ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าเคยทำให้พ่อแม่เสียใจมามาก จะพ้นวิบากไม่ดีได้ในชาตินี้ไหม



ถาม – ตอนเด็กๆ ดิฉันเอาแต่ใจตัวเองมาก ถ้าไม่ได้ดังใจก็จะอาละวาดกับพ่อแม่และพี่น้อง
แต่พอโตขึ้นก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง คือเลิกเอาแต่ใจและกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างที่สุด
อย่างนี้จะเปลี่ยนกรรมหนักให้เป็นเบาได้หรือไม่ แล้วทำอย่างไรจึงจะพ้นวิบากไม่ดีได้ในชาตินี้คะ


ที่ทำกับพ่อแม่ไว้นะ ถ้าพูดถึงนี่ก็มันมีสองส่วน คือเป็นวิบากเก่าของพ่อแม่
คือได้ลูกอย่างไรนี่ก็จะได้เห็นการกระทำของตัวเองชัดๆ ละ
ว่าเคยทำกับพ่อแม่ตัวเองไว้อย่างไร หรือว่าเคยทำไว้กับคนอื่นไว้อย่างไร
มันจะเห็นชัดตอนที่ลูกกำลังดิบๆ เนี่ย ลูกกำลังไม่รู้เรื่องรู้ราว อันนั้นค่อนข้างชัด
แต่ในส่วนของเราเอง เราก็ถือว่าทำกรรมใหม่ไปเหมือนกัน
เพราะธรรมชาตินี่ใจร้ายนะ คือให้เด็กเกิดมานี่มีแต่จะเรียกร้องอะไรเข้าตัว
มีแต่จะใช้สัญชาตญาณนะที่จะบีบบังคับให้คนอื่นนี่นะ
มาเอาใจตัวเอง มาให้อะไรต่อมิอะไรกับตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ว่ามันถูกผิด หรือว่าใครจะเดือดร้อนอย่างไร



ทีนี้อารมณ์แบบดิบๆ นั้น จะประกอบด้วยเจตนาอย่างหนักแน่น
ที่จะทำความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า
มันเริ่มตอนรู้ความ มันเริ่มตอนประมาณสัก มันไม่แน่นะ
บางคนก็ห้าขวบ บางคนก็เจ็ดขวบ อะไรแบบนี้
แต่ถ้าต่ำลงไปกว่านั้นน่ะก็ส่วนใหญ่จะทำแบบเอ๋อๆ
คือมีความตั้งใจ แต่ไม่ได้เป็นความตั้งใจอย่างหนักแน่นนะ
มีลักษณะจะเอาตามใจตามสัญชาติญาณ
มากกว่าที่จะเจตนาแบบรู้คิด หรือว่ามีลักษณะจิตสำนึกเต็มที่แล้วนะ



ลักษณะของกรรมที่มันเกิดขึ้น ก็เลยไม่ชัดเจนเท่าตอนรู้ความนะครับ
แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนนะ บางคนนี่สามขวบก็คือมีจิตสำนึกเต็มแล้วนะ
บางคนนี่สมัยพุทธกาลนี่ เจ็ดขวบนี่ท่านบรรลุอรหันต์กันแล้วนะ
ไม่ใช่จะต้องรอให้โตกันเสียก่อนนะครับ
ถ้ามองในเรื่องของว่าจิตสำนึกมาเต็มเมื่อไหร่นะ
ลักษณะอาละวาด ลักษณะที่เราจะจงใจ
เจาะจงทำให้พ่อแม่เดือดร้อน เพื่อให้ตามใจเรา
มันก็วัดกันตอนนั้นแหละ



ถ้ามองในเรื่องของกรรม กรรมมันก็มีทั้งกรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน
ที่เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
แล้วก็กรรมที่จะให้ผลในชาติต่อๆ ไป
อันนี้ไม่สามารถที่จะชี้ตายตัวว่ากรรมที่ทำตอนไหนจะให้ผลในปัจจุบัน
กรรมที่ทำตอนไหนจะให้ผลในชาติอื่นๆ
แต่จะมีจุดสังเกตอยู่จุดหนึ่งก็คือ
ถ้าหากว่ากรรมใดนะ เราทำอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่สำนึกผิดเลย
โดยเฉพาะเรื่องบาป เรื่องกรรม เรื่องทำความเดือดร้อนให้คนอื่นนี่นะ
ถ้าหากว่าบุญเก่าเราไม่มีหนุนอยู่มาก
ภายในสองสามปี มันจะออกอาการที่ว่าคิดฟุ้งซ่านมากนะ
แล้วก็จะออกอาการเรื่องที่ว่ามันมีความคล้ำหมองทางใบหน้า
ถ้าหากว่าคนมีบุญเก่ามา ปกติเดิมทีจะหน้าตาสว่าง เสียงจะใส
แล้วพอทำบาปทำกรรมต่อเนื่องไปสักพักหนึ่งนะ
บาปเขาจะเริ่มแสดงตัวด้วยการเปลี่ยนสีหน้าสีตาให้หมองคล้ำลง
น้ำเสียงที่สดใส มันจะดูหม่นมัว ดูขุ่น ไม่น่าฟัง อะไรแบบนี้


อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการสะท้อนของผลกรรมที่เราจะเห็นได้ในปัจจุบันเลย
เพราะอย่างบางคนนะ ตั้งแต่เกิดจนตาย หน้าตาดี สุ้มเสียงดีตลอด
แต่หลายๆ คนขอให้สังเกตเถอะ ช่วงต้นชีวิตนี่บางคนเลย ผมเห็นนะ ตาใส สวยมากๆ เลยนะ
แต่เนื่องจากต้องไปอยู่ในโลกที่ต้องเห็นพฤติกรรมเลวร้ายของคนเยอะนะทุกวัน
แล้วก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก ประกอบกับตัวเองก็ต้องพูดจาหยาบคาย ต้องอะไร
พอห้าปีหกปีผ่านไป จากคนตาสวยที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่งนะ
กลายเป็นคนตาด้านไป กลายเป็นคนมีสีหน้าคล้ำหมองไป
อย่างนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ นะครับ ก็คงจะเห็นตัวอย่างจากคนรอบข้างกันมาละนะ
ถ้าหากว่าจะบอกว่า เอ้ย มันเป็นไปตามวัย
มันไม่ใช่นะ เพราะว่าอีกหลายๆ คน เขาก็ยังมีหน้าตาสดใสขึ้นทุกทีได้
อันนี้มันเป็นไปตามกรรมใหม่



การที่เราเคยทำกับพ่อแม่
ถ้าหากว่าไม่ได้ต่อเนื่อง ไม่ได้เป็นไปด้วยจิตเจตนา
ไม่ได้เป็นไปด้วยอาการรู้ความ แล้วก็มุ่งมั่นจะเอาให้ได้อย่างนั้น
ส่วนใหญ่ก็จะได้ผลช้า ไม่ได้ได้ผลทันทีทันใด
แต่ก็มีเหมือนกัน ประเภทที่ว่าอาละวาดหนัก ทำลายข้าวของพ่อแม่
ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนอย่างสาหัสนะ
อย่างนี้โตขึ้นก็เจอ แต่มักจะเจอในสภาพที่มันรู้ได้นะ มันนึกออกนะ
อย่างเช่น ไปโดนขูดขีดรถ หรือว่ารถอุตส่าห์ซื้อมาสวยๆ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองคันแรก
ยังไม่ทันถอดป้ายแดงทิ้ง มีใครมาชน มีใครมาทำให้เกิดความเสียหาย
ซึ่งถ้าหากว่ามองด้วยสายตาธรรมดา
มันจะไม่สามารถแยกได้ว่า อันนี้เป็นของเก่าหรือของใหม่
แต่ผู้มีอภิญญา พวกท่านก็จะทราบนะครับ



อันนี้ถ้าหากว่าคุณมองนะว่าเราจะตอบแทนบุญคุณท่านด้วยอาการอย่างไร
ถึงจะเป็นการลบล้างความผิดได้
ก็คิดง่ายๆ เลยก็คือเราจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตนั่นแหละ
มาทำให้ของเก่านี่มันกลายเป็นหมันไป

คือเมื่อไหร่ที่เราทำให้พวกท่านมีความสุข เมื่อไหร่ที่เราเอาธรรมะไปเผื่อแผ่พวกท่าน
ให้ท่านมีใจชื่นบาน มีความรู้สึกเป็นสุขอยู่กับธรรมมะ
มีความรู้สึกว่าอยากทำบุญสุนทาน อยากรักษาศีล
จนกระทั่งใจของเราเอง ลืมไปสนิทว่าเรื่องเก่าๆ แต่หนหลัง มันให้ความรู้สึกแย่อย่างไร
นั่นตรงนั้นแหละพ้นแล้ว



คือใจเรานี่นะ มันเป็นมาตรวัดที่ดีเหมือนกันนะ
เหมือนกับกินมากๆ ก็จะอิ่ม กินน้อยๆ ก็จะยังหิวอยู่
ถ้าหากว่าเราให้ความสุขกับพวกท่านไปมากระดับหนึ่ง
แต่ยังจำได้ ยังเกิดความรู้สึกวิตกว่าในอดีตเราเคยทำไม่ดีกับท่านไว้มาก
จะทำอย่างไรดี จะแก้อย่างไรดี
นั่นแสดงว่าใจยังไม่อิ่ม ยังไม่มีความสุขมากพอ ก็เติมเข้าไปอีกนะ

ไม่ต้องถามกันล่ะว่าจะด้วยวิธีใด เอาเป็นว่าทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
เอาทุกทาง เอาทั้งทางที่จะทำให้ท่านหัวเราะได้ ยิ้มออก
แล้วก็เอาทั้งที่ใจท่านนี่จะมีความสว่างได้ เบิกบานได้
จนกระทั่งเรารู้สึกว่า เออ นี่มันสมน้ำสมเนื้อแล้ว
มันกลบกลืน มันทำให้ความรู้สึกแย่เก่าๆ
ที่เราเคยทำผิดกับพวกท่านมา มันหายไปจากใจเราได้
ตัวนี้แหละที่มันวัดได้ว่ามันปลอดภัยจากของเดิมแล้วนะ



อันนี้พูดครอบคลุมเลยนะ ไม่ว่าใครจะเคยทำอะไรไม่ดีกับใครไว้
แล้วรู้สึกผิดนะ รู้สึกทรมานใจ รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง
อย่าทำแค่อย่างเดียว แต่ทำหลายๆ อย่าง
จนกว่าใจจะรู้สึกอิ่ม ใจจะรู้สึกเต็ม อันนั้นแหละถึงจะเลิกแล้วต่อกันได้
ถ้าหากว่าจะยังมีเศษกรรมอะไรอยู่ เหลือตกค้าง มันก็จะไม่หนักหนาแล้ว



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP