สารส่องใจ Enlightenment

กายกับใจ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
แสดงธรรม ณ วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เมื่อ วันที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๑




กายกับใจ (ตอนที่ ๑) (คลิก)


ให้น้อมดู พุทโธอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ที่ดวงใจของเราไม่ใช่หรือ ให้พากันพิจารณาพุทโธ
เวลานี้รู้อยู่อย่างไรเล่า รู้สุขหรือรู้ทุกข์ รู้ดีหรือรู้ชั่ว หรือรู้อยู่เฉยๆ
ดูที่พุทโธ ใจของเราอยู่สถานใด อยู่ในลมฟ้าอากาศหรือไปอยู่ที่ไหน
อยู่ตามลูกตามหลาน ตามบ้านตามช่อง
หรือไปอยู่ตามข้าวตามของ ตามเงินตามทอง
ให้น้อมเข้ามาหาตัวของเราซิ ผู้รู้ศาสนาต้องน้อมเข้ามา
ต้องรู้ต้นศาสนา พุทโธ พุทโธ นี้เป็นผู้รู้ นี่แหละเป็นสรณะที่พึ่งของเราแท้แน่นอน
ถ้าเราไม่มีพุทธะคือผู้รู้แล้ว เราก็พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้สักอย่าง
พ่อแม่พี่น้องข้าวของเงินทองก็พึ่งไม่ได้ บ้านช่องก็พึ่งไม่ได้
เงินทองอะไรก็พึ่งไม่ได้ ชาวบ้านร้านตลาด ประเทศชาติก็พึ่งไม่ได้
ถ้าเราไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆแล้ว สังขารร่างกายเราก็พึ่งไม่ได้
ก็พุทธะคือผู้รู้ ถ้าเราไม่มีผู้รู้จะพึ่งอะไรได้


อุปมาเหมือนกับคนตาย คนตายแล้วมีความรู้หรือ
หูตาก็มี แข้งขาก็มี อะไรๆ มีหมด ข้าวของเงินทองก็มีอยู่
แต่พึ่งไม่ได้สักอย่าง มันไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ
ถ้าเรามี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วพึ่งได้หมด
สังขารร่างกายเราก็พึ่งได้ พ่อแม่พี่น้องก็พึ่งได้
ข้าวของเงินทองพึ่งได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ข้อนี้เราทั้งหลายจงพากันพิจารณาให้มันแจ่มแจ้งในใจของเรา



ธัมโม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
เราเข้าใจว่าเป็นของพระพุทธเจ้า เราไม่น้อมเข้ามาหาตัวของเรา เราก็เลยไม่เห็น
สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำไว้เราก็พึ่งไม่ได้ พึ่งได้แต่สิ่งที่เราทำไว้
เราทำดีก็ได้พึ่งดี เราทำชั่วก็ได้พึ่งชั่ว
ในบาลีท่านจึงว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา เราเป็นผู้ทำมาทั้งหมดไม่ใช่หรือ
เราทำกุศลมาจึง กุสลา ธัมมา คือกุศล คือความฉลาด
พวกเราทั้งหลายคือพวกฉลาดทั้งนั้น
ที่มานี่ได้พากันรู้จัก กุสโล กุสลา คือความฉลาด
รวมแล้วกุสลา ธัมมา คือใจของเราดี ใจของเรามีความสุข ใจของเรามีความสบาย
นี่แหละคือกุสลาธัมมาแน่



อกุสลา ธัมมา คืออย่างไรเล่า คือใจเราไม่ดี
เมื่อใจเราไม่ดีแล้ว สังขารร่างกายก็ไม่ดี พ่อแม่พี่น้องข้าวของเงินทองก็ไม่ดี
นี่แหละ อกุสลา ธัมมา เราเป็นผู้ทำมาทั้งหมดเราจึงได้
นี่แหละ เราควรพินิจพิจารณา น้อมเข้าในธัมโม เราเป็นผู้ทำทั้งหมด
ถ้าเราไม่ได้ทำแล้วเราก็ไม่ได้ นี่เป็นข้อปฏิบัติ



สังโฆเล่า เป็นสรณะที่พึ่งของเรา พึ่งได้อย่างไร สิ่งทั้งหลายทั้งหมดเราเป็นผู้ปฏิบัติ
พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ถ้าเราปฏิบัติดีก็ได้พึ่งดี ถ้าเราปฏิบัติไม่ดีก็ได้พึ่งไม่ดี เราทั้งหลายต้องเข้าใจอย่างนี้
ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
รวมแล้วคือกายกับใจของเรานี้ มิใช่อยู่อื่นไกล ให้พากันน้อมเข้ามาหาตัวเรา



ในคัมภีร์ทั้งหลายเช่นว่าพระอภิธรรม ท่านว่ากามาวจรัง กุสลัง จิตตัง
ท่านไม่ได้บอกอื่นไกล กามาวจรกุศล เกิดจากจิต อุปปันนัง โหติ อุบัติขึ้นจากจิต
โสมนัสสหคตัง โสมนัสคือความยินดี ใครเป็นผู้ยินดีบุญ สหคตัง ความเป็นไป
ญาณสัมปยุตตัง ญาณะ คือ ญาณความรู้
ความรู้ทั้งหลายอยู่ที่ไหนเล่า ต้นไม้ ภูเขาเหล่ากอมันไม่รู้อะไร
ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาก็ไม่รู้อะไร มีอยู่ก็ดวงใจของเราที่รู้เหตุนี้
ให้พากันเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ให้เชื่อมั่นอยู่ในใจของเรา
ให้พากันสัมปยุตต์ สัมปยุตต์ที่ใดแล้วก็ไปอยู่ที่นั้น



รูปารัมณังวา เราจะเอารูปอันใดเป็นอารมณ์ รูปดีรูปชั่ว เราหมายได้
รูปดีเป็นอย่างไร รูปชั่วเป็นอย่างไร จะอธิบายไปไกลเราก็ไม่เข้าใจ
นี่จะอธิบายย่อๆ ท่านอธิบายว่าอุปทายรูปมีถึงยี่สิบ
นี่จะอธิบายมีสองรูปเท่านั้นแหละ คือรูปดีได้แก่ใจเราดี รูปไม่ดีได้แก่ใจเราไม่ดี
นี่แหละให้พากันพิจารณาเท่านี้แหละ
เห็นว่าเราทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ ต่างคนต่างมา ต่างถิ่นต่างฐาน ต่างบ้านต่างช่อง
เมื่อพากันมาแล้วก็ไม่เจือปนกัน ของใครของเรา
สมมุติว่าเราจะลุกจากนี้จะไปอยู่ที่โน้น
ใครจะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องไปที่นั้นแหละ ของใครของเราอย่างนี้
นี่แหละอุปมาอุปไมยให้เห็นในปัจจุบันนี้



ทีนี้จิตใจของเราก็เหมือนกัน
เราไปยึดเอารูปดี เราก็ไปที่ดี เรายึดเอารูปชั่ว เราก็ไปที่ชั่ว
นี่แหละให้พากันพินิจพิจารณา คัมภีร์ท่านบอกไว้ไม่ใช่อื่นไกล
ที่ท่านบอกไว้ว่า ปัญจักขันโธ รูปักขันโธ เวทนากขันโธ
สัญญากขันโธ สังขารากขันโธ วิญญาณกขันโธ

นี่แหละ ท่านว่าธรรมะทั้งหลายจงเอาตัวของเราเป็นตัวธรรมะ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราทั้งนั้น
ปัญจขันธา คือ ขันธ์ทั้งห้า ขันธ์ก็แปลว่า
“กอง”
กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ
มากองอยู่ในตัวเรานี่หมด กองบุญกองบาปอยู่นี่หมด
กองสวรรค์กองนิพพานก็อยู่ในตัวของเรานี้หมดนั่นแหละ
อย่าคำนึงไปที่อื่น กองสุขกองทุกข์อยู่ในตัวของเรานี้ทั้งนั้น
เหตุนั้นให้พากันรู้จักแจ่มแจ้ง
นี่แหละอภิธรรมทั้งหลายท่านจึงได้ว่าธรรมะทั้งหลายอยู่ในตัวของเรา
รูปก็รูปธรรม นามก็นามธรรม จะว่าเป็นของพระพุทธเจ้าอย่างไรเล่า


พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเรารู้จักตัวของเรา
นโมนี้แหละคือความนอบน้อม นอบน้อมไปสถานใด มันก็เป็นไปอย่างนั้น
เหตุนี้ให้พากันรู้จัก นะ รู้จัก โม หัวใจมันจึงรักษาได้
เวลานี้เราทั้งหลาย ไม่รู้จัก นะ ไม่รู้จัก โม หัวใจตัวเรามันจึงรักษาไม่ได้
เราจะพิจารณาข้อนี้เพื่อเหตุใดเล่า เพื่อไม่ให้โศกเศร้าโศกา
เมื่อเราทั้งหลายจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งสิ้นไป
เมื่อพลัดพรากจากไปแล้ว เราจะมีความโศกเศร้าโศกาอาลัยระลึกถึงซึ่งกันและกัน
นี่เรารีบมาพิจารณาเสียตั้งแต่เวลาที่เราอยู่นี่
เวลาเราจะจากไปจะได้ไม่ห่วงไม่ใยอะไรสักอย่าง เราจึงมาพิจารณาข้อนี้



นะ คืออันใดเล่า เรามาถือข้อนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เป็นเรา เป็นเขา เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย เป็นพระ เป็นเณร
เรามาถือเอา นะ เอา โม นี้แหละพิจารณาดูที
หลงตัว หลงตน หลงสัตว์ หลงบุคคล หลงเรา หลงเขา นี่มันมาคามาติดข้องอยู่นี่
เรามาพิจารณา นะ แล้ว เราจะไม่หลง
นะ คืออันใด ปิตฺตํ น้ำดี เสมฺหํ น้ำเสลด ปุพฺโพ น้ำเหลือง โลหิตํ น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำมันข้น อสฺสุ น้ำตา วสา น้ำมันเหลว เขโฬ น้ำลาย
สิงฆาณิกา น้ำมูก ลสิกา น้ำไขข้อ มุตฺตํ น้ำมูตร
สิ่งเหล่านี้เป็นคนที่ไหนเล่า เป็นของทิ้งทั้งนั้นมิใช่หรือ
นี่แหละเราจึงต้องพิจารณาให้แน่นอนลงไป อย่าสงสัยลังเลสนเท่ห์ในใจ



ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้พิจารณา พุทโธ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง
สัจจธรรมทั้งหลายให้พากันรู้จัก ความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความเจ็บก็ดี ความตายก็ดี
ข้อนี้แหละสัจจะของจริง สิ่งไม่เกิดก็มี สิ่งไม่แก่ก็มี สิ่งไม่เจ็บก็มี สิ่งไม่ตายก็มี
นี่เรารู้จักสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้แก่ สิ่งนี้เจ็บ สิ่งนี้ตาย เราก็ควรพิจารณาดู
สิ่งใดไม่เกิด สิ่งใดไม่แก่ สิ่งใดไม่เจ็บ สิ่งใดไม่ตายเล่า
เราอย่าไปนึกถึงอื่น ให้นึกถึงดวงใจของเรา ผู้คิดผู้นึกที่มันไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย
เพราะเหตุใด เราตั้งสมาธิ พุธโท พุทโธ ดวงใจเราอยู่นิ่งภายใน
มันไม่ส่งไปข้างหน้า มาข้างซ้ายข้างขวา ข้างบนข้างล่าง
ตั้งจำเพาะตรงกลาง ผู้รู้นิ่งอยู่นั้นแหละ มันก็ไม่ตาย มันนิ่งอย่างนั้นมันก็ไม่ตาย
แล้วก็ไม่เกิด มันก็ไม่เกิด มันก็ไม่แก่ แล้วมันไม่แก่มันก็ไม่เจ็บ
แล้วมันไม่เจ็บมันก็ไม่ตาย มันไม่ตายแล้วก็ไม่ทุกข์
แน่ะ จะว่าอย่างไรเล่า เราต้องดูที่นี่เดี๋ยวนี้
เราเกิดอยู่นั่งอยู่นี่แหละ เกิดไม่หยุดนี่แหละ เทศน์ให้ฟังก็ไม่หยุด
นี่แหละ ภเว ภวา สัมภวันติ มันเที่ยวก่อภพน้อยๆ ใหญ่ๆ อยู่เดี๋ยวนี้แหละ


ฟังดูซี หัวใจของเราหยุดนิ่งอยู่ได้หรือยัง นั่งดูมันไม่นิ่งซี นี่ให้รู้จักซี ทำให้มันนิ่งซิ
เราไม่อยากตายก็หยุดเสียซี อย่าไปเกิดซี เราเกิดแล้วมันก็แก่ซี
เราอย่าไปเกิดก่อชาติก่อภพอยู่เรื่อย เราไปเกิดเป็นชั้นใดเล่า ในภูมิใดในภพอันใดเล่า
รีบดูซี อย่าไปฟังแต่เสียงซี น้อมเข้าดูดวงใจ ให้ฟังดวงใจของเรา
ใจของเราดีหรือชั่วเล่า ใจเราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่า
เราฟังให้มันแน่นอนลงไปซี ดูซีมันเกิดที่ไหนเล่า มันทุกข์อยู่ที่ไหนเล่า
ต้นไม้ ภูเขาเหล่ากอเขาก็ไม่ได้ทุกข์ ดินฟ้าอากาศเขาก็ไม่ได้ทุกข์
มันทุกข์อยู่กับดวงใจของเรา



น้อมเข้าดูซี เราอยากพ้นทุกข์มิใช่หรือ มันไม่ได้พ้นตรงฟ้าอากาศ
เมื่อใจเราสงบนิ่งอยู่นี่แหละ ความเป็นสุขอยู่ที่เรา
ดูซีว่าเวลานี้ใจเราอยู่ในกุศลหรืออกุศล หรือไม่ใช่กุศลอกุศล
ให้พิจารณามันเป็นไปอย่างไรเล่า



กุศลนั้นคือใจดี ใจเรามีความเยือกความเย็น นี่แหละกุศล
อกุศล คือเป็นอย่างไร คือใจไม่ดี ใจไม่ดีนี้แหละเป็นอกุศล
ไม่ใช่กุศลอกุศลอันใด คือดีมันก็ไม่ว่า ชั่วมันก็ไม่ว่า
สุขมันก็ไม่ว่า ทุกข์มันก็ไม่ว่า เฉยอยู่ วางอุเบกขา
มันไม่ส่งข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา
วางหมดทั้งนั้น ว่างหมด ใจมันว่างหมด
พอมันวางแล้ว นี่แหละอาศัยสมาธิภาวนา เพ่งเล็งดูใจของเราให้ดี



เราอยากสุข ใจของเราเป็นสุขหรือยัง เราอยากได้บุญ ใจของเราเป็นบุญหรือยัง
เราอยากพ้นทุกข์ ใจเราพ้นทุกข์หรือยัง เราอยากดี ใจของเราดีหรือยัง
พิจารณาดูซิ อย่าไปฟังอื่นซี ฟังดวงใจของเราให้มันแน่นอนลงไปซี เชื่อมั่นลงไปซี
นี่เป็นข้อปฏิบัติ นี่แหละสมาธิ คือจิตตั้งมั่น ตั้งเที่ยง ตั้งตรง



วิธีที่เราจะล้างบาปล้างกรรม จะล้างเหมือนคริสเตียนเขาไม่ได้
เราจะล้างบาปล้างกรรมไม่มีที่อื่น เราต้องรักษาศีล สมาธิ ภาวนานี้แหละ
ล้างบาปล้างกรรม คือรักษาศีล เราไม่ทำโทษน้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งหมดแล้ว
ไม่มีบาปไม่มีกรรม นั่งสมาธิแล้ว จิตของเราไม่ได้ก่อภพก่อชาติ จิตของเรานิ่งอยู่
มันก็ไม่ได้สร้างบาปสร้างกรรมอะไร มันวางเฉยอยู่
มันก็หมดบาปหมดกรรม หมดตรงนั้นแหละ ไม่ใช่หมดที่อื่น
คือจิตเราไม่มีกรรม กรรมทั้งหลายก็ไม่มี
จิตของเราไม่มีความชั่ว ความชั่วทั้งหลายก็ไม่มี
จิตของเราไม่ทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่มี
จิตของเราไม่อยาก ความอยากทั้งหลายก็ไม่มี



เหตุนี้แหละให้พากันพิจารณาให้มันแน่นอนลงไป
จะไปหาความสุขที่ไหนเล่า จะไปหาความสุขตามข้าวตามของเงินทองไม่ใช่ทั้งนั้น
จะหาความสุขจากการทำงานไม่ใช่ทั้งนั้น
เราก็ทุกข์เพราะเราหาข้าวของเงินทองนั่นซี
ความสุขนี้ต้องทำหัวใจของเราให้มันนิ่ง
พุทโธ พุทโธ ทำใจให้เยือกเย็น ทำใจให้เบา ทำให้ใจสบายแล้ว
หัวใจเราสบายแล้ว การงานมันก็สบาย ข้าวของเงินทองก็สบาย
ชาวบ้านร้านตลาดมันก็สบาย ประเทศชาติก็สบาย
ข้อนี้พิจารณาให้เห็นจริงแจ้งประจักษ์กัน



เรามาทำบุญทำกุศล เราว่าทานอันนั้นได้บุญไหม ถามใครเล่า ถามดวงใจเราซี
ถ้าเราทำลงไปแล้วดวงใจเรามีความเยือกความเย็น
ใจเรามีความสุข ใจเรามีความสบาย ก็ได้บุญตรงนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นบุญทั้งหลายใจเราถึงก่อน บาปก็ใจของเราถึงก่อน
ใจของเราเป็นหลักฐาน ใจของเราเป็นประธาน สำเร็จกับดวงใจ ไม่ได้สำเร็จที่อื่นไกล
เหตุนั้นให้พากันพิจารณาให้แน่นอนลงไป ประจักษ์ลงไป เชื่อมั่นลงไป



นี่แหละโอวาทธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
สรุปหัวข้อใจความแล้วคือกายกับใจนี้เป็นที่ตั้ง
แห่งคุณพระพุทธเจ้า แห่งคุณพระธรรม แห่งคุณพระสงฆ์
เมื่อเราทั้งหลายได้ยินได้ฟังแล้วให้โยนิโสมนสิการ พากันกำหนดจดจำ
แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติฝึกหัดตนให้เป็นไปในศีล
เป็นไปในธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
แต่นี้ต่อไปท่านทั้งหลายจะมีแต่ความสุขความเจริญงอกงาม
ในธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้รับประทานวิสัชนามา
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้



จตฺตาโร ธมฺมา วฒฺฑนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ



(ถอดจากแถบบันทึกเสียงของนายแพทย์อวย เกตุสิงห์
ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์ ผู้ถอด อวย เกตุสิงห์ เรียบเรียง)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก “อาจาโรวาท : พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร”
กรุงเทพฯ : ศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์, ๒๕๕๐.


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP