ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าปล่อยให้โรคประจำตัวกำเริบโดยไม่ยอมรักษา จนเสียชีวิตไป จะถือเป็นการฆ่าตัวตายไหม



ถาม
– ถ้าเรารู้ตัวว่ามีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ยอมรักษา
เพราะถ้ารักษาก็ต้องไปกู้เงินมาจนเป็นหนี้ แล้วสุดท้ายอาการเจ็บป่วยนี้ก็ไม่สิ้นสุด
ต้องกินยาอย่างหนึ่งตลอดชีวิต เป็นภาระต่อตนเองและผู้อื่นด้วย
จนในที่สุดโรคนี้ก็กำเริบจนเราตายเอง
อันนี้จะเหมือนกับการฆ่าตัวตายทางอ้อมไหมคะ


ตอบง่ายๆ แบบคร่าวๆ ก่อนนะว่ามันไม่เหมือนการฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายหมายความว่าไม่มีโรค ไม่มีภัย ไม่มีอะไรเบียดเบียน
อยู่ๆ เราก็จะไปทำให้ร่างกายมันหยุดทำงานเสีย
แต่อันนี้ร่างกายมันกำลังนับถอยหลังสู่การหยุดทำงานโดยตัวของมันเอง
โดยมีโรค มีวิบากเก่าอะไรบางอย่างนั่นแหละ มันเบียดเบียนอยู่
อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ไปพยายามรักษามันก็ตาม
เนื่องจากมีเงื่อนไขแล้วว่าถ้าพยายามรักษา
อย่างไรมันก็ต้องมีอาการเรื้อรังยืดเยื้ออยู่ดี ไม่ใช่ว่ารักษาแล้วจะหาย
แถมยังต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ก็โอเค ถือว่าไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ
แต่ว่าพิจารณาเห็นแล้วว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อยากจะให้เป็นภาระแก่ใครนะครับ



ร่างกายนี่พระพุทธเจ้าไม่ว่าหรอกนะ
บางคนคือปล่อยให้โรคกำเริบถึงจุดหนึ่งที่มันทนไม่ไหวแล้ว
แล้วจะไปทำให้ร่างกายมันหยุดทำงานเร็วขึ้น พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ว่าเลยนะ
แต่สำคัญที่ตรงนี้ วิธีที่เรานับถอยหลังสู่การหยุดทำงานของร่างกาย
สำคัญที่ตรงนี้จริงๆ คือพระพุทธเจ้าท่านให้เน้นว่ามีสติอยู่หรือเปล่า

คำว่ามีสติอยู่ไม่ใช่รู้สึกตัวโดยไม่มีเป้าหมายนะ
ไม่ใช่มานึกว่านี่ฉันรู้สึกตัว ฉันรู้สึกตัว ฉันรู้สึกตัวอยู่ ไม่ใช่เอาแค่นั้น

แต่ท่านให้เอาทุกขเวทนาทางกายที่กำลังปรากฏอยู่
ในขณะถอยหลังสู่การหยุดทำงานของร่างกายนั่นแหละมาเป็นตัวตั้ง



คนที่เจ็บคนที่ป่วยนี่นะ โดยเฉพาะคนที่ใกล้ตาย คนที่จะมีโรคภัยเบียดเบียน
มันจะมีทุกขเวทนาทางกายเข้ามา ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
เหมือนเป็นคลื่นแทรกคลื่นรบกวนนะ ที่จะทำให้จิตใจกระสับกระส่าย
แต่ถ้าหากว่าเราเอามาเป็นอุปกรณ์เจริญสตินะ เหมือนกับพระโคธิกะ
ลองไปค้นดูในอินเตอร์เน็ต ท่านเจ็บป่วยอย่างหนักเลยนะ
แล้วก็ขณะที่กำลังจะตายด้วยวิธีของท่านนี่นะ
คือท่านทนไม่ไหว ท่านก็เลยเร่งรัดให้ร่างกายหยุดทำงานเร็วขึ้นนิดหนึ่ง
โดยการทำให้เกิดบาดแผลในร่างกาย
ให้มันเป็นการระบายเลือดออกมา เลือดเสียๆ อะไรแบบนี้นะ
ท่านก็รู้ว่าเดี๋ยวท่านก็จะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว


คือหมายความว่าอาการท่านเพียบอยู่แล้ว
ไม่ใช่ว่าท่านไปฆ่าตัวตายแบบยังไม่ทันเพียบหนักแล้วนั่นนะ
แต่มันมีจุดหนึ่งที่ท่านทนอาพาธไม่ไหว
คือในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไรนะ
แต่ว่าท่านก็ใช้วิธีกรีดเลือดให้เลือดที่เป็นพิษออกมา
เสร็จแล้วท่านก็ดูในระหว่างนั้นแหละ
ว่าทุกขเวทนามันแก่กล้า มันกำเริบขึ้นมาอย่างหนัก แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ หายไป
ท่านก็ดู ดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดสติเกิดสมาธิ
เห็นความจริงว่าทุกขเวทนานี่มันไม่เที่ยง
ทุกขเวทนาทางกาย มันสักแต่เป็นสภาวธรรม
กระทั่งมองเห็นว่าแม้กระทั่งร่างกายที่จิตท่านครองอยู่
ก็เป็นเพียงสภาวะของธรรมะ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ท่านก็สามารถบรรลุถึงอรหัตผลได้



อันนี้ฟังดีๆ นะ ไม่ได้บอกให้เร่งรัด
เพราะว่าเรายังไม่ได้เจริญสติได้ถึงขั้นนั้น ไม่ควรที่จะไปเร่งรัดอะไร
แต่ถ้าหากว่ามันจะต้องเป็นไปอยู่แล้ว โดยที่เรารู้สึกว่าไม่อยากไปพยายามยื้อมัน
ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะต้องกังวลว่านี่คือบาปนี่คือกรรม
ขออย่างเดียวว่าเวลาที่มันยังเหลืออยู่ เจริญสติให้มากที่สุด
รอจังหวะที่มันจะสิ้นสุดด้วยการมีความพร้อมนะ

ผมก็เจอมาหลายรายที่รู้ตัวว่าใกล้จะไปแล้ว
บางคนเหลือไม่กี่อาทิตย์ บางคนเหลือไม่กี่เดือนอะไรแบบนี้นะ
ก็ส่วนใหญ่เห็นสีหน้าสีตามีความสุขยิ่งกว่าคนที่จะมีชีวิตต่อไปนานๆ เสียอีกนะ
แล้วก็ลักษณะของคนที่มีความพร้อมที่จะต้อนรับความตาย
โดยมากก็จะเป็นพวกที่รู้เลยว่าตายเมื่อไหร่สบายเมื่อนั้นนะครับ



อย่าไปมองว่าการที่เราพยายามยื้อ มันคือการทำบุญเสมอไป
ขอให้มองว่าจะยื้อไว้หรือว่าจะปล่อย
ดูที่ว่าเรามีสติในการยื้อหรือว่ามีสติในการปล่อยแค่ไหน

ถ้าหากว่ามีสติอยู่ แล้วก็เห็นว่าร่างกายเห็นว่าสภาวะทางจิตทางใจ
มันเป็นของที่ไม่น่าเอา เป็นของไม่เที่ยงนะ มันดีเสมอแหละ



แล้วก็อย่างหนึ่งนะ คือขอบอกไว้นิดหนึ่ง
ถึงแม้ว่าสมมติว่าเราไม่รู้นะว่าจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่
จะนานหรือว่าจะสั้นเพียงใดก็ตาม
ขอให้มองแล้วกันว่ามันเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต
จะเหลือแค่สองวันหรือจะเหลืออีกสองปี
ถ้าหากว่าเรามีความเตรียมพร้อม
ทั้งในเรื่องของการที่จะทำใจให้มันถอนออกไปจากโลกนี้นะ
ถอนด้วยการให้ทาน ถอนด้วยการรักษาศีล ถอนด้วยการเจริญสติ
คืออะไรๆ ที่แล้วๆ มา อภัยให้หมด ปล่อยให้หมดนะ
แล้วก็อะไรที่เรายังรักษา เป็นศีล เป็นคำพูดที่มันมีความสว่างมีความนุ่มนวลไม่ได้
เราพยายามทำเสีย
คือสร้างฐานของลักษณะของใจที่มันไม่ข้องไม่ติดไม่เกี่ยวอยู่กับโลกให้มากที่สุดนะ



แล้วก็สุดท้ายก็คือเจริญสตินะครับ
จะมีสภาพร่างกายที่มันแย่แค่ไหน เราเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนนี้ที่มันยังดีๆ อยู่
ที่มีสติ สามารถเขียน สามารถพูด สามารถอ่านได้ สามารถฟังได้ อย่างนี้แหละนะ
ให้สติที่มันยังดีอยู่นี่ทำงานให้เต็มที่
ชีวิตที่เหลืออยู่จะนานแค่ไหนไม่สำคัญ
สำคัญที่ว่ามันมีค่ากับเราที่สุดในชีวิตก็แล้วกัน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP