึ่งเมื่อคืนมีคุณแพรพลอยอยู่คนเดียว ส่วนคุณศิวาทำงานติดพัน จึงนอนค้างที่คอนโดในกรุงเทพ

           เมื่อตรวจความเรียบร้อยชั้นสามจนไม่เห็นข้อบกพร่องใดแล้ว ก็ลงมาชั้นสอง ไม่ทันสังเกตห้องคุณพยาบาลพิเศษ เพราะปกติคุณโสภีจะไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ ถ้าไม่มีใครปลุกเรียก

            พอคุณเข็มทองลงมาถึงชั้นล่าง ก็พบร่างไร้ลมหายใจของคุณโสภี พยาบาลพิเศษนอนอยู่กลางห้องโถงแล้ว

            จากนั้นคุณเข็มทองก็ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ควรกระทำ...เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขึ้นไปรายงานคุณแพรพลอย โทรศัพท์แจ้งคุณศิวา พอเจ้าของบ้านทั้งสองทราบเรื่องแล้วจึงแจ้งตำรวจในเวลาต่อมา

            เกิดมีคนตายในคฤหาสน์ใหญ่ของบุคคลมีชื่อเสียงขนาดนี้ พิจิก เมษาคิดว่าอาจต้องระดมกำลังตำรวจมาทั้งสน. นักข่าวตามมาเป็นกองทัพ

            สิ่งที่เกิดจริงกลับเป็นอีกอย่าง...

            ตำรวจที่มามีแค่สารวัตรท้องที่ ร้อยเวร เจ้าหน้าที่นิติเวช นอกจากนั้นก็มีรถพยาบาลมารับศพอีกแค่คันเดียว ทุกอย่างเรียบง่าย กระชับ เงียบเชียบ

            ลูกจ้าง คนงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกกันออกนอกบริเวณทั้งหมด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับ รถพยาบาลนำร่างไร้วิญญาณไปเพื่อตรวจชันสูตร

            จากนั้นค่อยมีคำสั่งจากคุณเข็มทองตามมา

            “สมยศ...สั่งห้ามคนงานทุกคนออกนอกเขตศิวาดล ให้หัวหน้าลูกจ้าง คนงานทุกแผนกตรวจลูกน้องตัวเองว่าอยู่ครบมั้ย มีใครหายไปบ้าง แล้วคอยควบคุมลูกน้องให้ดี เตรียมตัวให้พร้อม...บ่ายนี้ตำรวจอาจมาขอสอบปากคำลูกจ้าง คนงานของเราทุกคน!”



            ตกบ่าย ตำรวจจัดกำลังมาอีกชุดหนึ่งเพื่อสอบปากคำลูกจ้าง คนงานในศิวาดล พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่อีกชุดเข้าไปขอเก็บข้อมูลหลักฐาน ภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดทุกตัวเพื่อนำไปค้นหาเบาะแส...

            พวกลูกจ้าง คนงานส่วนใหญ่รู้แค่คุณโสภี พยาบาลส่วนตัวคุณแพรพลอยเสียชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด จนกระทั่งถูกตำรวจสอบปากคำแล้วออกมาพูดคุย เล่าประสบการณ์ให้กันฟัง ทำให้พอจะคาดเดาสาเหตุได้

            ...คุณโสภีถูกฆาตกรรม!...

            ถูกฆาตกรรมอย่างไร แบบไหน พวกลูกจ้างทั่วไปไม่รู้ มีแค่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เห็นศพ แต่คนพวกนี้ก็โดนตำรวจ และคุณเข็มทองกำชับเด็ดขาด ห้ามแพร่งพรายสภาพศพออกไป เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี

            วันที่วุ่นวายเช่นนี้ คุณแพรพลอย นายหญิงของบ้านกลับเก็บตัวเงียบอยู่บนชั้นสามศิวาดล ส่วนคุณศิวา ผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่กลับมา ได้แต่พูดคุย ให้ปากคำข้อมูลเบื้องต้นกับทางตำรวจทางโทรศัพท์เท่านั้น

            ชาวศิวาดลวุ่นวาย ปั่นป่วนชั่วระยะรอคิวสอบปากคำ

            เมษา พิจิกทำตัวตื่นเต้น ตอบแบบไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกับลูกจ้าง คนงานอื่น พอตำรวจกลับไปจนหมด ทุกสิ่งค่อยคืนสู่สภาพเดิม เพียงแต่มีความอึมครึม บรรยากาศหม่นมัว ความระแวง สงสัยแผ่กระจายไปทั่ว

            กลิ่นอายความตายปริศนาลอยเอื่อย ๆ คลับคล้ายมันกำลังเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ทุกคน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “ป้าแมว...ที่นี่พอจะมีเด็กคนไหนว่างบ้างมั้ย” คำถามจากแม่แวว ลูกจ้างสาวในครัวศิวาดล

            “มีอะไร” ป้าแมว แม่ครัวใหญ่คนหนึ่งของศิวาดลถามห้วน ๆ

            “ป้าเพลินเขาอยากได้เด็กไปช่วยข้างในหน่อย”

            “ในไหน? ...ในครัวบ้านใหญ่เหรอ”

            ศิวาดลมีสองครัวใหญ่ ครัวแรกคือเรือนครัว เป็นครัวหลักดูแลเรื่องอาหารของทุกคนมีป้าแมวผู้ควบคุม อีกครัวอยู่ในบ้านใหญ่คฤหาสน์ศิวาดล จะมีป้าเพลิน แม่ครัวหลักอีกคนเป็นผู้ควบคุมดูแลทำอาหารเป็นพิเศษตามเจ้านายสั่ง

            แม่ครัวใหญ่ทั้งสองนี้ไม่ค่อยลงรอย มีเรื่องขัดแย้งกันประจำ

            “จ้ะป้า”

            “โอ๊ย...ครัวบ้านใหญ่มีคนตั้งเยอะ จะมาเอาคนที่เรือนครัวไปทำไมอีก”

            “เอ่อ...แหม...ป้าแมวก็...หนูก็รับคำสั่งเขามาอีกที...ช่วยกันหน่อยเถอะ”

            “นี่...นังแวว...แกแหกตาดูสิ เด็กที่นี่มีงานทำทุกคน...ไม่มีใครว่างพอจะไปช่วยงานในครัวบ้านใหญ่ตอนนี้ได้หรอก”

            “โธ่ป้าแมว ช่วยป้าเพลินแกหน่อยเถอะ ตอนนี้ที่นั่นมีงานล้นมือกันหมดแล้ว”

            “ที่นี่ก็มีงานล้นมือ” ป้าแมวตอบห้วนเด็ดขาด

            “เฮ้อ...ก็ได้ งั้นหนูจะไปบอกป้าเพลินตามนั้นแล้วกัน...ว่าเด็กในเรือนครัวมีงานล้นมือ ไปช่วยพวกในครัวบ้านใหญ่ไม่ได้”

            “เออ...ไปบอกมันตามนั้นแหละ”

            “แต่...เอ่อ...ถ้าคุณแม่บ้านใหญ่ได้ยิน...ก็...ไม่เป็นไรใช่มั้ยป้า” ดวงตาสาวแววมีรอยเจ้าเล่ห์

            “เกี่ยวอะไรกับคุณแม่บ้านใหญ่?” ป้าแมวเริ่มเสียงเปลี่ยน

            “ก็...ตอนนี้คุณแม่บ้านใหญ่แกกำกับงานอยู่ในครัวน่ะ” พูดพลางแกล้งหันหลังเดินออกไปช้า ๆ

           “เดี๋ยว! นังแวว” ป้าแมวรีบเรียก

            “จ๋า...ป้า...” แม่แววหันกลับยิ้มซื่อ

            “เอาใครไปช่วยก็ได้ใช่มั้ย” ถามอย่างยอมแพ้

            “จ้า...ป้า”

            ป้าแมวกวาดตาทั่วเรือนครัว มองดูแม่พวกสาว ๆ ที่รีบก้มหน้าทำงานในหน้าที่ของตนทันทีอย่างตั้งใจ แล้วมองหาต่อไปจนพบลูกจ้างสาวผู้มาใหม่ ท่าทางซื่อ ไม่ทันคน ทำงานตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

            “เมษา...” แม่ครัวใหญ่ร้องเรียก

            ด้วยเหตุนี้ เมษาจึงต้องเดินตามแม่แวว ไปช่วยงานในครัวบ้านใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว...

  

            ขณะนี้เป็นเวลาเย็นย่ำ...

            ลูกจ้างในครัวศิวาดลไม่ได้มีงานล้นมือ ชนิดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้อย่างที่แม่แววบอก หนำซ้ำ คุณเข็มทอง แม่บ้านใหญ่ก็ไม่ได้เข้ามากำกับควบคุมอะไร

            ครัวบ้านใหญ่มีแค่ป้าเพลินกำลังยืนรอลูกจ้างจากเรือนครัวอยู่คนเดียว พอเห็นแม่แววพาลูกจ้างคนใหม่มาได้ก็ถอนใจโล่งอก

            “เออเก่งนี่นังแวว ไปพูดยังไงยายแมวมันถึงยอมให้คนมาได้”

            “ความลับค่ะป้า” พูดจบแม่แววก็หัวเราะคิกคัก

            ป้าเพลินหันมาทางเมษา กวาดตามองหัวจดเท้า

            “เป็นคนงานใหม่หรือเรา” คำถามแรก

            “ค่ะ” เมษาตอบถนอมปากคำ

            “ดีแล้ว...ฉันมีงานให้เธอช่วยทำ”

            “ได้ค่ะ”

            “ช่วยยกอาหารเย็นขึ้นไปให้คุณพลอยหน่อย”

            ‘คุณพลอย’ ที่ป้าเพลินหมายถึงคือคุณแพรพลอย นายหญิงของบ้านหลังนี้

            ฟังแล้วชวนให้นึกสงสัย แค่ยกอาหารเย็นขึ้นไปให้คุณแพรพลอยบนชั้นสาม ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก วุ่นวายขนาดต้องไปลากเอาลูกจ้างจากเรือนครัวมาช่วย

            เมษานึกสงสัย แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า หล่อนกำลังคิดหาวิธีเข้าใกล้นายหญิงของบ้านอยู่แล้ว เมื่อโอกาสดีมาถึงจึงไม่ปล่อยไปง่าย ๆ

            อีกอย่าง...มันน่าสนใจ อยากรู้เหมือนกันว่า...ทำไมลูกจ้างครัวบ้านใหญ่ถึงเกี่ยงกัน ไม่ยอมขึ้นไปส่งอาหารนายหญิงของบ้านแบบนี้...

            หรือว่า...อาการโรคประจำตัวคุณแพรพลอยกำเริบ...หรือไม่...อาจเป็นได้ที่การตายของคุณโสภี มีผลกระทบต่อจิตใจเธอบางอย่าง...

            คำตอบจะปรากฏให้รู้ในไม่ช้านี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP