วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๕๐



Tao Nam Kang - front re




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ที่บ้าน...ตอนบ่าย

            ลานน้ำค้างแปลกใจที่เห็นลุงคงเดช พ่อของบูรพามาจอดรถหน้าบ้าน ไม่รู้มีธุระอะไร ปกติแกมักแวะมาตอนเย็น เอาขนมของฝากจากต่างจังหวัดมาให้

            “สวัสดีค่ะลุง...มาแต่บ่ายเชียว มีธุระอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวลงไปทักทายที่หน้าประตู

            “เป็นยังไงบ้างล่ะหนู เห็นเจ้าบูมันบอกว่าได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

            “เพิ่งออกมาเมื่อวานค่ะ ตอนเช้าก็ไปวัดกับเจ้าหมูด้วย” ลานน้ำค้างรายงาน

            “อ้อ...เหรอ” ตอบรับอย่างนั้นเอง ดูท่าไม่สนใจเสียมากกว่า “จริงสิ...ลุงมีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

            “ช่วยเรื่องอะไรคะ”

            “เจ้าบูมันทิ้งกุญแจบ้านไว้ที่นี่บ้างหรือเปล่า”

            “ค่ะ ทิ้งไว้ให้ชุดนึง” ลานน้ำค้างตอบ บูรพาจะฝากกุญแจบ้านไว้ที่นี่ชุดนึง เผื่อเขาทำหายจะได้มาเอาไปใช้ได้

            “เออดี ลุงรีบออกจากบ้านแต่เช้า เลยลืมกุญแจไว้ ยังไงหนูลานช่วยไปเปิดบ้านให้ลุงหน่อยนะ”

            “ลานหยิบกุญแจมาให้คุณลุงไปเปิดเอง ง่ายกว่านะคะ” หญิงสาวออกความเห็นพลางทำท่าจะรีบเข้าไปหยิบกุญแจในบ้านให้

            “เอ่อ...” ลุงคงเดชมีท่าทีแปลก ๆ “คืออย่างนี้...ลุงต้องรีบออกต่างจังหวัด แล้วบังเอิญทำไฟล์รูปสินค้าที่จะเอาไปใช้หาย ขี้เกียจกลับไปเอาที่บริษัทใหม่ นึกได้ว่าเคยให้เจ้าบูมันเอารูปพวกนี้ลงคอมพ์ของมันไว้...ยังไงหนูลานช่วยไปเอารูปจากคอมพ์ลงแผ่นให้ลุงหน่อยได้มั้ย...ลุงทำไม่เป็นน่ะ”

            “ได้ค่ะ” ลานน้ำค้างรับคำง่าย ๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องลำบากอะไร “งั้นเดี๋ยวลานไปเอากุญแจบ้านมาก่อนนะคะ”

            “ไม่ต้องรีบก็ได้หนูลาน...เดินระวัง ๆ ด้วย” น้ำเสียงไล่หลัง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยเท่าที่คนห้าว ๆ อย่างเขาจะทำได้

            ลานน้ำค้างไม่ได้หันกลับมา จึงไม่ทันเห็นแววบางอย่างในดวงตาบิดาเพื่อนสนิท...ในแววตานั้น ฉายความครุ่นคิด ตัดสินใจบางอย่าง ที่ค่อนข้างขัดกับนิสัยส่วนตัว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เปิดบ้านบูรพาเรียบร้อย ลุงคงเดชขอตัวเข้าไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้า เตรียมข้าวของออกเดินทาง ปล่อยให้ลานน้ำค้างเข้าห้องบูรพา ใช้คอมพิวเตอร์จัดการนำรูปในเครื่องใส่แผ่นซีดีตามสะดวก

            หญิงสาวเปิดคอมพิวเตอร์เตรียมใช้งานอย่างคุ้นเคย มองรอบห้องพลางนึกถึงชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ...นี่ไม่ใช่การเข้าห้องของเขาครั้งแรก สมัยเด็กหล่อนมักมาเล่นซนที่นี่บ่อย ฝ่ายเจ้าของห้องมักมีของเล่นแปลก ๆ มาอวด บางทีก็แอบมาวางแผนเล่นสนุกตามประสาเด็กไม่อยู่สุขกันในห้องนี้เสมอ

            จนกระทั่งโตขึ้นมา แม่เตือนเรื่องความสนิทสนม ระวังตัวระหว่างเพื่อนต่างเพศ ลานน้ำค้างจึงไม่ค่อยได้เข้ามาห้องบูรพาบ่อยนัก

            หน้าจอคอมพ์เปิด ลานน้ำค้างมองหาไฟล์งานของลุงคงเดชที่ต้องการให้ไรท์ลงแผ่นซีดี แต่ไม่พบ...กำลังจะลุกไปถามว่าบูรพาเก็บไฟล์นั้นไว้ที่ไหน สายตาก็สะดุดกล่องข้อมูลบนหน้าจอ ที่เขียนชื่อกล่องว่า...ลานน้ำค้าง

            หญิงสาวคลิกเข้าไปดูอย่างสงสัย อยากรู้ พบว่าข้างในถูกแยกเป็นกล่องเล็ก ๆ หลายหัวข้อ...ทั้งเป็นกล่องรวมรูปภาพ คลิปวันสำคัญ และบันทึกส่วนตัว

            ลานน้ำค้างเลือกเข้าไปดูตรงกล่องรวมรูปภาพก่อน...จากนั้นค่อยเปิดดูคลิปวันสำคัญ

            ภาพในกล่องแรก เป็นรูปของลานน้ำค้างกับบูรพา ตั้งแต่ตอนเด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งชายหนุ่มเก็บสะสม บันทึกเป็นไฟล์ภาพไว้อย่างเป็นระเบียบ ระบุวัน เวลา เหตุการณ์ชัดเจน ดูแล้วชวนให้นึกถึงวันเวลาในวัยเยาว์อย่างมีความสุข

            ส่วนคลิปวันสำคัญ เป็นเหตุการณ์ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ที่โทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟนแพร่หลาย สามารถบันทึกเหตุการณ์แบบภาพเคลื่อนไหวได้สะดวก

            บูรพาบันทึกเหตุการณ์สำคัญของเธอไว้ตั้งแต่วันรับน้อง กิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย หรือกระทั่งในงานวันเกิดของคุณดาริกา มารดาของเธอ

            ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า...เวลานับสิบกว่าปีที่ผ่านมา สายตาบูรพา มองมาที่เธอเพียงคนเดียว...

            สุดท้ายเป็นบันทึกส่วนตัว...ซึ่งลานน้ำค้างลังเลใจที่จะเปิดอ่าน



            “อ่านเถอะลูก” เสียงลุงคงเดชดังจากเบื้องหลัง

            ลานน้ำค้างหันขวับ พบเจ้าของบ้านยืนมองด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนเดินเข้ามาคลิกเปิดกล่องบันทึกส่วนตัว และเลือกหัวข้อไฟล์ที่เขียนว่า ‘วันสำคัญ’ ออกมาให้หล่อนอ่านเอง

            “มันจะดีหรือคะ” หญิงสาวพึมพำ ไม่แน่ใจ

            ลุงคงเดชพยักหน้า แล้วถอยหลังไปยืนเงียบ ๆ

            ลานน้ำค้างค่อยหันมาทางหน้าจอ พบข้อความที่เปิดรออยู่เรียบร้อย อดใจไม่ได้ ต้องเลื่อนสายตาลงไปอ่าน...



             วันสำคัญ

            วันที่เราได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย รู้ว่ามีอนาคตที่ค่อนข้างแน่นอนรออยู่

            วันที่เราใช้ความกล้าหาญเข้าไปหาแม่ลานน้ำค้าง...เพื่อบอกว่า เรารักลูกสาวของแม่อย่างจริงใจ...ถามว่าแม่จะขัดข้องหรือไม่?

            ถ้าไม่ขัดข้อง เราจะได้ไปบอกรักลานน้ำค้างทันที

            แม่ยิ้มน่ารัก ไม่มีท่าแปลกใจสักนิด ย้อนถามเราว่า...

            “บูคิดว่าจะรักลานได้นานแค่ไหน”

            “ตลอดชีวิต” เราตอบอย่างมั่นใจ

            “แม่ยังไม่เชื่อ”

            “แม่จะให้ผมพิสูจน์ยังไง”

            “ลองใช้เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยพิสูจน์หัวใจตัวเองดูก่อนสิ” แม่ยิ้มละไม ไม่มีน้ำเสียงท้าทาย “บูยังไม่ต้องบอกรักลาน...อย่าเพิ่งผูกพันฉันท์คนรัก คบกันแบบเดิมไป แล้วค่อย ๆ ดูหัวใจตัวเอง...”

            “ทำไมล่ะครับ” เราไม่เข้าใจเจตนาของแม่

            “แม่มักเห็นความรักในวัยนี้เป็นรักแบบฉาบฉวยเสียเยอะ มันวูบวาบหาความแน่นอนไม่ได้ สี่ปีในมหาวิทยาลัยนี้ ทั้งบูและลานมีโอกาสพบเพื่อนใหม่ ๆ คนรู้จักใหม่ ๆ อีกเยอะ...

            ถ้าวันหนึ่งเจอคนที่ถูกใจมากกว่า จะกระอักกระอ่วนใจเปล่า ๆ เพราะจะเลิกเป็นแฟน แล้วกลับมาคบแบบเพื่อนอย่างเดิมคงยากแล้ว...ลองให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสลาน อย่าเพิ่งผูกมัดกัน ลองเปิดตัวเองดูก่อน ถ้าสี่ปีแล้วต่างฝ่ายยังไม่มีใคร และบูเองก็ยังมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง...แม่ก็จะไม่ขัดข้องอะไร

            “ครับ” เราตอบรับ พร้อมพิสูจน์ตัวเอง “ผมจะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่า ความรักของผม ไม่ใช่รักชั่วแล่น วูบวาบแบบเด็ก ๆ เด็ดขาด!”



            ลานน้ำค้างเอนหลังพิงเก้าอี้ ความอบอุ่น หวานกำซาบอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนกำลังเอ่อล้น แน่นในอก...

            ลุงคงเดชเดินเข้ามาใกล้ สายตามองข้อความบนจอคอมพ์แล้วถอนใจเบา ๆ

            “รูปที่ลุงให้เอาใส่แผ่น มันไม่อยู่ในนั้นหรอก...หนูลาน” ลุงคงเดชบอก

            ลานน้ำค้างหันมายิ้มให้ เข้าใจเจตนาผู้สูงวัย

            “ลานก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวตอบรับ

            “ขอโทษด้วยนะที่ลุงทำในเรื่องที่ไม่เข้าท่าแบบนี้” น้ำเสียงแฝงความกระอักกระอ่วน รู้สึกผิด

            “ไม่เข้าท่าตรงไหนคะ” ลานน้ำค้างแย้ง “ได้เห็นรูปถ่ายเก่า ๆ พวกนี้ ได้อ่านบันทึกที่เจ้าหมูไม่มีทางให้ลานได้เห็นแล้ว ทำให้ลานรู้จักมันมากกว่าเดิมเยอะเลย”

            ลุงคงเดชมานั่งที่ปลายเตียงบูรพา สีหน้าลำบากใจ

            “ที่จริงลุงไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่สงสารไอ้บูมัน” ลุงคงเดชชั่งใจชั่วขณะก่อนพูดต่อ “มันรักหนูมากนะ แต่ถ้ามันยังปากหนัก ติดด้วยคำสัญญาแบบนี้ ก็ไม่ยุติธรรมกับมัน”

            ลานน้ำค้างเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ คงเดชคงได้เห็น รับรู้เรื่องราวที่เลียบเมืองก้าวเข้ามาในชีวิตหล่อนช่วงหลังนี้เหมือนกัน

            “เรื่องบางเรื่อง ถึงไม่พูดก็รู้ค่ะ” ลานน้ำค้างบอก ลุงคงเดชมองนัยน์ตาหญิงสาว “สิ่งบางอย่าง ต่อให้ไม่ได้ยินด้วยหู ...แค่เห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ มันก็รู้แล้วค่ะลุง”

            “นั่นสิ” เห็นสีหน้า แววตาลานน้ำค้าง ผู้สูงวัยก็ยอมรับ “ถ้าอย่างนั้น ลุงคงวุ่นวายเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ...แต่ไหน ๆ ก็ยุ่งไปแล้ว ลุงขอถามตรง ๆ เลยแล้วกันว่าหนูรักไอ้บูของลุงบ้างมั้ย?”

             เจอคำถามตรงไปตรงมาแบบไม่ให้ตั้งตัวเช่นนี้ ลานน้ำค้างก็อึ้ง จะไม่ตอบก็ไม่ได้

             คำถามจากคนจริง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ หากไม่มีความจริงใจตอบแทน ก็ดูจะไร้น้ำใจเกินไป







บทที่ ๓๓



            เวลาบูรพาขับรถผ่านหน้าบ้านลานน้ำค้าง มักอดมองเข้าไปดูเจ้าของบ้านไม่ได้ ว่าอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร สบายดีหรือเปล่า จนแทบกลายเป็นความเคยชิน

            วันนี้ก็เช่นกัน บูรพาขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านแต่เช้า พอใกล้ถึงบ้านลานน้ำค้างก็ค่อยชะลอรถ ดูว่าหญิงสาวตื่นหรือยัง กำลังทำอะไรอยู่ หรือบางทีหากเจอคุณดาริกาเตรียมออกจากบ้าน จะได้รับไปส่งหน้าปากซอย

            ถึงหน้าบ้าน เห็นหญิงสาวกำลังรดน้ำต้นไม้ ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว ร่างผอมบอบบางกว่าเดิม ดูอ่อนแอคล้ายจะปลิวลม ถึงอย่างนั้นยังส่งรอยยิ้มมาให้ ราวกับรอคอยอยู่เช่นกัน

            “ตื่นแต่เช้าเชียว” บูรพาจอดรถทักทาย

            “แกก็ไปเรียนแต่เช้าเหมือนกันนี่”

            หญิงสาววางท่อสายยาง แล้วปิดน้ำ

            “อือ...ใกล้สอบแล้ว ต้องขยันหน่อย” เขาตอบ

            “ทีสิสผ่านหรือยัง” คำถามก่อนเงยหน้าขึ้น

            “ผ่านแล้ว” เขาตอบ

            ลานน้ำค้างจ้องหน้าบูรพานานผิดปกติ เหลือบสายตามองรถนิดนึงแล้วถาม

            “ทำไมวันนี้ขับมอเตอร์ไซค์ล่ะ รถยนต์ไปไหน”

            “จอดอยู่บ้าน ขี้เกียจขับ เปลืองน้ำมัน”

            “กลัวเปลืองน้ำมันแล้วซื้อมาทำไม” ลานน้ำค้างย้อน

            ชายหนุ่มนิ่ง ขี้เกียจตอบตามตรง และไม่เห็นความจำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นมาอ้าง

            หญิงสาวนิ่ง แววตาที่มองมามีความเข้าใจ...เขาซื้อรถยนต์คันนี้เพื่อใคร!

            “วันนี้เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” บูรพาเปลี่ยนมาถามอาการป่วย

            “แข็งแรงดีย่ะ...ชกกันยังได้นะ” หญิงสาวตอบ บูรพายิ้มขัน ๆ เห็นสภาพเจ้าหล่อนแล้ว อย่าว่าแต่จะให้ชกกันเลย แค่เขาเป่าแรง ๆ แม่คุณอาจปลิวไปเลยก็ได้

            ความแข็งแรงจริง ๆ นั้น น่าจะเป็นจิตใจของเธอ ที่เข้มแข็งไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น

            “ไม่ล่ะ...เดี๋ยวจะหาว่ารังแกผู้หญิง” บูรพาตอบแล้วมองเข้าไปในบ้าน “แม่จะออกไปทำงานหรือยัง จะให้ไปส่งหน้าปากซอยมั้ย”

            “ไม่ต้องหรอก แม่ไปแต่เช้าแล้ว” ลานน้ำค้างตอบ

            “เหรอ...งั้นเราไปเรียนก่อน อย่าลืมกินยาล่ะ แล้วก็อย่าตากแดดมากนัก มีอะไรก็รีบโทรมาบอก...เข้าใจมั้ย”

            ชายหนุ่มสั่งข้อความยืดยาวจนหญิงสาวอดยิ้มไม่ได้

            “จ้า...รู้แล้ว” ลานน้ำค้างตอบ บูรพาเตรียมขึ้นรถ

            “หมู...” จู่ ๆ หญิงสาวก็เรียกขาน เสียงอ่อนโยน

            บูรพาชะงักมือที่จะหยิบหมวกกันน็อคมาใส่ มองหญิงสาวอย่างสงสัย...

            “วันนี้แกหล่อว่ะ...หล่อกว่าทุกวันเลย” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ สีหน้า กิริยาอาจคล้ายหยอกล้อ แต่บางสิ่งในท่าทางนั้น ดูอบอุ่น จริงใจอย่างไม่ค่อยแสดงออกบ่อยนัก

            “เออ...” บูรพาไม่รู้จะตอบวาจานั้นอย่างไร น้ำเสียงและแววตาฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขากระดาก คำพูดยอกย้อนที่เคยคล่องปากกลับใช้ไม่ออก รู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบตัวจะสวยงามขึ้นฉับพลันจนตั้งตัวไม่ติด

            ชายหนุ่มขับรถจากไปแล้ว ลานน้ำค้างยืนมองตามหลังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ค้างคาบนใบหน้า เห็นความรู้สึกที่แปลกเปลี่ยนภายในใจ

            คำตอบที่เคยบอกลุงคงเดช คือความจริงใจชัดเจนที่สุดในเวลานี้

            บางเรื่อง ทั้งที่พอรู้...เข้าใจมาก่อน แต่มันไม่ชัดเจน เท่ากับการได้รับคำยืนยันจากบันทึกส่วนตัวนั้น...คำยืนยันที่บอกว่า...บูรพารักเธอมากแค่ไหน...

            เมื่อจำเป็นต้องตอบคำถามที่ว่า...มีใจให้เขาหรือไม่...ลานน้ำค้างก็มองเห็นบางสิ่งในหัวใจตนเอง...บางสิ่งที่บอกว่า...ถ้าเธอไม่เคยเรียนรู้ที่จะมองจิตใจตามความเป็นจริง คงยาก ลำบากใจที่จะตอบออกมาได้...

             คำตอบนั้น...ควรเป็นความลับระหว่างเธอกับลุงคงเดช




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หากมีช่วงว่างระหว่างพักการอัดเสียง โดมจะหลบมุมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว พยายามศึกษาทั้งสาเหตุ การระวังป้องกัน การรักษา และการดูแลสุขภาพผู้ป่วย

            ถ้ามีข้อมูลส่วนไหนเป็นประโยชน์กับลานน้ำค้าง เขาจะพิมพ์แยกออกมาให้ จากนั้นก็รวบรวม สรุปจัดระเบียบข้อมูล เรียบเรียงใหม่ให้อ่านเข้าใจง่าย สามารถปฏิบัติได้เลย

            พอทำเสร็จ เตรียมจะโทรศัพท์หาลานน้ำค้าง ก็โดนเรียกให้เข้าห้องอัดเสียงอีกรอบ...ต้องปรับตัว ตั้งสติ มีสมาธิกับงานตรงหน้าเพื่อร้องเพลง

            ชีวิตโดมช่วงนี้มีตารางแน่นเอี๊ยด ทั้งในส่วนของงานเพลง และอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเรียนต่อ

            เขาไม่คิดเลือกเรียนแพทย์ เพราะรู้ว่าความสามารถตนเองเวลานี้ บวกกับการเพิ่งเริ่มทบทวนวิชา คงไม่น่าสอบแข่งกับเด็กเพิ่งจบมัธยมได้ แต่จะพยายามเลือกคณะที่พอทำคะแนนได้ถึง และคิดว่าสามารถเรียนได้โดยไม่ฝืนใจตัวเอง
  
            ถึงวันนี้โดมรู้ว่าพ่อคงไม่ตั้งความหวังให้ลูกชายคนโตเป็นหมออีกแล้ว แค่เขาไม่ทำตัวเลื่อนลอย เรียนอะไรให้จบสักอย่าง ไม่ก็ทำงานเพลงจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว ไม่จับจด พอให้พ่อเห็นอนาคตบ้าง ก็น่าจะพอแล้ว

            โดมออกมาอยู่นอกบ้านเป็นปี เจอผู้คนมากมาย หลากหลาย มีประสบการณ์ชีวิตกว่าเดิม ได้พบเห็น รู้จักกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าตัวเองมาก ๆ ทำให้รู้จักคิดมากขึ้น จึงพอเข้าใจจิตใจคนเป็นพ่อได้

            หมอนภัทรเห็นลูกชายยอมลำบาก ดูแลตัวเองเป็นปี แทนที่จะยอมเป็นลูกแหง่อาศัยอยู่กับแม่ ทำให้เขาเห็นโดมในอีกมุมหนึ่ง ยอมรับความคิด ความเป็นผู้ใหญ่ของลูกชาย จิตใจจึงคลายความยึดถือ คาดหวังลงจนสามารถยอมรับโดมอย่างที่เป็นได้

            สองพ่อลูกพูดจาต่อกันน้อยคำ แต่มีความเข้าใจ รู้จักกันดีเสียยิ่งกว่าเคยอยู่ร่วมบ้านเดียวกันมาสิบกว่าปี

            ...ได้เบรกอีกครั้ง โดมไม่รอช้าที่จะโทรศัพท์หาลานน้ำค้าง

            “สวัสดีจ้า...นักร้องดัง” ลานน้ำค้างทักทายแบบนี้ แสดงว่าบันทึกเบอร์โทรศัพท์ใหม่ของเขาไว้ในเครื่องแล้ว

            “เป็นยังไงบ้าง...สบายดีหรือเปล่า” โดมถามอย่างต้องการคำตอบจริง ไม่ใช่ทักทายตามมารยาท

            “สบายดีสิ...ตามไปยกป้ายไฟเชียร์โดมที่คอนเสิร์ตยังได้เลยนะ” หญิงสาวตอบรื่นเริง

            “ผมยังไม่มีคิวคอนเสิร์ตหรอก” โดมตอบ “เพิ่งอัดเพลงได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่เต็มอัลบั้มเลย”

            “ว้า...อย่าให้แฟนคลับเบอร์หนึ่งอย่างพี่คอยเก้อสิ...สู้ สู้” เจ้าหล่อนกลับเชียร์ ให้กำลังใจคนที่เป็นห่วงเธอ

            “ไม่ต้องห่วงผมหรอก ลานเป็นยังไงบ้าง ไม่ยอมโทรมาหาเลย” เขาอดพ้อไม่ได้

            “สงสารคนงานเยอะนี่ แต่ถ้าโดมโทรมาตอนไหน พี่ก็รับสายทุกทีนั่นแหละ ไม่เหมือนบางคนหรอก...ชอบปิดโทรศัพท์” สุดท้ายหญิงสาวก็วกมากัดเด็กหนุ่ม

            โดมยิ้มน้อย ๆ สบายใจขึ้น

            “เบอร์นี้ผมไม่ปิดหรอก...โทรมาได้ตลอดนั่นแหละ อ้อ...วันนี้ผมค้นข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งไว้เยอะเลย แล้วจะแวะเอาไปให้ที่บ้านนะ”

            ลานน้ำค้างกำลังจะค้าน บอกว่าไม่จำเป็น...ทั้งหมอนภัทร หมอน่าน หมอน้ำทิพย์ต่างก็มีข้อแนะนำการปฏิบัติตัว การระวังรักษาสุขภาพยาวเป็นพรืดอยู่แล้ว...แต่ก็ต้องชะงัก เปลี่ยนวาจา

            “แหม...ดีจังเลย ขอบใจนะ” หญิงสาวไม่อยากให้เขาเสียน้ำใจ

            โดมยิ้ม หัวใจพองโต มีความสุข พูดคุยต่ออีกไม่กี่คำก็ต้องวางหู ถึงเวลาทำงานอีกแล้ว...



 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างวางหูโทรศัพท์ รู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด พยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ระบายออกช้า ๆ ผ่อนคลาย ตั้งสติ...อาการเช่นนี้มักเกิดขึ้นบ่อยจนเจ้าตัวเห็นเป็นปกติ ที่บอกใคร ๆ ว่าแข็งแรงดีนั้น หมายถึงจิตใจ...ไม่ใช่ร่างกาย

            การได้ฟังธรรมะ สนใจภาวนา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในจิตใจหลายอย่าง ที่เห็นชัดคือ ใจมีความมั่นคง ตั้งมั่น ยอมรับความจริงของร่างกาย ของเวทนาในกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเจ็บปวด หมดเรี่ยวแรง เวียนหัวตรงไหน ก็แค่รู้ และยอมรับอย่างที่มันเป็น

            บางครั้งเห็นทุกขเวทนาทางกาย ทำหน้าที่ของมันอย่างนั้นเอง จิตใจไม่ทุกข์ร้อนด้วย ร่างกายยิ่งเจ็บปวด ยิ่งเห็นความจริงว่าร่างกายเป็นแค่ก้อนธาตุ ก้อนทุกข์ ส่วนเวทนาเป็นแค่อะไรบางอย่างมาอาศัยร่างกายชั่วครั้งชั่วคราว

            พอใจตั้งมั่น มีกำลังเป็นผู้ดูบางขณะ สามารถแยกร่างกายเป็นร่างกาย เวทนาเป็นเวทนา จิตใจเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของมันไม่เกี่ยวกัน ชั่วเวลานั้นจะมองไม่เห็นความเป็นเรา ร่างกายของเราขึ้นมาสั้น ๆ

            ลานน้ำค้างมีเวลาว่างมาก ให้นอนพักเฉย ๆ จิตใจจะมัวซัว ซึมเปล่า ๆ พอฟังธรรมะจิตใจค่อยกระปรี้กระเปร่ามีเรี่ยวแรง พยายามฝึกหัดภาวนา เจริญสติ เจริญปัญญาตามคำสอนในซีดี

            ยิ่งได้รับคำแนะนำเรื่องการเจริญสติระหว่างวันจากคุณย่ามาลัย ยิ่งทำให้เกิดประโยชน์ ทดลองทำดูก็เห็นว่าง่าย แค่คอยตามดูความ ‘เผลอ’ ยิ่งเห็นว่าเผลอบ่อย ก็แสดงว่าสติเกิดบ่อย จึงรู้สึกสนุก สนใจฝึกฝนโดยไม่เบื่อหน่าย

            เมื่อไหร่มีเวทนาทางกายแรง ๆ ก็ใช้มันเป็นสนามทดสอบการภาวนา ว่าจะมีสติ ปัญญาตามรู้ความเป็นจริงได้แค่ไหน บางครั้งจิตอาจจมลงไปรวมกับเวทนา เกิดอาการทุรนราย แต่บางขณะจิตมีกำลัง ตั้งมั่นดี ก็จะเห็นเวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นพัก ๆ เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงในตัวทุกขเวทนาขึ้นมาบ้าง

            พอเห็นว่า ‘ทุกข์’ เป็นเรื่องสนุก น่าเรียนรู้อย่างนี้ จิตใจก็ไม่หมกจมอยู่กับความหวาดกลัว หวั่นไหว จึงไม่น่าแปลกใจที่เวลาใครถามเธอว่า...สบายดีมั้ย...ลานน้ำค้างจึงมักตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า...สบายดี แข็งแรงดี!



 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตกเย็น เลียบเมืองแวะมาหาโดยไม่มีปันปันมาด้วย ลานน้ำค้างชวนเขานั่งคุยรับลมเย็น ๆ ที่ระเบียงหน้าบ้าน ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี ยกน้ำ ขนมมาเสิร์ฟจนชายหนุ่มต้องร้องขัด

            “ไม่ต้องหรอก อย่าเห็นผมเป็นแขกเลย”

            “ขนมอร่อยนะคะ รับรองได้” หญิงสาวเชิญชวน พลางถามถึงเจ้าตัวเล็ก “ปันปันไม่มาด้วยหรือคะ”

            “ผมยังไม่ได้แวะไปรับแกที่บ้านน่ะครับ ปล่อยให้อยู่บ้านบ้างดีกว่า ไม่งั้นชอบร้องขอออกไปเที่ยวทุกวัน” ชายหนุ่มพูดถึงน้องสาวเชิงเอ็นดู

            “แวะมาวันนี้ แสดงว่าไปหาคุณหมอนภัทรมาแล้วใช่มั้ยคะ”

            “ครับ...ผมได้ข้อมูลเกี่ยวกับการหาไขกระดูกจากคุณหมอแล้ว ตั้งใจว่าจะรีบติดต่อทันที น่าจะมีโอกาส บางทีอาจเดินทางไปต่างประเทศเองก็ได้”

            ฟังถึงตรงนี้ ลานน้ำค้างรู้สึกอึดอัด ลำบากใจ

            “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะคุณปอน ช่วงนี้งานยิ่งยุ่ง ๆ ถ้าคุณไม่อยู่ใครจะดูแลปันปัน”

            “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” นัยน์ตาเลียบเมืองมีรอยยิ้ม “เจ้าปันปันตอนนี้ว่าง่ายขึ้นเยอะ ยอมปรองดองกับแม่บ้านแล้ว คงพออยู่กันได้สักสามสี่วัน”

            “แต่ลานก็ยังเกรงใจคุณอยู่ดี” ลานน้ำค้างพูดตรง ๆ

            “ผมเต็มใจ” เลียบเมืองตอบหนักแน่น แววตาจริงจัง

            ลานน้ำค้างสบตาเขาแล้วใจกระตุกวูบ สัมผัสถึงความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านมาถึงอย่างชัดเจน ไม่มีปิดบัง

            “เอ่อ...” หญิงสาวพยายามยกเหตุผลอื่น ที่จะไม่ทำให้เขาช่วยเหลือเธอมากขนาดนี้ แต่กลับคิดอะไรไม่ออก

            “ผมเต็มใจ” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง ก่อนพูดต่อด้วยวาจาที่หญิงสาวไม่คาดว่าจะได้ยิน

            “ลานคิดว่าที่ผมช่วยคุณอย่างนี้เพราะเรื่องปันปันเท่านั้นเองหรือ”

            “ก็...ไม่ใช่หรือคะ” นานครั้งหรอก ลานน้ำค้างจะพูดตะกุกตะกักเช่นนี้ต่อหน้าใคร

            เลียบเมืองยิ้ม...ยิ้มทั้งปากและนัยน์ตา มีแววหวานละมุนแผ่ซ่านออกมาโดยฝ่ายตรงข้ามรู้สึกได้

             “ผมชอบคุณ!” นี่เป็นคำพูดที่ลานน้ำค้างไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากเขา

            “คุณปอน...” ชื่อท้ายของเขาแผ่วเบาแทบกลืนหายลงลำคอ

            วาจาเลียบเมืองไม่ล้อเล่น แววตาเขายิ่งไม่แปลกปลอม ผู้หญิงที่มีความตรงไปตรงมาสูงเช่นลานน้ำค้างย่อมรู้...นี่คือความจริงใจแท้

            “ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าชอบคุณตอนไหน เมื่อไหร่ คุณอาจลังเล ไม่แน่ใจ แต่ถ้าผมไม่ชอบคุณแบบนี้ ผมคงไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ เป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าคุณป่วย... ถ้าผมไม่ชอบคุณ ผมคงไม่รู้สึกอยากทำอะไรมากมายเพื่อช่วยคุณแน่ ๆ และถ้าผมไม่ชอบคุณ ผมคงไม่อยากสู้กับเจ้าโรคร้ายนี้อยู่ข้าง ๆ คุณจนสุดกำลังแน่นอน”

            ลานน้ำค้างฟังถ้อยคำที่ยืดยาวนี้ด้วยใจเต็มตื้น เหมือนฝันทั้งที่ยังลืมตา ล่องลอย เท้าไม่ติดพื้น ทั้งที่คิดว่ายังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

            “ขอบคุณค่ะ...” ลานน้ำค้างตอบวาจานั้นด้วยความยินดี “ขอบคุณที่มอบความรู้สึกอันมีค่านี้ให้ลาน”

            เลียบเมืองเอื้อมมือไปกุมมือบอบบาง ขาวซีดของหญิงสาว แรงบีบกระชับแน่นนั้นบอกให้รู้ถึงความจริงใจของเขา...ความจริงใจนี้ ย่อมเข้าไปสัมผัสถึงใจผู้รับได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP