วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๕๑



Tao Nam Kang - front re




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บ่ายคล้อย

            บูรพาเดินลงจากตึกเรียนไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ข้างตัวอาคาร น่าแปลกที่แถวชายคาตึกมีนักศึกษากลุ่มย่อยรวมตัวกันมากผิดปกติ แต่ละกลุ่มแอบชี้ชวน แสดงความสนใจยังโต๊ะหินใต้ร่มไม้ใกล้ที่จอดรถ

            ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตานักศึกษาคนอื่น พอเห็นแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าขัน ๆ สะพายกระเป๋าเดินตรงไปยังโต๊ะหินโดยไม่เกรงเป็นเป้าสายตานักศึกษาร่วมสถาบัน

            ร่างบนเก้าอี้หินดูโดดเด่น สะดุดตาทั้งที่เจ้าตัวไม่แสดงท่าทีอะไร ใบหน้าขาวจัด ริมฝีปากแดงสดเป็นธรรมชาติ กับผมตัดสั้น เผยดวงหน้าอ่อนเยาว์ จึงไม่แปลกที่สาว ๆ แถวนั้นจะพากันหยุดมองอย่างสนใจ และชี้ชวนกันดู

            โดมนั่งอ่านหนังสือเรียนฆ่าเวลา พอเห็นเงาไหว ๆ ของคนที่เดินมาใกล้ก็เงยหน้า แล้วยิ้มรับโดยอัตโนมัติ

            “หวัดดีพี่บู” เขาเอ่ยปากทักทายก่อน

            บูรพานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เหลือบตามองเหล่านักศึกษาที่กำลังซุบซิบอยู่ห่าง ๆ ท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ อยากเข้ามาทักทายศิลปินคนใหม่ แต่ยังแหยง ๆ ไม่แน่ใจ ดูเหมือนจะเกี่ยงให้คนอื่นเข้ามาก่อน

            “ว่าไงโดม...เปลี่ยนทรงผมใหม่แบบนี้จำเกือบไม่ได้ นึกว่าบอยแบนด์ที่ไหนซะอีก” บูรพาแซว

            “ก็ตัดให้มันสั้นไปอย่างนั้นเองแหละพี่” เด็กหนุ่มตอบไม่สนใจ

            “ทางค่ายเขาไม่ว่าอะไรเหรอ เล่นเปลี่ยนลุคตัวเองแบบนี้”

            “ไม่หรอกครับ” โดมตอบง่าย ๆ ทั้งที่จริง มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเล่นเอาทั้งทีมสไตลิสต์ ครีเอทีฟ โปรดิวเซอร์ ต้องรีบหาทางปรับแนวให้เข้ากับลุคใหม่ของเขาอย่างวุ่นวาย

            “นึกยังไงมาเที่ยวถึงที่นี่” บูรพาถาม

             “ผมมาหาพี่ ไม่ได้มาเที่ยว” เด็กหนุ่มยังคงความตรงไปตรงมา

            บูรพาเหลือบมองกลุ่มนักศึกษาที่กำลังมองมา แอบสนใจ น่าจะมีหลายคนคิดว่าพวกเขาเป็นคู่เกย์ แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา ยอมเป็นเป้าสายตา และหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับโดม

            “มีอะไรล่ะ” เขาถามพลางเหลือบตามองหนังสือที่เด็กหนุ่มอ่าน “หรือจะให้พี่ช่วยติวหนังสือสอบเอ็นทรานซ์”

            โดมก้มมองหนังสือ ทำหน้าเซ็ง ๆ บอกอารมณ์ชัดเจน

            “ก็มีส่วนนะพี่ แต่ผมมีเรื่องสำคัญกว่านี้จะรบกวน ขอร้อง”

            “เรื่องอะไร?” เจ้าโดมลงทุนพูดขนาดนี้ นับว่าไม่ธรรมดา

            “ขอผมไปอาศัยบ้านพี่ได้มั้ย” เด็กหนุ่มพูดง่าย ๆ

            “เฮ่ย!” บูรพาอุทาน

            “ตอนนี้เรามีทั้งบ้านพ่อ บ้านแม่ให้เลือกอยู่ มีงานทำ มีรายได้ เป็นคนดังขนาดนี้แล้วจะมาอาศัยพี่ทำไม” บูรพาสงสัย พลางมองไปรอบ ๆ ให้โดมเห็นว่าเขาเป็นที่รู้จักขนาดไหน

            โดมมองตามสายตาบูรพา เข้าใจสภาพตนเองในปัจจุบัน ถอนใจเบื่อหน่าย ก่อนรีบรวดรัดเข้าประเด็น จะได้หลบไปจากตรงนี้ก่อนจะมีแฟนคลับใจกล้ารายแรกบุกมาทักทาย

            “ผมอยากอยู่ใกล้ลานน่ะพี่...ถึงเขาจะไม่ชอบผม แต่ผมก็อยากอยู่ใกล้ มีอะไรจะได้คอยช่วยเขาบ้าง”

            บูรพาจุกอก พูดไม่ออก เขาไม่ใช่ผู้ชายใจกว้างขวางอะไรนัก แค่เลียบเมืองคนเดียว ก็ทำใจลำบาก อึดอัดจะแย่แล้ว ยิ่งมาพ่วงเจ้าโดมเข้าไปอีก ต่อให้รู้ว่าลานน้ำค้างมองเด็กหนุ่มคนนี้แค่น้องชาย บางครั้งยังอดขัดหูขัดตาไม่ได้ จึงตัดสินใจพูดตรงไปตรงมา

            “ถ้าเกิดพี่หึง แล้วไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับลาน...อยากอยู่ใกล้ ๆ อยากดูแลเขาคนเดียวล่ะ...คงลำบากใจเหมือนกันนะ ที่จะให้โดมอยู่ด้วย”

            “คงจะจริง” โดมยอมรับ ก่อนยิ้มแปลก ๆ “...แต่ผมก็รู้ว่าพี่เป็นลูกผู้ชายพอ...”

            คำพูดนี้เหมือนหมัดตรง เล่นเอาบูรพามึน ตั้งตัวไม่ติด

            “พี่บูที่ผมรู้จัก เป็นคนดี เป็นลูกผู้ชายที่ทนฟังผมบ่นเรื่องความรักต่อลานได้โดยไม่ถีบผมไปไกล ๆ แถมช่วยให้กำลังใจ มีคำแนะนำดี ๆ อีก” รอยยิ้มแววตาของโดมทำเอาบูรพารู้สึกละอายใจ

            “พี่รู้จักลานมาตั้งหลายปี ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ถ้าพี่ไม่รัก ไม่ชอบเขามันก็แปลก ต่อให้พี่หึงเขา...ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผมเองอาจไม่มีหวังอะไรในตัวเขาเลย ใจแค่อยากจะช่วย อยากมีโอกาสดูแลเขาเท่านั้นเอง...ถ้าคนที่สมหวังเป็นพี่...ผมจะไม่รู้สึกเสียใจเลย”

            โดมอธิบายชัดเจน...ชัดเจนจนบูรพานึกละอายใจ เห็นความตีบแคบในจิตใจตนแล้วหดหู่...ทำไมความรักถึงทำให้คนเราเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้

             รักแท้ควรมีจิตใจที่เปิดกว้าง เผื่อแผ่ความรู้สึกดี ๆ แก่กันไม่ใช่หรือ

             ความรักที่ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวขนาดนี้ ไม่น่าใช่รักแท้!

            คนที่อยู่วงนอกจะดูออกว่าเขาชอบลานน้ำค้าง ที่โดมไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญตั้งแต่แรก เพราะหญิงสาวไม่แสดงท่าทีต่อเขาเกินเพื่อน

            ถึงตอนนี้...เวลาที่โดมรู้ว่าตนเองแทบไม่มีความหวัง เขาจึงสามารถมีใจยินดีได้ หากลานน้ำค้างจะมีจิตใจตอบต่อบูรพา

            “แล้ว...ถ้าเป็นคุณเลียบเมืองล่ะ?” บูรพาถามคำถามที่ตนเองได้ยินก็เจ็บปวดเหมือนกัน

            “ลานเขาบอกผมตั้งนานแล้วครับ ว่าเขาชอบเลียบเมือง” โดมตอบตามตรง ลักษณะท่าทางของลานน้ำค้างในครั้งนั้นยังจดจำได้ “แต่ตอนนั้นเลียบเมืองเขาไม่มีทีท่าอะไร...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้หญิงอย่างลานอยู่ในโลก”

            โดมเงียบครู่ใหญ่ ดวงตาไม่อาจปกปิดความเจ็บปวด แสลงใจ

            “ตอนนี้พวกเขารู้จักกันแล้ว...เลียบเมืองเขาก็ช่วยลานขนาดนั้น...” เด็กหนุ่มนิ่งอีกครู่กว่าจะหลุดคำพูดสุดท้ายออกมาได้ “ถ้าพวกเขาใจตรงกันได้...ผมก็ต้องยินดี ยอมรับอย่างลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอพี่”

            ถึงปากจะบอกอย่างนั้น ใจเจ้าตัวกลับร่ำร้อง เจ็บปวดอยู่ข้างใน

            บูรพาเห็นโดมแล้ววกกลับดูใจตนเอง...โดมมีหัวใจลูกผู้ชาย แล้วเขาล่ะ จะยอมให้ใจมันตีบตันด้วยความเห็นแก่ตัวเช่นนั้นหรือ?

            เขาก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน!

            “เออ...ไปอยู่ที่บ้านพี่ก็ได้...ไม่มีปัญหาหรอก...เรื่องอื่นไว้คุยกันทีหลังเถอะ ขืนพี่นั่งคุยกับแกนานกว่านี้ ถ้าไม่โดนหาว่าเป็นคู่เกย์ ก็อีกไม่นานจะโดนแฟนคลับเข้ามารุมแน่ ๆ”

            โดมหัวเราะ มองนักศึกษาหลายคนที่ซุบซิบมาทางพวกเขาอย่างเข้าใจ จึงรีบเก็บหนังสือเรียนใส่กระเป๋าเป้ เตรียมกลับพร้อมบูรพา...หวังว่าคงไม่มีใครบุกเข้ามาขอลายเซ็นเสียก่อน ไม่งั้นคงต้องอยู่นั่งอยู่นี่อีกนานแน่



  
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




             ดึกแล้ว...

            บูรพาเพิ่งขับมอเตอร์ไซค์พาโดมลับสายตายังท้ายซอย ลานน้ำค้างปิดประตูรั้ว มีรอยยิ้มน้อย ๆ ค้างคาบนใบหน้า ชีวิตวันนี้มีเรื่องราวชวนอบอุ่น มีความสุขอย่างคาดไม่ถึง

            สองหนุ่มแวะมาหาที่บ้านตอนเย็น หลังเลียบเมืองกลับไปเพียงไม่กี่นาที ทั้งคู่ช่วยเป็นลูกมือคุณดาริกาทำกับข้าวอาหารมื้อเย็น พลางชวนคุย เรียกเสียงหัวเราะเป็นระยะ

            โดมแปลกไป มีรอยยิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้นราวกับเป็นคนละคน เขาเอารายละเอียดการดูแลรักษาสุขภาพคนป่วย ที่รวบรวม เรียบเรียงจากอินเทอร์เน็ตมาให้ และบอกว่าตอนนี้อาศัยอยู่ที่บ้านบูรพาแล้ว จะแวะมาบ่อย ๆ จากนั้นก็พูดคุยแบบไม่มีอาการเก็บงำเรื่องส่วนตัวเหมือนเมื่อก่อน จนบูรพาต้องหาเรื่องขัดคอเป็นระยะ

            คนฟังยังแปลกใจ นึกสงสัยโดมกับบูรพาเข้าขา เข้าคู่สนิทสนมกันขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่...

            เด็กหนุ่มเล่าเรื่องเรียนต่อ บ่น ๆ เปรย ๆ ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไร ลานน้ำค้างกับบูรพาก็เสนอคณะเรียนน่าสนใจหลายที่ แต่โดมส่ายหน้าบอกไม่ชอบ คุยไปคุยมาหาที่ลงเอยไม่ได้ คุณดาริกาเลยสรุปให้ไปสอบก่อน แล้วค่อยเอาผลคะแนนมาดู ว่าพอจะมีสิทธิเลือกคณะไหนได้บ้าง

            ถึงจะดูเลื่อนลอย ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ก็ยังดีกว่ามัวจะคิดว่าตัวเองชอบอะไร เลือกโน้น เลือกนี่ สับสน โดยไม่ทบทวนตำราสอบ เพราะวิชาที่สอบหลัก ๆ โดยมากจะเหมือนกันอยู่แล้ว

            ทั้งหมดพูดคุยเสมือนคนครอบครัวเดียวกัน เล่าสารทุกข์สุกดิบ ปรึกษาปัญหาเรื่องโน้นเรื่องนี้ มีคุณดาริกาเป็นผู้ใหญ่ นั่งฟังเป็นประธาน หากมีใครถามความเห็น เย้าแหย่ ค่อยพูดคุยตามสไตล์ของเธอ

            รับประทานอาหารค่ำ พูดคุยกันจนดึก เห็นว่าลานน้ำค้างควรพักผ่อน สองหนุ่มจึงกลับบ้าน...โดมเอ่ยปากขออนุญาตคุณดาริกาล่วงหน้า ขอแวะมาที่บ้านเพื่อช่วยดูแล อยู่เป็นเพื่อนลานน้ำค้างบ้างได้หรือไม่

            คุณดาริกาไม่ขัด หนำซ้ำยังหยอกล้อ

            “เป็นนักร้องดังอย่างนี้แล้วจะมีเวลาแวะมาหรือโดม”

            “มีสิครับ”

            โดมตอบ โดยไม่จำเป็นต้องให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น เจ้าตัวรู้แก่ใจ หากใจอยากมาเสียอย่าง เรื่องอื่นนับว่าเล็กน้อย

            ลานน้ำค้างเดินมาส่งสองหนุ่มเสร็จก็เดินเข้าบ้าน พบแม่ยืนรออยู่หน้าประตู จึงเข้าไปกอดออเซาะ

            “แขกกลับกันหมดแล้ว...เข้านอนกันเถอะจ้ะแม่...ลานง้วงง่วงนอน”

            คุณดาริกาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาวอย่างหมั่นไส้ แล้วลูบศีรษะนั้นเบา ๆ เส้นผมปอยหนึ่งหลุดติดมือมา จึงรีบแอบสลัดออก กลัวลานน้ำค้างเห็น แต่ไม่พ้นสายตาหญิงสาวไปได้

            “ผมร่วงแล้วนี่คะ” น้ำเสียงหวั่นใจในวูบแรก พอเกิดสติ จิตใจค่อยเป็นปกติ

            “ไม่เป็นไรหรอกลูก...” คุณดาริกาพยายามพูดให้ลูกสาวคลายใจ ทั้งที่ไม่จำเป็น

            “ลานไม่กลัวหรอกแม่...ทำใจเตรียมพร้อมตั้งแต่เริ่มทำคีโมแล้ว” หญิงสาวตอบ

            “ดีจ้ะ...แต่ไม่ต้องห่วงนะ พอครบคอร์ส หยุดทำคีโม ผมมันก็ขึ้นใหม่เอง” คุณดาริกายังเป็นห่วงความรู้สึกลูกสาว

            “ลานไม่ได้กลัวหัวล้านซะหน่อย” หญิงสาวย่นจมูก “ผมร่วงหมดหัวอย่างนี้ก็ดี...พวกหนุ่ม ๆ จะได้หนีกันไปซะบ้าง”

            ลานน้ำค้างแกล้งพูดถึงผู้ชายที่แวะเวียนมาบ้านทุกคน รวมถึงเลียบเมืองด้วย

            หญิงสาวไม่ได้เล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องของเลียบเมือง ด้วยอยากเก็บไว้เป็นความรู้สึกอบอุ่นชุ่มชื่นหัวใจเฉพาะตน

            ทว่าใจอีกส่วนก็รู้สึกแปร่งแปลก แม้จะยินดีที่ผู้ชายในฝันมาบอกว่าชอบพอตนเอง หัวใจกลับระลึกถึงผู้ชายอีกคน ผู้ชายที่เอ่ยวาจาด้วยสายตา ไม่เคยยอมให้มันหลุดมาเป็นคำพูดสักครั้ง

             จะแปลกหรือไม่...หากหล่อนมีหัวใจให้พวกเขาทั้งสองคน!
    
            คุณดาริกาได้ยินลูกสาวพูดอย่างนี้ค่อยคลายใจลง

            “แน่ะ...ทำพูดดีไป เขาหวังดี มีน้ำใจกับเราก็ดีแล้ว...แม่อยากเห็นจริง ๆ ถ้าไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักคนลูกสาวแม่จะหงอยแค่ไหน”

            “ไม่หงอยเลย...แค่มีแม่คนเดียวก็พอแล้ว...” ลานน้ำค้างทำเสียงออดอ้อน

            “ให้มันจริงเถอะ” แม่ทำเสียงสูง หมั่นไส้ปนเอ็นดู

            “คอยดูสิ...ลานว่าแค่ทำคีโมคราวหน้า ผมต้องร่วงหมดหัว...พวกหนุ่ม ๆ ต้องหายหน้าหมดแน่ แม่คอยดูแล้วกันว่าลูกสาวแม่จะหงอยหรือร่าเริง หนุกหนานกันแน่”

            ตอนนี้หญิงสาวมีน้ำเสียงสดใส เบิกบาน ทั้งที่รู้ว่าการทำคีโมแต่ละครั้งมันทรมานขนาดไหน...

            ผมร่วงเช่นนี้ แสดงว่าอาการข้างเคียงเริ่มแสดงตัว...จากนั้นผู้ป่วยจะเป็นอย่างไร และปลายทางของมันอยู่ที่ไหน...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




             ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มักยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ช่วงเวลาแห่งความสุข ต่อให้มีโมงยาม นาที เท่ากัน ก็ยังดูเหมือนแสนสั้น เพียงชั่ววิบตาเดียว

            แล้วช่วงเวลาแห่งความทุกข์กายจากโรคภัย แต่แสนมีความสุขจากคนรอบข้าง และจากการได้เรียนรู้ กาย - ใจตนเองของลานน้ำค้างจะเป็นเช่นไร?

            ยาวนาน หรือแสนสั้น...

            วันเวลาแห่งการรักษาตัว ทำคีโมผ่านไปรอบแล้วรอบเล่า ร่างกายอ่อนโรย เส้นผมร่วง ใบหน้าซีดขาว แต่ละครั้งที่รับยา ล้วนต้องเผชิญกับทุกขเวทนาชนิดเลี่ยงไม่ได้ ทั้งอาเจียน หมดเรี่ยวแรง ผมเผ้าร่วงเกือบหมดหัว จนไม่เหลือคราบหญิงสาวสวย น่ารักคนเดิม

            ทว่าความทุกข์เหล่านั้นไม่ได้พรากความสดใส ชีวิตชีวาไปจากเธอ ลานน้ำค้างยังยิ้มได้ มีความสุขจากข้างใน ทำให้ทุกคนรอบตัวมีความสุข รับกระแสความเย็นใจจากเธอ

            ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับทะเลทุกข์ คือโอกาสที่จะได้เจริญสติ ภาวนาอย่างเต็มกำลังโดยไม่กล้าประมาท หญิงสาวฝากตัวเป็นศิษย์คุณย่ามาลัยเต็มตัว ได้รับคำชี้แนะ คำสอนเพิ่มเติมทุกครั้งที่เข้าไปกราบศึกษา

            แต่ละวัน แต่ละเดือนที่ผ่าน คือโมงยามแห่งการเจริญภาวนา ยิ่งมีความทุกข์จี้หลัง ยิ่งประมาทไม่ได้ และผลของการภาวนาก็คือความสุขเย็นใจไปตามลำดับ

            ร่างกายทรุดโทรม จิตใจกลับแช่มชื่น

            วันเวลาเหล่านั้น ทำให้หญิงสาวได้พิสูจน์หัวใจคน...

             ยามที่มนุษย์เราอยู่ในจุดตกต่ำที่สุด...

             ย่อมสามารถแลเห็นเนื้อแท้หัวใจผู้คนรอบข้างได้ชัดเจน เที่ยงตรงกว่าครั้งไหน ๆ

             โดยเฉพาะหัวใจของผู้ชายสามคน

  

            เลียบเมือง บูรพา และโดม เคยแสดงความจริงใจของตนต่อลานน้ำค้างด้วยวาจา และตัวหนังสือมาแล้ว ยามนี้ พวกเขาก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่ตนเคยบอกด้วยการกระทำ...ว่ามันมั่นคงเพียงใด เชื่อถือได้แค่ไหน

            เลียบเมือง...ผู้ชายที่มีทั้งภาระ หน้าที่การงานใหญ่โต ต้องเลี้ยงดูน้องสาวคนละสายเลือด ก็ยังหาเวลามาดูแลหล่อนเสมอ อีกทั้งยังเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ เพื่อติดต่อหาไขกระดูกที่ตรงกันมาให้ ผิดหวังกี่ครั้งก็ไม่เคยท้อ

            บูรพา...ใกล้จบการศึกษาเต็มที ภาระการเรียนที่หนักไม่เคยทำให้เขาลดเวลาสำหรับหญิงสาวลง ชายหนุ่มรักษาความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่รุกใกล้กว่าเดิม และไม่ถอยห่างจากจุดที่ตนอยู่

            เขาเป็นทั้งเพื่อน ทั้งผู้ที่สามารถถูกเรียกใช้ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงชนิดไม่มีบ่น เป็นเพื่อนร่วมเรียนธรรมะ ภาวนาด้วยกัน เป็นคนพาหญิงสาวกับคุณดาริกาไปหาคุณย่ามาลัยทุกครั้งที่ออกจากโรงพยาบาล

            โดม...เด็กหนุ่มที่เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ซิงเกิ้ลเพลงที่สอง สามประสบความสำเร็จต่อเนื่อง จนทำให้อัลบั้มเพลงเดี่ยวชุดแรกมีแผนใกล้ออกเต็มที ระหว่างนั้นมีงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาให้เห็นเป็นระยะ เขามีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนกว่าใคร โลกของโดมไม่ได้คับแคบอยู่แค่ในความคิด ความต้องการของตัวเองเท่านั้น

            ตั้งแต่กล้าประกาศความรักที่มีต่อลานน้ำค้าง แล้วได้รับการปฏิเสธ...ความผิดหวังครั้งนั้นไม่ได้ทำให้เขาทดท้อ เสียใจ ทำร้ายตัวเอง

            การปฏิเสธด้วยความเข้าใจ โดยหัวใจเปิดกว้างของลานน้ำค้าง ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะมีความรักจากหัวใจที่ไม่คิดถือครองบ้าง หวังให้ความรักของตนเปิดเผย กว้างขวางเหมือนหัวใจของหญิงสาวคนนี้

            โดมทำงานอย่างคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ตั้งใจจะเรียนต่อ ถึงจะยังไม่ยอมกลับไปอยู่บ้าน ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับพ่ออย่างเคย

            ลานน้ำค้างให้โอกาสโดมได้อยู่ใกล้ รักษาระยะห่างแค่พี่สาวกับน้องชาย ไม่เคยขัดใจเวลาเขาพยายามนำสิ่งดีๆมาให้ ไม่ว่าจะมาเล่นกีตาร์ให้ฟัง เอาอาหารเสริม หรือยาจากแพทย์ทางเลือกมาให้รับประทาน

            จนถึงวันนี้ หญิงสาวก็ไม่เคยบอก หรือแสดงออกว่าตอบรับความรู้สึกของผู้ชายคนไหน

            ส่วนผู้ชายทั้งสามคนต่างไม่สนใจว่าลานน้ำค้างจะมีหัวใจตอบให้ใคร...ในใจพวกเขามีความหวังเดียว คือ ขอให้เธอหายป่วย กลับมาเป็นหญิงสาวแข็งแรง ร่างกายเป็นปกติ สามารถกลับไปเรียนต่อจนจบตามความต้องการก็พอแล้ว

            ลานน้ำค้างอาจดูแคลนหัวใจพวกเขาเกินไป ที่บอกว่า เมื่อหล่อนผมร่วงหมดหัว หน้าตาไม่สวยงาม ผู้ชายที่อยู่ใกล้จะหนีหาย...

            ในความเป็นจริง นอกจากพวกเขาจะไม่หนีไปไหนแล้ว ยังอยู่ใกล้ ๆ มีความห่วงใยเสมอต้นเสมอปลาย ความสุขเย็นจากใจที่หล่อนมีให้ เข้าสัมผัสจิตใจพวกเขาจนเกิดความสุข ผูกพัน เป็นสายใยที่เชื่อมโยงกันโดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก

            และแล้ว...การทำคีโมครั้งสุดท้ายก็ผ่านไป

            ลานน้ำค้างกำลังรอผลการตรวจเซลมะเร็งว่า หลังจากบำบัดรักษาครบคอร์สแล้ว มันจะหายไปหรือไม่?

            ความทุกข์ทรมานร่างกายอันยาวนานค่อนปีจะสัมฤทธิ์ผล...หรือสูญเปล่า...



 
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หมอน่านกับหมอน้ำทิพย์เดินมาถึงหน้าห้องนายแพทย์นภัทรเกือบจะพร้อมกัน ทั้งคู่ชะงัก มองหน้ากันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนฝ่ายชายจะเปิดประตูให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเข้าไปก่อน

            หมอน้ำทิพย์ยิ้มให้ พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ ขณะอีกฝ่ายสีหน้าไม่สู้ดีนัก

            ทั้งสองเห็นหมอนภัทรนั่งรอหลังโต๊ะทำงาน สีหน้าเรียบนิ่ง ยากอ่านความรู้สึก ตรงหน้ามีซองรายงานผลการตรวจวางอยู่

            สีหน้าหมอน่านผิดปกติ มองผู้เป็นอาจารย์และเจ้าของไข้ลานน้ำค้างเหมือนต้องการทราบคำตอบ

            “นั่งสิ” หมอนภัทรบอก

            “ขอบคุณค่ะอาจารย์” หมอน้ำทิพย์ตอบรับด้วยสีหน้าปกติ

            “อาจารย์ครับ...” หมอน่านรีบเอ่ยปากจะถามทันทีที่นั่งเรียบร้อย

            “พวกคุณไม่จำเป็นต้องถามหรอก” อาจารย์หมอพูดดักก่อน “เปิดอ่านผลการตรวจของลานน้ำค้างได้เลย”

            เพียงเท่านั้น หมอน่านก็รีบเปิดซอง ดึงผลตรวจออกมาอ่าน...

            หมอนภัทรมองสองหนุ่มสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            “ที่จริง ผมนัดพวกเขาให้มาฟังผลวันพรุ่งนี้” พูดพลางสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย “แต่ผลออกมาค่อนข้างเร็ว...”

            สองหมอหนุ่มสาวเงยหน้าจากผลตรวจ แววตาที่ส่งมาคือคำถาม...

            “พวกคุณสนิทกับคนไข้มาก...ผมเองก็รู้สึกดีกับผู้ป่วยรายนี้”

            ผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องอธิบาย ถึงเหตุผลที่ตนรู้สึกดีกับคนไข้รายนี้เป็นพิเศษ

            “ก็เลยอยากถามความเห็นของพวกคุณสักหน่อย”

            “ความเห็นของผม?” หมอน่านถามทั้งที่ใจหล่นวูบตั้งแต่เห็นผลการตรวจ

            หมอนภัทรระบายลมหายใจยาว มองหน้าคนทั้งสองก่อนเอ่ยปากช้า ๆ

            “ผมอยากถามความเห็นพวกคุณว่า...เราควรบอกผลการตรวจให้เจ้าตัวเขารับรู้วันนี้เลยดีมั้ย”

            จบคำถาม...น่านนิ่งงัน เหมือนไม่อยากเชื่อ อาจารย์หมอที่มั่นคง มืออาชีพ ผ่านการตัดสินใจยาก ๆ ทั้งด้านการรักษาผู้ป่วย และการบริหารโรงพยาบาลอย่างโชกโชน กลับมาถามเรื่องแบบนี้กับเขา

            “มันคงดูแปลก ที่ผมถามแบบนี้” หมอนภัทรรู้ตัวว่าไม่น่าถามความเห็นกับเรื่องเล็กน้อย ที่หมอคนไหนก็ตัดสินใจเองได้เช่นนี้

            “แต่ผม...เป็นห่วงความรู้สึกของเด็กคนนี้”

            หมอนภัทรพูดความรู้สึกในใจตนเองออกมาตรง ๆ ตั้งแต่ผ่านการรักษาผู้ป่วยมาหลายราย ไม่เคยมีใครที่เขาผูกพัน เป็นห่วงเหมือนญาติสนิทเช่นหญิงสาวคนนี้

            ทั้งเรื่องที่เธอช่วยเหลือโดม และตลอดเวลาของการรักษา ลานน้ำค้างไม่เคยพรั่น ไม่เคยแสดงความอ่อนแอมาให้เห็นสักครั้ง ไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหน

            “ผมเลยอยากถามความเห็นพวกคุณ ว่าควรบอกข่าวร้ายให้เธอฟังวันนี้ หรือควรชะลอเวลาอีกวัน ให้เธอได้มีความสุขไปก่อน...แค่วันเดียวก็ยังดี”

            น่านเข้าใจแล้ว...ทำไมหมอนภัทรถึงต้องเสียเวลามาถามร่ำไรผิดกับนิสัยเช่นนี้...เขาเองก็อึดอัดใจจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ควรตอบปัญหานั้นอย่างไร

            ลานน้ำค้างควรรู้ความจริงโดยเร็ว หรือปล่อยให้หล่อนมีความหวังไปอีกวัน...

             คนที่เสนอความเห็น...ตอบคำถามข้อนี้คือหมอน้ำทิพย์ เป็นความเห็นที่คนฟังอึ้ง แต่ก็ยอมรับในน้ำหนัก เหตุผลที่แสดง จนยากหาข้อโต้แย้ง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP