วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๒


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ครืน...เปรี้ยง ฟ้าผ่าตรงหน้าสองหนุ่มสาว กลิ่นเหม็นไหม้ลอยตลบ แต่ไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงใดๆ นอกจากเพิ่มความระมัดระวังตัวกว่าเดิม

ในใจของมรรคาบังเกิดภาพต้นไทรยักษ์แผ่กิ่งใบปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง รากไทรห้อยระย้า เหยียดยาวราวกับเป็นเส้นผมนางมารร้าย

จ้าว คุณจะเป็นใครก็ตาม ขอให้ปรากฏตัวออกมาด้วย เรามีเรื่องต้องพูดกัน มรรคาทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

เสียงตอบกลับเกรี้ยวกราด เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย

ข้านึกว่าความจำในอดีตชาติเจ้ากลับคืน ที่ไหนได้...เจ้ากลับให้ข้าออกมาปรากฏตัว...ฮ่า...ฮ่า...เจ้าบอกให้ข้าปรากฏตัว ทั้งๆ ที่เจ้าเอง เป็นผู้กักขังข้าไว้

มรรคาสบตากับพันเกลียว แววตามีแต่ความงุนงง หญิงสาวขบริมฝีปากแน่น ตัดสินใจอย่างเร็ว

ออกไปจากที่นี่ก่อน บรรยากาศไม่เป็นมิตรเสียแล้ว

ชายหนุ่มถอยหลัง เห็นขบวนปิศาจยืนจ้องตาเขม็ง

คงต้องฝ่าออกไป พันเกลียวพบปัญหาและหาทางแก้โดยไว มรรคาพยักหน้าเตรียมตัว

เปรี้ยงๆๆๆ ฟ้าผ่าดังซ้อนๆ กัน ต้นไม้ลุกไหม้เป็นไฟโชติช่วง ร่างดำทะมึนเริ่มเคลื่อนไหว ขาก้าวเชื่องช้าแต่หนักแน่น ดวงตาขาวโพลนไร้ประกาย

ไอ้หมอ สั่งสอนพวกมัน ให้มันรู้ถึงพิษสงของข้า เสียงที่ไร้ตัวตนออกคำสั่ง

ฝูงปิศาจเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนแลดำครืดคล้ายกำแพงหนายากต้านทาน มรรคาสงบใจหาทางหนี พันเกลียวขบริมฝีปากนึกถึงบิดาผู้สั่งสอนวิชาให้

ยืนอยู่ข้างๆ ฉันนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นห้ามห่างเกินสองก้าว หญิงสาวสั่ง

เขาพยักหน้า อย่างไรก็ต้องไว้ใจหล่อน เวลานี้เขาเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า วิชาทางโลกที่ร่ำเรียนมา ใช้ประโยชน์อะไรกับที่นี่ไม่ได้เลย

หญิงสาวยกมือประนม ก้มลงมองดินที่พื้นก่อนหลับตา กำหนดแยกปฐวีธาตุ...ไม่นานผืนดินที่ทุกคนเหยียบก็สั่นสะเทือน ลมแรงอู้ๆ เมฆลอยต่ำแทบชิดยอดไม้ กองทัพปิศาจชะงักงัน ทันใด...ครืด...ครืน...เสียงดังเลื่อนลั่น แผ่นดินแยกเป็นส่วนๆ ปิศาจบางตนหล่นลงไปตามรอยแยก เสียงแผดร้องโหยหวนดังมาเป็นระยะ

พันเกลียวคว้ามือมรรคา นัยน์ตาเข้มสองคู่สบกัน มีความเชื่อมั่นอยู่ในนั้น

ตามฉันให้ทัน ไม่ต้องสนใจสิ่งรอบตัว

แผ่นดินโคลงเคลงคล้ายอยู่บนจานโยก เมฆดำยิ่งกดทับ ต่ำลงมาเรื่อยๆ พันเกลียวพามรรคาวิ่งพลางกระโดดข้ามรอยแยกอย่างคล่องแคล่ว มือดำใหญ่หลายมือ พยายามฉุดคว้าสองหนุ่มสาวเอาไว้ แต่ทั้งคู่สามารถหลบหลีกลื่นไหลได้ดั่งปลาน้อยในลำธารตื้น

จู่ๆ พันเกลียวก็ชะงักเท้าจนมรรคาหยุดแทบไม่ทัน เบื้องหน้าเป็นร่างสูงใหญ่ขนาดราวตึกสองชั้น ตัวดำมะเมื่อม มือโตเท่าใบตาล รูปหน้าผิดส่วนผิดสารรูป ไม่สามารถจำแนกว่าเป็นใบหน้าคนหรือสัตว์

โฮก...แฮ่... เสียงร้องพิกลสุดแยกแยะ

มือของมันกวัดแกว่งไล่จับพันเกลียว เท้าไล่เหยียบคนทั้งสองราวกับเห็นของเล่น หญิงสาวไม่มีเวลาหยุดสำรวมสมาธิ จึงได้แต่หลบหลีกไปมา มรรคากลับตั้งหลักก่อน เขารู้สึกเหมือนเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว

...ถ้าอย่างนั้นจะจัดการกับมันอย่างไร...ชายหนุ่มถามตัวเอง

คำตอบพุ่งปลาบทันที...

มรรคาก้มเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง บีบมันแน่นราวกับถ่ายทอดพลังแล้วขว้างออกไปสุดแรง...

ยักษ์ใหญ่หยุดชะงัก สองหนุ่มสาวค่อยได้พักหายใจ แต่ในเสี้ยววินาที มันก็เริ่มขยับตัว...

หึ หึ...ก้อนหินที่ปราศจากอำนาจแห่งเทพ มันก็แค่หินธรรมดา จะทำร้ายสมุนข้าได้อย่างไร

ถูกไล่ล่าอีกรอบ คราวนี้พันเกลียวมองเห็นทางหนี

เข้าไปในป่า...

ป่าแห่งนี้ผิดจากดงไม้ที่เห็นตอนแรกอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้สูงใหญ่กว่ารกทึบกว่า หนาแน่นด้วยขวากหนาม อีกทั้งไม่มีทางเดิน จำต้องบุกตะลุยฝ่าดงหนาม มุดลอดเครือเถาวัลย์ จนเสื้อผ้าขาดเป็นริ้วๆ เลือดไหลซิบๆ แต่ทั้งคู่ไม่อาจหยุดยั้ง เสียงฝีเท้า มัน ดังสะเทือนไปทั้งป่า ติดตามพวกเขากระชั้นชิดไม่ลดละ ฝนยิ่งเทกระหน่ำชนิดไม่ลืมหูลืมตา พายุพัดอู้ๆ รุนแรงจนแทบจะถอนไม้ใหญ่ได้

มรรคาเห็นพันเกลียวอ่อนล้าแล้ว แต่เขาไม่สามารถช่วย เส้นทางข้างหน้ามืดทึบ ตีบตัน การเข้ามาในป่าประหลาดเช่นนี้ดูเหมือนจะหาเรื่องติดกับดักเสียเอง

ไหวมั้ย เขาถามหญิงสาวทั้งๆ ที่รู้คำตอบ พันเกลียวกัดริมฝีปาก ไม่พูด

ทั้งคู่เปียกโชก หนาวเหน็บจนถึงข้อกระดูก แสงสว่างที่พอมีก็เลือนหายกับม่านฝน ตอนนี้มองไปข้างหน้าได้ไม่เกินสามก้าว ด้านหลังยังมีผู้ไล่ล่าติดตามทุกระยะ

...ทำยังไงดี...ทำยังไงดี...มรรคาเร่งถามตนเอง เขาแน่ใจว่าเคยพบเรื่องเช่นนี้มาแล้ว และสามารถผ่านพ้นอย่างปลอดภัย...ในเวลานั้น เขาทำได้อย่างไร

...สีกลักของชายจีวร...

ตามผมมา คราวนี้มรรคาฉุดพันเกลียวไปอีกทาง หญิงสาวไม่อาจขัดขืน หล่อนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแทบขาดใจ วิชาต่างๆ ที่ร่ำเรียนไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้คล่องแคล่วตามใจนึก จึงยอมปล่อยให้มรรคาฉุดมือไปอย่างไม่รู้เหนือใต้...คิดเยาะหยันตัวเองที่เคยนึกว่า แน่พอเจอผู้มีฝีมือจริงๆ กลับต้องหนีหัวซุกหัวซุน

มรรคาติดตามชายจีวรไปอย่างรวดเร็ว ทุ่มเทสมาธิจดจ่อยังจุดหมายเบื้องหน้า จนไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าใด สายตาเขาค่อยกระจ่างจ้า...

แดดยามบ่ายแผดแรงอยู่บนท้องฟ้า เมฆขาวลอยฟ่องกลางนภา สายลมเฉื่อยฉิว นกร้องขันคูชวนเบิกบานใจ

ป่าดงดิบท่ามกลางพายุฝนที่ผ่านมา กลายเป็นเพียงฝันร้ายในชั่วพริบตา...


ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าวัด ซึ่งร่มรื่นด้วยต้นไม้ สงบเงียบ ปลอดจากความวุ่นวายของผู้คน เสื้อผ้าเขามีร่องรอยขาดวิ่นอยู่บ้าง แต่แห้งสนิท ไม่เปียกปอน

สิ่งเหล่านี้พันเกลียวไม่แปลกใจ หล่อนกำลังสงสัย...ที่นี่เป็นที่ใด...

เข้าไปหาหลวงพ่อกันเถอะ มรรคารู้...ที่นี่เป็นวัดซึ่งเขาเคยมาทำบุญกับปีกแก้วและป้าแฉล้ม

ประตูวัดเปิดต้อนรับดังเดิม ศาลาใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านแต่ทว่าว่างเปล่า ไม่มีพระ ไม่มีเณร มรรคามองหาหลวงพ่อไม่พบ จึงเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ที่เขาจำได้ว่าเคยเห็นท่านออกมาจากคราวที่แล้ว พันเกลียวติดตามโดยไม่ออกความเห็น

มาหาหลวงพ่อหรือจ๊ะ หญิงวัยกลางคนนุ่งห่มชุดขาว ยืนอยู่กลางทางถามเขา

ครับ มรรคาตอบพลางนึกสงสัย แม่ชีคนนี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ จะรอมั้ยจ๊ะ คำถามนุ่มเบา

พันเกลียวจ้องสตรีชุดขาวตาเขม็ง ขนลุกซู่ไม่มีสาเหตุ

ค่ะ...รอ หล่อนหลุดปากตอบแทนมรรคา

ถ้างั้นมานั่งรอที่นี่ก็ได้

ทั้งคู่เดินตามแม่ชีมาถึงใต้กุฏิหลวงพ่อ มรรคาเห็นเงาสีกลักไหวๆ กำลังเดินกลับไปกลับมาหลังแนวไม้ลิบๆ

ผู้มาส่งเดินจากไปอย่างไร้เสียง ชายหนุ่มหยิบเสื่อที่เหน็บไว้ข้างบันไดมาปูแล้วนั่งรอพร้อมกับพันเกลียว รอบๆ ตัวมีแต่เสียงสายลมและใบไม้ ไม่มีการพูดจา สองหนุ่มสาวรู้ว่า ความสงบ คือสิ่งที่ผู้ทรงศีลต้องการ

พันเกลียวนั่งพับเพียบมือประสานบนตักเรียบร้อย แล้วหลับตาสงบใจรอ มรรคามองชายผ้าอังสะที่ไหวๆ ผ่านแนวไม้ นึกเปรียบเทียบกับชายจีวรสีกลักที่เห็นและนำพวกเขาออกจากป่ามาถึงที่นี่อย่างน่าพิศวง

ชายหนุ่มรู้ดี...วัดแห่งนี้ ห่างจากป่าสนธยานั่นมากเท่าใด...

ชั่วเวลาไม่นาน เขาสลัดความสงสัยทิ้ง สายตาถูกดึงดูดด้วยสีของผ้าอังสะ ชายหนุ่มมองสีผ้าที่เคลื่อนไหว ก่อนจะหยุดนิ่งตรงจุดกึ่งกลางระหว่างแนวไม้ หลับตาลงพร้อมจำสีผ้าไว้ในสำนึก...น่าแปลกที่เขาสามารถย่อและขยายขนาดของสีผ้าอังสะได้ตามใจ มันคล้ายของเล่นที่เขาเคยมี

กระทั่งสีผ้าหายไป กลายเป็นแสงสว่างขาวโพลน มรรคาลืมตา เห็นหลวงพ่อออกจากทางจงกรมแล้ว

มรรคาหันมองหญิงสาวข้างกาย พันเกลียวลืมตาก่อนเขา มือทั้งสองกำลังประนมไหว้ผู้ทรงศีล

อืม เป็นยังไงมายังไงล่ะ คำพูดทักทายเฉกเช่นปกติ มรรคาก้มลงกราบก่อนตอบ

หนีภัยมาพึ่งบารมีครับ

ขอขึ้นไปครองจีวรให้เรียบร้อยก่อนนะ แล้วจะลงมาคุย หลวงพ่อเดินขึ้นกุฏิ สองหนุ่มสาวค่อยมองหน้ากัน...กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่แล้ว

ตี๊ด...ตี๊ด... โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของมรรคาดังขึ้น ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ

มรรคาพูด

คุณมัคหรือครับ โอ้ยผมดีใจจัง เสียงประสิทธิ์ดังกระหืดกระหอบตามสาย

มีอะไรหรือ เขาถามเรียบๆ

มีอะไร...? โธ่คุณมัคพูดออกมาได้...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ พวกเรากำลังตามหาคุณกันให้จ้าละหวั่น น้ำเสียงกึ่งโมโห กึ่งโล่งใจ

ตามหาฉันทำไม ชายหนุ่มถามทั้งๆ ที่คิดว่ารู้เหตุผลดี

ก็คุณเล่นหายเข้าไปใน ป่าสนธยา นั่นตั้งนาน พวกผมใจไม่ดีกัน อุตส่าห์เกณฑ์คนออกตามหาจนทั่วป่าก็ยังไม่เจอ ร้อนใจกันแทบตาย

แล้วเป็นยังไง เขาถามเหมือนไม่เดือดร้อน

โธ่คุณมัค เห็นใจพวกผมหน่อยเถอะ คุณเล่นหายตัวไปเป็นชั่วโมงแบบนี้ ตามหาก็ไม่เจอ แล้วจะให้พวกผมคิดยังไง โชคดีนะที่ผมนึกถึงโทรศัพท์ได้ ประสิทธิ์ถอนใจพลางถามต่อ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ

อยู่ที่วัด... เขาบอกชื่อวัดแห่งนี้

แล้ววัดนี้อยู่ที่ไหนครับ ผมไม่ยักรู้

นัยน์ตาชายหนุ่มฉายแววลังเลชั่วแวบ ก่อนจะตอบตามความจริง

หา...คุณอยู่ที่นั่นได้ยังไงครับ แล้วไปยังไงกัน ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ ประสิทธิ์ตกใจยิ่งกว่าเจอผี

ในเมื่อรู้จักสถานที่แล้ว ก็มารับผมด้วย ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น

มรรคาตัดบทพร้อมหยุดการติดต่อ พันเกลียวมองชายหนุ่มด้วยแววตาประหลาดใจจนปิดไม่มิด

คำสั่งห้ามถามของคุณ รวมถึงฉันด้วยหรือเปล่า หล่อนถาม

คุณอยากรู้เรื่องอะไร

เรามาที่นี่ได้อย่างไร หญิงสาวจ้องตาเขาเขม็ง

ถ้าผมตอบว่า ไม่รู้ คุณจะเชื่อมั้ย เขาย้อนถาม

แล้วถ้าฉันถามว่า ใคร นำเรามาที่นี่ คุณจะตอบฉันได้ไหม วาจาของพันเกลียวบอกถึงความทันกัน

มรรคาไม่ตอบเพราะหลวงพ่อกำลังลงจากกุฏิ มานั่งบนแคร่ไม่ห่างจากเสื่อนัก ดวงตาของท่านฉายแววปรานีดังเดิม และลึกลงไปมีรอยยิ้มแย้ม เอ็นดู

เอ้า...หนีภัยอะไรมา เล่าให้ฟังทีสิ ท่านพูดเข้าประเด็น

มรรคาเล่าให้ฟังอย่างรวบรัด ได้ใจความ พูดจบ ผู้ฟังเพียงยิ้ม ไม่มีกิริยาใดแสดงมาให้เห็นชัด

เอาตัวรอดมาได้ก็ดีแล้ว ท่านพูดอย่างนั้น

แต่ผมยังสงสัย จ้าว เกี่ยวข้องกับผมยังไง

แล้วไม่สงสัยหรือว่า มาที่นี่ได้ยังไง ท่านเหลือบไปทางพันเกลียว

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพูด แม้จะมีความลังเล แต่ก็เจือความเชื่อมั่นหลายส่วน

ดิฉันเคยรู้จัก วิชาย่นระยะทาง แต่ดิฉันยังไม่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้

แล้วใครล่ะทำได้ หลวงพ่อมองมรรคา

ถ้าเขาทำได้ถึงขั้นนั้น คงไม่ต้องให้ดิฉันช่วยกระมังคะ พันเกลียวเข้าใจสายตาของท่าน

มาได้ก็ดีแล้ว...สนใจทำไมว่า ใคร พามา ท่านพูดง่ายๆ ปิดประเด็นการถามทั้งมวล


ตะวันคล้อยบ่าย เงากุฏิเอนไปทางทิศตะวันออก ใต้ถุนเย็นสบายลมโกรก อากาศสดชื่น แต่หนุ่มสาวทั้งสองยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนสีหน้า

ผมสงสัย... มรรคาเริ่มปัญหาใหม่ จ้าวบอกว่า ผมเป็นคนกักขังเขา และยังเคยให้สัญญากับเขาไว้

โยมเชื่อมั้ยเล่า

คำถามง่ายๆ แต่เหมือนซุงท่อนใหญ่พุ่งชนหน้าอกเขาอย่างจัง

มรรคาอ้ำอึ้ง แววตาสับสน หลวงพ่อยิ้มนิดๆ

ถ้า เชื่อ ก็บ้าชายหนุ่มสะดุ้ง ถ้า ไม่เชื่อ ก็โง่อีก

เสียงอธิบายต่อมาเสมือนสายน้ำไหลผ่านแก่งหิน...

พระพุทธเจ้าเคยสอนหลักของความเชื่อไว้ว่า...คนเราไม่ควรเชื่อด้วยเหตุผลต่างๆ ถึงสิบอย่าง...แต่การจะตะบี้ตะบันไม่เชื่อไว้ก่อนมันก็เกินไป การที่คนเราจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรนั้น มันต้องมีสติไตร่ตรองให้รอบคอบหาเหตุผลมารองรับ และต้องพิสูจน์ให้รู้แน่ เมื่อนั้นจึงควรบอกแก่ตัวเองได้ว่าจะเชื่อหรือไม่

มรรคาก้มหน้าไตร่ตรอง ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

ถ้าเช่นนั้น ผมก็ต้องระลึกชาติให้ได้ จึงจะพิสูจน์ว่าคำพูดนั้นจริงหรือไม่

หลวงพ่อไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

ผู้ที่สามารถระลึกชาติได้อย่างแน่นอน ไม่คลาดเคลื่อน ก็เห็นจะมีแต่ผู้ที่สำเร็จ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เท่านั้นแหละ

ถ้าอย่างนั้น ข่าวที่เคยลงว่ามีเด็กระลึกชาติได้ หรือคนที่จำชาติก่อนๆ ได้ล่ะครับ ชายหนุ่มสงสัย

โยมคิดว่าอย่างไรล่ะ หลวงพ่อย้อนอย่างนี้ มรรคาได้แต่อมยิ้ม ในวัฏสงสารล้วนมีแต่สิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน การจดจำอดีตชาติ บางครั้งอาจเกิดจากการอธิษฐานจิต หรือบางทีก็มีตำนานไม่ใช่หรือ ที่บอกว่า หากใครได้ดมดอกปาริชาตบนสรวงสวรรค์แล้วจะทำให้ระลึกชาติได้

ถ้าอย่างนั้น... มรรคาถามค้าง

จงหาหนทาง ด้วยตัวของตัวเอง หลวงพ่อสรุป


ถนนลูกรังที่ทุกคนผ่านมาดูจะเหยียดยาวเหลือเกิน วัดที่ตั้งใจไปก็ยังไม่ถึงเสียที แม้จะมีป้ายบอกระยะเป็นช่วงๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้เส้นทางนั้นสั้นลงสักเท่าใด

คุณมัคเข้ามาได้ยังไงกันน้า...ตั้งไกลอย่างนี้ ประสิทธิ์บ่นพึมพำกับนายช่างใหญ่

ก็คงนั่งรถมานั่นแหละ หรือคุณว่าเขาเหาะมากัน คำโต้ตอบไม่จริงจังนัก

แล้วมาตอนไหน ทำไมพวกเราไม่เห็น แถมยังไม่บอกไม่กล่าวใครอย่างนี้อีก ทำเอาพวกเราวุ่นวายกันใหญ่ ประสิทธิ์พูดแล้วหันไปทางคนขับรถ เฮ้ย...แนวกำแพงยาวๆ นั่น ใช่วัดที่เราจะไปกันหรือเปล่าวะ

ผมว่าใช่นะครับ คนขับรถตอบ

พอพ้นถนนลูกรังเข้าสู่บริเวณวัด ทุกคนพบความรู้สึกตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

แม่โว้ย นี่แหละวัดป่าจริง ความเหน็ดเหนื่อยถูกทดแทนด้วยความสงบร่มรื่น

ผมว่าความสงบของที่นี่จะเสียไปก็เพราะเสียงคุณนี่แหละ นายช่างติง

นั่นไงคุณมัค ประสิทธิ์ไม่สนใจ เขาเห็นมรรคากับพันเกลียวกำลังถือไม้กวาดช่วยพระเณรกวาดใบไม้อยู่ตามทางเดิน

มรรคาเงยหน้า ทักเสียงปกติ

พวกคุณมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้อีก เขาพูด รอให้ผมช่วยหลวงพ่อท่านกวาดใบไม้เสร็จเมื่อไหร่ เราก็ลาท่านได้เลย

มรรคาทำงานต่อโดยไม่สนใจอาการตะลึงลานของลูกน้อง สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วตกลงกันอย่างเข้าใจ ทั้งคู่หาไม้กวาดด้ามยาวได้คนละด้าม แล้วเข้าไปช่วยพระเณรทำงานอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง


ณ ที่นี้หากมองด้วยสายตามนุษย์จะเห็นแค่ดงไม้ขนาดย่อม มีต้นไม้ประปรายเป็นหย่อมๆ ยืนท้าแดดลมอย่างไม่เกรงกลัว ล้อมรอบด้วยที่ดินโล่งเป็นแนวกว้าง มีรถแทรกเตอร์กำลังเกรดไถ ทำงานไม่รู้เหน็ดเหนื่อย...แต่ถ้าใครมีสายตาอัน พิเศษ จะมองเห็นป่าอีกแห่งซ้อนทับเข้ามา

ที่นั่นถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาเข้ม สายลมกระหน่ำหนัก แมกไม้สั่นกราว เม็ดฝนโหมกระแทกไม่ปรานี แผ่นดินสะเทือนด้วยความพิโรธ

ไอ้หมอ มึงบอกข้าสิ ทำไมพวกมันถึงหนีรอดจากเขตกฤตยาคมของเอ็งได้ น้ำเสียงสะเทือนลั่นมาจากต้นไทรขนาดยักษ์ ยืนต้นราวกับจอมปิศาจร้าย

ข้าน้อยไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ เงาดำๆ สูงใหญ่ กำลังหมอบคุดคู้ หน้าซุกดิน ตัวสั่นระริก

อีกะพ้อ น้ำเสียงเรียก ห้วน สั้น เงารางๆ ของหญิงสาวปรากฏเกือบจะทันที

นังผู้หญิงที่มากับมัน เรียนรู้อิทธิวิธีจากที่ใด คำถามข่มขู่ วางอำนาจ

จากพ่อของนางเจ้าค่ะ...จ้าว

หึๆ อีนี่มันมีฝีมือพอตัว พ่อของมันคงเก่งไม่เบา

แต่พ่อของนางตายแล้ว หญิงสาวกล่าวเสริม

ถึงอีนังนั่นมันจะเก่ง แต่ก็ไม่อาจรับมืออสุรกายเสกของข้าน้อยได้ เสียงแหบห้าวของผู้ชายพูดเชิงเอาหน้า

ฮ่า...ฮ่า... เสียงหัวเราะกระหึ่ม ถ้าอสุรกายเสกของเอ็งเก่งจริง ทำไมถึงตามพวกมันไม่ทัน แถมยังปล่อยให้พวกมันหนีจากเขตอาคมได้

คำพูดย้อนแทบทำให้ผู้หมอบคุดคู้ อยากแทรกร่างลงไปในดิน

เอ็งอย่าเพิ่งทระนงในฝีมือนักเลยวะ วิชา ของข้ายังมีอีกมากมาย อย่างเอ็งยังเรียนไปไม่ถึงสักกระผีกด้วยซ้ำ

ท่ามกลางความอึดอัด เม็ดฝนไม่ขาดสาย ฟ้าแลบดั่งมีงานรื่นเริง เสียงของจ้าวเหมือนฟ้าคำราม

อีกะพ้อ...มึงบอกมาสิว่า งานที่มึงรับปากว่าจะทำน่ะ มันไปถึงไหนแล้ว ทำไม มัน ยังจำสัญญาไม่ได้

ข้า...ข้าน้อยพยายามแล้ว...แต่มันต้องใช้เวลา หล่อนละล่ำละลัก

เวลาอันใด...ข้ารอมานานพอแล้ว ขาดคำ เงารางๆ ของหญิงสาวก็ปลิววูบคล้ายเศษผ้าบางๆ ถูกพายุพัด เสียงกรีดร้องดังโหยหวน...

ไอ้หมอ เอ็งเคยบอกว่า ข้างกายมันมีผู้หญิงอีกคน ที่มีอำนาจแห่งเทพคุ้มครองใช่หรือไม่

ขอรับจ้าว...ผู้หญิงคนนี้เป็นคนอนุญาต เปิด บ้านให้ข้าน้อยกับอีกะพ้อเข้าถึงตัวมันได้

มันรู้ได้ยังไง ทำไมมันต้องทำอย่างนั้น

ข้าน้อยไม่ทราบ แต่เท่าที่ดู...ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าตนเองมีอำนาจเทพคุ้มครอง

ข้างกายมันมีผู้หญิงที่ พิเศษ ถึงสองคนทีเดียวหรือ เสียงจ้าวครุ่นคิด ดี...ไอ้หมอ...เพื่อเป็นการตัดไฟเสียก่อน เอ็งต้องแยกผู้หญิงสองคนนั้นออกจาก มัน ให้ได้ ข้าไม่ต้องการให้มันมีผู้ช่วย

ขอรับ...แต่... มันเริ่มลังเล ...แต่ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าจะกำจัดหญิงที่มีอาคมคนนั้นได้อย่างเด็ดขาด

เอ็งคิดจะให้ข้าสอน วิชา เพิ่มล่ะสิ จ้าวรู้เจตนาของมัน

ความจริง ข้าน่าจะลงโทษเอ็งมากกว่าที่ทำงานเกินคำสั่งข้า ตอนที่มันรื้อศาลของเอ็ง ข้าอนุญาตให้ไปขู่ขวัญมันเท่านั้น แต่เอ็งกลับจะเล่นมันถึงตาย เอ็งก็รู้ ถ้าหากมันตาย ข้าจะต้องถูกขังอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด

ไม่มีคำตอบ นอกจากอาการสั่นระริกดังลูกกวางกลัวธนู

กะพ้อปรากฏกายอย่างบอบช้ำ อิดโรย

อีกะพ้อ หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เอ็งไปจัดการกับหญิงสาวที่มีอาคม

ใบหน้าที่ซีด ยิ่งเผือดขาวเข้าไปอีก

ข้ารู้นะว่านังนี่มัน เคย เป็นใคร กะพ้อก้มหน้างุด และข้าก็รู้ว่ามันกับเอ็งผูกพันกัน

เงียบไปนาน กว่าจ้าวจะพูดช้าๆ

ทำให้นังนี่อยู่ห่างจาก มัน ที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม...

กะพ้อตัวแข็งราวกับหิน ยามใดที่จ้าวใช้น้ำเสียงเช่นนี้ หล่อนจะรู้สึกไม่ต่างจากนักโทษรอดาบประหาร

ส่วนเอ็ง...ไอ้หมอ... จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงเดิม ไม่ห้วน ไม่ดุดัน เอ็งต้องแยกผู้หญิงที่มีอำนาจเทพคุ้มครองออกไปให้พ้น

แต่... มันหลุดปากแย้ง ทำให้ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนโดนทัฑณ์ทรมานที่มองไม่เห็น

ข้ายังไม่สอนอาคมเพิ่มให้เอ็ง เสียงของจ้าวนุ่มลง แต่น่าสะพรึงกลัว อำนาจเทพก็มีช่วงเวลาอ่อนเบา เอ็งจงใช้เวลานั้นกำจัดนาง

ขะ...ขอ...รับ...จ้าว มันฝืนใจเอ่ยปากอย่างยากเย็น

ไปจัดการสิ เสียงของจ้าวทอดเบาลง สายฝนซาเม็ด ลมนิ่ง เมฆดำแยกตัว

ท้องฟ้าสีหม่น สมุนทั้งสองละลายไปกับหยาดน้ำที่ซึมสู่ผิวดิน...ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน


ปีกแก้วดูทีวี แต่ใจไม่อยู่กับเนื้อตัว สายตาคอยสอดส่องไปหน้าประตู หวังจะได้เห็นแสงไฟหน้ารถอันคุ้นเคย แล้วก็ผิดหวังทุกครั้ง เด็กสาวผุดลุกผุดนั่งหลายตลบ ดูนาฬิกาเป็นรอบที่ยี่สิบ...มรรคาก็ยังไม่กลับมา

หล่อนรู้ว่า ที่นั่น มีอะไรไม่ชอบมาพากล แม้จะมีพันเกลียวอยู่เคียงข้างก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน ไม่เช่นนั้นคราวที่แล้ว คุณอา คงไม่ให้หล่อนแอบเอากลีบดอกไม้ประหลาดใส่ในกระเป๋าเขาหรอก

นึกถึงคุณอาแล้วยิ่งโมโห ช่างเงียบหายไม่ยอมติดต่อ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหล่อนร้อนใจ...แต่พูดมากก็ไม่มีประโยชน์ คุณอาเป็นเช่นนี้มาตลอด ตั้งแต่ ติดต่อ กับหล่อน

แอ้ด... เสียงประตูใหญ่หน้าบ้านเปิด ปีกแก้วลุกขึ้นรีบไปดูที่หน้าต่าง ไม่เห็นแสงไฟหน้ารถ นึกในใจว่า อาจเป็นเจ้าชัยออกไปนอกบ้าน แต่ไม่น่าใช่ เพราะเจ้าชัยต้องคอยเปิดประตูให้มรรคา

...หรือมรรคากลับมาถึงแล้ว...

ปีกแก้วดึงประตูมุ้งลวด ใส่รองเท้าแล้ววิ่งไปยังประตูหน้าบ้าน หวังได้เห็นมรรคาขับรถเข้ามา แต่แล้วหล่อนกลับต้องมายืนคว้างท่ามกลางความว่างเปล่า

ประตูหน้าบ้านปิดสนิท ถนนในซอยเงียบกริบ ไม่มีเสียงยวดยาน ปีกแก้วหนาววูบขึ้นมาเฉยๆ ลมแปลกๆ เสียดผ่านผิวกายคล้ายมือเย็นชืดของศพในห้องดับจิต

ปีกแก้วหันขวับ...ไม่มีใคร...ทุกสิ่งเหมือนหยุดนิ่ง

ทันใด...หูหล่อนก็แว่วเสียงฝีเท้ากำลังเดินช้าๆ มาบนถนนเลียบกำแพงหน้าบ้าน เด็กสาวเคลื่อนกายไปที่ประตูสอดสายตามองลอดออกไป...

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP