วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๑๐


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ม่านหน้าห้องรับแขกถูกปล่อยห้อยระย้า ประตูปิดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศดังเบาๆ ห้องกว้างเหลือเพียงแสงสลัวมัวพอมองเห็น เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นถูกย้ายออกไป เหลือโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ชุดโซฟาถูกเลื่อนติดผนัง รอบโต๊ะปูพรมพอนั่งได้สามผืน กลางโต๊ะตั้งขันเงินใบใหญ่บรรจุน้ำเกือบค่อน ข้างๆ มีชามเซรามิคใส่ดอกมะลิ ส่งกลิ่นหอมเย็นๆ

พันเกลียวนั่งลงบนพรมผืนหนึ่ง ผายมือให้เจ้าของบ้านทั้งสอง มรรคามองปีกแก้ว พยักหน้าน้อยๆ ก่อนทรุดร่างบนพรม

คนทั้งสามนั่งเรียงเป็นสามเหลี่ยมรอบโต๊ะ พันเกลียวหยิบดอกมะลิมาโรยไว้ในขัน ฉับพลันดอกมะลิเหล่านั้นก็เรียงตัวเป็นวงกลมกลางขันน้ำ

คุณกำลังทำอะไร มรรคาถาม ท่าทางแปลกใจ

พันเกลียวปิดเปลือกตาลง...เกือบจะถอนใจ...คนบางคนหล่อนไม่ต้องพูดมาก แค่ ศรัทธาคำเดียวก็ทำให้ยอมรับอะไรได้มากมาย แต่กับบางคน ต้องใช้ เหตุผล

อาโปกสิณ คำตอบสั้นๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมา ฉันจะติดต่อกับวิญญาณดวงนั้นให้คุณ แต่การ สื่อ ถึงกันได้ จิตของคุณควรเป็นสมาธิก่อน

แล้วจะให้เราทำอย่างไร

เพ่งน้ำกลางวงดอกมะลินั่น จะภาวนาอะไรก็ได้ แต่อย่าส่งจิตไปที่อื่น ให้จับวงน้ำนี้เป็นอารมณ์เดียว

มรรคาเงียบ น่าแปลกที่คำพูดเพียงเท่านี้ เขากลับเข้าใจทะลุปรุโปร่ง อาโปกสิณ คือการทำจิตให้สงบโดยการเพ่งน้ำเป็นอารมณ์

ปีกแก้วยิ่งเข้าใจ การติดต่อกับ คุณอา หล่อนก็ใช้สมาธิ การทำจิตให้สงบไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหล่อน


พิธีเริ่มต้น...

นัยน์ตาสามคู่เพ่งไปยังวงน้ำดอกมะลิ รอบด้านมีเพียงแสงสลัวๆ หากแต่กลางขันเงินกลับเรื่อเรืองด้วยแสงสีเหลืองอ่อน ผิวน้ำนิ่งไร้ระลอก กลิ่นดอกมะลิหอมรวยริน

พันเกลียวหลับตาลงก่อน ภาพวงน้ำสีเหลืองกระจ่างชัดในใจ...โดยไม่ต้องมีการบอก มรรคากับปีกแก้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกล้านัยน์ตา ผิวน้ำอันนิ่งสงบฉายเด่น แจ่มชัด จิตใจเยือกเย็นราวได้สัมผัสระลอกธารเย็นชื่น

พันเกลียวเริ่มสาธยายมนต์ เสียงไม่ดังเกินแมลงหวี่ ทุกอักขระชัดเน้นรัวเร็ว และค่อยๆ ซาลง คล้ายสายฝนปลิวละอองวิบวับ

เมื่อลืมตาขึ้นมา มรรคามองเห็นไอขาวๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำ ยิ่งนานยิ่งหนาแน่น เสียงของพันเกลียวขาดหาย ชายหนุ่มยังเห็นร่างหญิงสาวนั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่ใกล้ๆ ส่วนปีกแก้วหลับตาพริ้ม สีหน้าแช่มชื่น

ละอองหมอกขาวครอบคลุมร่างทั้งสามเอาไว้ พันเกลียวกับปีกแก้วลืมตาในเวลาไล่เลี่ยกัน...ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากความเงียบที่สะกดทุกคนให้จมดิ่งสู่ห้วงแห่งสายน้ำที่ไม่มีก้น

ใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏรางๆ กลางกลุ่มหมอก มรรคาเห็นแล้วหลุดเสียงมาเบาๆ

กะพ้อ... ภาพยังไม่ชัดเจน แต่จิตใจยืนยันชื่อนี้ขึ้นมาทันที

หญิงสาวกลางหมอกยิ้มเศร้าๆ ดวงตาเด่นชัดจับจ้องใบหน้ามรรคา

ท่านจำข้าน้อยได้ น้ำเสียงยินดีดังจากกึ่งกะโหลก มรรคารวบรวมสมาธิเพ่งใบหน้าหล่อนจนเห็นชัดเจน

เขายืนยันกับตนเอง...ใช่ นี่แหละผู้หญิงในความฝัน

มีเรื่องอะไรอยากถามก็ถามเสีย...ภาพปรากฏของเธอ อาจอยู่ได้ไม่นาน เสียงเรียบๆ ของพันเกลียวขัดขึ้น ชายหนุ่มจึงได้สติ

คุณเป็นใคร คำถามสั้นๆ ทำให้ใบหน้ากลางหมอกสลดลง

ในที่สุด ท่านก็ยังไม่อาจระลึกได้ น้ำเสียงคราวนี้ทุกคนได้ยินชัด

คุณมาที่นี่ทำไมคะ ปีกแก้วค่อยกล้าถาม

...ไม่มีคำตอบ...หญิงสาวผู้ปรากฏกายกลางหมอกสนใจมรรคาคนเดียว ดวงตาหล่อนไม่ยอมคลาดจากใบหน้าชายหนุ่ม

เธอเป็นใคร มาที่นี่ทำไม เสียงของพันเกลียวแฝงอำนาจ กดดันวิญญาณสาว

ท่านจำชื่อกะพ้อได้ ทำไมถึงไม่รู้ว่ากะพ้อเป็นใคร ทำไมถึงไม่รู้ว่ากะพ้อมาที่นี่เพื่ออะไร

หญิงสาวพูดจาราวกับห้องนี้มีแค่มรรคากับหล่อน

ฉันเห็นเธอในฝัน แต่ฉันยังไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรทั้งนั้น ทำไมเธอถึงไม่เล่าให้ฉันฟัง มรรคาสงบใจถาม

บอกไปจะได้ประโยชน์ใด ท่านในวันนี้ ต่างจากท่านในวันนั้น ท่านต้องคืนความทรงจำด้วยตัวท่านเอง

เขาให้ฉันมาขับไล่เธอ พันเกลียวพูดเสียงเรียบ นัยน์ตาเพ่งวิญญาณตรงหน้า กระแสพลังรุนแรงพอจะทำให้ เจ้าหล่อนหันมามอง

ข้าไม่ได้มาร้าย น้ำเสียงแข็งขึ้น นัยน์ตาสบตอบพันเกลียวอย่างไม่เกรงกลัว

ไปถามพ่อเจ้าเถอะ บางทีเจ้าอาจรู้จักข้ามากขึ้น วิญญาณสาวพูดกับ หมอผี ราวกับเป็นบุคคลเสมอกัน

พันเกลียวหรี่ตา จิตใจสับสน พ่อ เกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณนี้อย่างไร... และมีความลับใดที่ไม่ได้บอกหล่อน

เอาเถอะ ข้ารู้ว่าพวกมนุษย์กลัวข้า ต่อไปข้าจะไม่ปรากฏกายให้คนพวกนั้นเห็น หมอผีไม่ต้องใช้คาถาขับไล่ เจ้าหล่อน ก็รับปากง่ายๆ เอง

หล่อน พูดจบก็หันมาทางมรรคา นัยน์ตาอ่อนลง ท่าทีเหมือนอยากบอกอะไรบางอย่าง

ข้าน้อยมาที่นี่ ก็เพื่อชักนำให้ท่านเห็นภาพในอดีต เผื่อบางที ความทรงจำที่ขาดหายไประหว่างการเคลื่อนผ่านภพชาติของท่านจะกลับคืนมา ท่านจะได้รู้ว่าเคยทำอะไรไว้ และที่สำคัญ เคยให้สัจจากับผู้ใด


ใบหน้าของกะพ้อค่อยๆ ละลายรวมกับสายหมอก ไอขาวๆ ม้วนตัวเป็นวังวนหมุนลึกลงไป บรรยากาศรอบๆ เหมือนถูกผ้าดำมาคลุมทับอีกชั้น กึ่งกลางวังวนดึงดูดมรรคาให้จมดิ่งสู่สถานที่ที่เขาเคยคุ้น แต่ไม่อาจจดจำ

มันเป็นป่าหนาทึบแฝงกลิ่นอายเยือกเย็นวังเวง หญิงสาวคนหนึ่งเดินนำหน้าเขาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว อาการบาดเจ็บที่เท้าของหล่อนไม่มีร่องรอยให้เห็น

เขาเดินเรื่อยๆ ไม่เร็วไม่ช้ารักษาระยะห่างระหว่างเขากับหล่อนเอาไว้ ดวงตะวันลอยสูง ส่องลอดม่านใบไม้ลงมารำไร เขาไม่เหน็ดเหนื่อยหรือลำบากในการเดินทาง แต่ยิ่งนานฝีเท้าหญิงสาวข้างหน้าเริ่มผ่อนลง เสียงหอบหายใจดังมาให้ได้ยิน

พักก่อนเถอะ เขาบอกหล่อน

หญิงสาวหันมา ใบหน้าแดง เหงื่อย้อยซึมเต็มใบหน้า

ข้าน้อยจะไปหาผลไม้มาให้ หล่อนพูดแล้วเตรียมตัวจะไป

ไม่ต้องหรอก เขายื่นผลไม้ในมือให้ หญิงสาวเบิกตาโต มองอย่างไม่เชื่อสายตา

ท่านเก็บมาแต่เมื่อใด

เขายิ้ม กินเสียเถอะ

ทั้งสองเลือกนั่งตรงโขดหิน หญิงสาวหยิบผลไม้จากมือเขาไปเพียงครึ่งเดียว

กินให้หมดนั่นแหละ เขายัดผลไม้ที่เหลือใส่มือหล่อน

แล้วท่าน...

ไม่ต้องห่วงข้าหรอก เขายิ้มและหลับตาพักผ่อน หญิงสาวค่อยกล้าพิศใบหน้าชายหนุ่มเต็มตา...ชายผู้มีคุณนั้นรูปงาม น้ำใจก็งาม หากประหลาดนักตลอดเวลาที่ร่วมทางกัน หล่อนไม่เคยเห็นเขากินอะไร ไม่เคยเห็นร่องรอยเหน็ดเหนื่อยจากใบหน้าเขา...หล่อนเคยคิด บางทีเขาอาจเป็นเทพารักษ์ ไม่ก็เจ้าปู่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ แต่ไม่ยักเห็นเขาแสดงฤทธิ์ใดๆ ถ้าเขามีฤทธิ์จริง ก็น่าพาหล่อนหายตัวไปถึงหมู่บ้านนานแล้ว

อีกนานไหมกว่าจะถึงหมู่บ้านเจ้า จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นถาม กะพ้อแทบสำลักผลไม้

พ้นเขาลูกนี้ก็ถึงแล้ว

คงค่ำๆ สินะ เขาพูดแล้วหลับตาลง ก่อนเปลือกตาปิด กะพ้อได้ยินคำพูดที่ทำให้สะดุ้งเฮือก อิทธิฤทธิ์...ไม่ใช่เรื่องที่จะแสดงกันพร่ำเพรื่อ...


ภาพเหตุการณ์ในป่าถูกกระแสหมอกพัดพาจนกระจายหาย สิ่งที่ปรากฏแก่มรรคาต่อมาคือควันไฟลอยสูง กับแสงโคมวับแวมตามกระท่อมมุงจาก

หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางแสงแห่งสนธยากระจ่างชัดในสายตาเขา ผู้คนกำลังเดินกลับบ้านเรือน บ้างก็ล้อมวงกินอาหารเย็น หญิงสาวและเขาซุ่มตัวอยู่ที่ชายป่าใกล้หมู่บ้าน รอจนฟ้ามืด ดวงจันทร์กลมโตสาดแสงนวล กะพ้อพาเขาลัดเลาะไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง

แสงเดือนพอจะแยกแยะให้เห็นว่ากระท่อมหลังนั้นใหญ่และแข็งแรงกว่ากระท่อมทั่วไป หญิงสาวให้เขารออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองจะลอบไปสำรวจดูก่อน

แม่... กะพ้อส่งเสียงเบาๆ เมื่อเห็นหญิงกลางคนกำลังเก็บถ้วยชามมาล้างที่หลังบ้าน แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงหญิงสาว ร่างสูงใหญ่ดำทะมึนก็ก้าวออกมาจากกระท่อม

อีกะพ้อ เสียงตวาดลั่น หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดฮวบลง

พ่อ น้ำเสียงหลุดออกมา ดังไม่ผิดเสียงคราง

ข้าบอกแล้ว พวกเอ็งเชื่อหรือยัง ที่สุดอีกะพ้อก็ต้องกลับมา คนที่ก้าวตามหลังพ่อ ยิ่งทำให้หญิงสาวใจสั่นระรัว

พ่อหมอ!”

เหตุการณ์ต่อจากนั้น กะพ้อไม่อาจจำแนกได้ชัดเจน เพราะมันเต็มไปด้วยความสับสน ตื่นกลัว แต่สิ่งติดตาหญิงสาวมากที่สุดคือนัยน์ตาเศร้าโศกห่วงใยของแม่

หญิงสาวถูกลากไปกลางลานหมู่บ้าน ชาวบ้านถูกเรียกให้มาชุมนุมในคืนนั้น คบไฟถูกปักล้อมรอบจนสว่างแข่งกับแสงจันทร์ พ่อหมอ กำลังประกาศลั่นถึงชัยชนะที่เข้ามาสู่อุ้งมืออย่างง่ายดาย

จ้าว เคยบอกว่า อีกไม่นานอีกะพ้อมันจะต้องกลับมา แล้วมันก็มาจริงๆ อีกะพ้อทำผิดต่อจ้าว...สุดท้ายมันก็หนีจ้าวไม่พ้น

ดวงตาทุกคู่มอง พ่อหมอ อย่างเลื่อมใส กะพ้อกวาดตาไปรอบๆ หวังจะได้เห็นชายผู้มีคุณ แต่ก็ต้องผิดหวัง

บนลานกว้างแน่นขนัดไปด้วยชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดง คบไฟสว่างมองเห็นออกไปไกล พ่อยืนข้างหลังพ่อหมอ ส่วนแม่ได้แต่หลบร้องไห้เงียบๆ ที่โคนต้นไม้...แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่กะพ้อก็ยินดีที่ชายผู้มีคุณไม่ได้อยู่บริเวณนี้

เราจะเผามันทั้งเป็น บูชาจ้าวในคืนวันพรุ่ง พ่อหมอประกาศลั่น ชาวบ้านยกมือ เฮสนับสนุน

กะพ้อถูกขังในกรงกลางลานหมู่บ้าน ผ่านคืนอันโดดเดี่ยว จิตใจที่ทดท้อหวาดกลัว ยามตะวันขึ้น ชาวบ้านเดินผ่านไปมาต่างเหลือบมองอย่างสมเพชแกมเกลียดชัง...ลึกๆ ในใจกะพ้อคิดว่าผู้มีคุณอาจจะมาช่วยอีกครั้ง แต่ทุกสิ่งกลับว่างเปล่า วันทั้งวันดูเหมือนทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด

แท่นบูชาถูกต่อขึ้นมาหยาบๆ ใกล้กรงขัง และเสร็จทันตะวันตกดิน

ถึงเวลา...ชาวบ้านทยอยกันออกมา...หญิงสาวมองไม่เห็นแม่...บางทีแม่คงทนเห็นลูกสาวถูกฆ่าไม่ได้

ฟ้ามืด...แสงคบสว่างจ้า พ่อหมอออกมาประกาศความผิดของหล่อน กะพ้อได้แต่ยิ้มหยัน ไม่มีคำพูดตอบโต้ พอประกาศจบ ชาวบ้านเฮรับ กะพ้อโดนชายสองคนหิ้วแขนไปมัดติดกับเสา เวลานี้หญิงสาวทอดอาลัยกับชีวิตแล้ว

นี่หรือ สิ่งที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์!” เสียงประหลาดดังกังวานมาจากทุกทิศ พวกชาวบ้านชะงักเสียงเฮ หมอผีเหลียวรอบตัวหาต้นตอ...กะพ้อผงกหัวขึ้นอย่างเร็ว จิตใจลิงโลดสุดระงับ

ร่างร่างหนึ่งเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านมาอย่างสง่างาม เขาแต่งกายไม่ผิดจากชาวบ้านทั่วๆ ไป จะต่างก็ตรงใบหน้าคมคาย งดงาม แฝงราศี ทำให้ทุกคนยำเกรงและพรั่นพรึง

ปล่อยนางเสีย คำพูดเรียบๆ มีผลให้ชายที่คุมตัวกะพ้อมือไม้อ่อน ไม่อาจทำตามความตั้งใจ

เอ็งเป็นใคร พ่อหมอรวบรวมความกล้า ชี้ถามชายแปลกหน้า

กะพ้อลงมาเถอะ ยามสายตาปะทะกัน เรี่ยวแรงที่เหือดหายของหล่อนได้กลับคืนสู่ตัวอีกครั้ง

หญิงสาวลงจากแท่นประหาร ก้าวเข้าไปหาเขาอย่างไว้ใจ

หยุด ผู้กำลังถูกลิดรอนอำนาจตวาดลั่น

เจ้าสิหยุด... เสียงโต้ตอบดังเกือบจะทันที หยุดเป็น ทาส สิ่งที่มองไม่เห็นเสียที

...เอ็ง...เอ็ง...กล้าว่า จ้าว’ ” น้ำเสียงสั่นระริกด้วยความโกรธ

จ้าวมีคุณอันใดหรือ พวกเจ้าถึงได้เคารพนบนอบกันนัก ข้าเห็น จ้าว สร้างได้แต่ความหวาดกลัว เป็นม้าใช้ให้เอ็งแอบอ้าง กระทั่งใช้ความโง่ของชาวบ้านเป็นตรวนผูกมัดคอชาวบ้านไว้

เอ็ง...เอ็ง พ่อหมอตัวสั่นเทิ้ม เอ็งไม่เคยเห็นอำนาจของจ้าว เอ็งไม่มีวันรู้หรอกว่าจ้าวยิ่งใหญ่แค่ไหน

งั้นหรือ คำพูดพร้อมยิ้มหยัน ถ้าอย่างนั้น เอ็งลองเรียกจ้าวมาให้ข้าเห็นได้หรือไม่

เป็นการเรียกร้องที่ทำให้ทุกคนเสียวสันหลัง กะพ้อเองแทบเข่าอ่อน ชายหนุ่มผู้อหังการกลับยืนนิ่ง นัยน์ตาวาวโรจน์ ดั่งมีความมั่นใจเต็มหัวอก

ได้ พ่อหมอก้าวไปยืนประจันกับชายแปลกหน้า ดวงตาแดงโร่ราวถูกประจุด้วยเปลวเพลิง คำพูดลบหลู่ได้กระตุ้นไฟแค้น ทำให้เกิดมุมานะต้องการเอาชนะ

เอ็งตามข้ามา พูดจบก็เดินฝ่าชาวบ้านออกนอกวงคบไฟ

พ่อหมอจะพาท่านไปยังที่สถิตแห่งจ้าว กะพ้อกระซิบต่อเขา

ไปด้วยกันสิ เขาก้มหน้ามายิ้มให้ หัวใจหญิงสาวพองฟูราวมีดอกไม้นับร้อยๆ ดอกบานเต็มที่

สิ่งที่เป็นจุดรวมสายตาทุกคนในบริเวณนั้นคือต้นไทรขนาดมหึมา สูงใหญ่จนไม่อาจคาดคำนวณอายุ เงารากไทรไหวโอนเอนตามลม ดูเหมือนเส้นผมนางปิศาจร้าย

ชาวบ้านถือคบไฟตามกันมา พ่อของกะพ้ออยู่ในกลุ่มนั้นด้วย หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มต้อยๆ ไม่ต่างจากทาสผู้ซื่อสัตย์ จนกระทั่งเขาหยุด หล่อนจึงเห็นพ่อหมอปักคบไฟด้านหน้าต้นไทรยักษ์

เอ็งแน่ใจนะว่ากล้าพบกับจ้าวจริงๆ มาถึงที่นี่ พ่อหมอดูจะมีพลังพิเศษเพิ่มขึ้นอีกอักโข

รีบเรียกจ้าวของเอ็งมาเถอะ ชายนิรนามพูดอย่างไม่ใส่ใจ พ่อหมอหมุนตัวหาต้นไทร รวบรวมสมาธิ ชาวบ้านทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

คำบริกรรมคาถาดังสูงๆ ต่ำๆ บางครั้งรัวเร็วจนฟังแทบไม่เป็นภาษา บางครั้งทอดช้าราวกับเชื้อเชิญ บรรยากาศอึดอัด หนาวเหน็บแผ่กระจายสู่ชาวบ้านที่รายล้อมยืนรอชมจ้าว

เสียงสวดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ และสุดท้ายเป็นเสียงตวาดลั่นจากพ่อหมอ...

ทุกคนสะดุ้งเฮือก ยกเว้นเขา

ลมประหลาดกระโชกแรงจนคบไฟแตกสะเก็ด บางคบดับวูบ เสียงลั่นกราวของใบไม้และรากไทรดังซู่ๆ กะพ้อ และชาวบ้านรีบหมอบราบเพื่อลดทอนกระแสแรงลม

ชายหนุ่มผู้อหังการกลับยืนนิ่ง ลมแรงเพียงพัดเส้นผมเขาให้ปลิวสะบัด ร่างยิ่งมั่นคงดังขุนเขา หมอผีคุกเข่าฮวบชูมือทั้งสองขึ้นดุจเป็นการคารวะต่อผู้มีอำนาจ

และแล้ว...เสียงหัวเราะดังลั่นก็สะเทือนลงมาจากฟากฟ้า

ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่า...ฮ่า...

ชายหนุ่มเงยหน้ามอง รอยยิ้มสมเพชผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง...หมอกขาวกำลังม้วนตัวลงมาจากฟ้ามืด คบไฟทุกดวงดับสนิท แสงจันทร์ถูกบดบังด้วยสายหมอก...เสียงหัวเราะยังไม่หยุดยั้ง วังวนของหมอกขาวยิ่งพุ่งดิ่ง หนาแน่นเข้าๆๆ

...ขาว...สีขาวของละอองไอน้ำกำลังลอยม้วนตัวเข้าไปในขันเงิน ความหนาทึบคลายตัวลง มรรคาเริ่มเห็นพันเกลียวและปีกแก้วนั่งล้อมวงลักษณะเดิม ห้องสลัวมัวด้วยม่านหน้าต่าง

พี่มัค ปีกแก้วเรียก สีหน้าเป็นห่วง ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ

ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก รวบรวมสติ เรียบเรียงความคิดที่กระจัดกระจายเข้ามา สายตามองพันเกลียวเต็มไปด้วยคำถาม

คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นไหม เขาถาม

แล้วคุณเห็นอะไร หล่อนย้อน

มรรคาหลับตา ลำดับความคิด

กะพ้อ...ผู้หญิงคนนั้น...หมู่บ้าน...หมอผี...ต้นไทรยักษ์และเกือบ...จะได้เห็น จ้าว

ฉันไม่เห็น

เหนื่อยมั้ยคะพี่มัค ปีกแก้วสังเกตเห็นสีหน้าอิดโรยของเขา

นิดหน่อยจ้ะ เขาบอกน้องสาวแล้วหันกลับไปทางพันเกลียว เราออกจากห้องนี้ก่อนเถอะ ข้างนอกคงมีลมเย็นกว่า ผมมีเรื่องจะถามคุณหลายเรื่อง

พันเกลียวพยักหน้า หล่อนเองก็อยากคุยกับเขาเช่นกัน

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP