ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ถ้าสวดมนต์แล้วรู้สึกขนลุกมากๆ ควรทำอย่างไร



ถาม - เวลาสวดมนต์แล้วรู้สึกขนลุกมากๆ เกิดจากอะไร และควรทำอย่างไรคะ



การที่เราอยู่ในสมาธิก็ดีหรือว่าสวดมนต์
ซึ่งโดยสภาพของจิตใจกับร่างกายจะแตกต่างจากเวลาปกติ
บางครั้งมันมีความสุข บางครั้งมันมีความปรุงแต่งไปในแบบที่จะทำให้เกิดปีติ
ปีติมีหลายแบบนะ ปีติแบบเย็นซ่าน เป็นสุข เงียบๆ แล้วก็นิ่งๆ แบบนี้ก็มี เป็นปีติที่ดี
แต่มีปีติแบบอื่นอีก ปีติแล้วเกิดความขนลุก ปีติแล้วเกิดอาการน้ำตาไหล ตัวโยกโคลง
หรือว่ามีการผิดปกติใดๆ ขึ้นมาในร่างกาย แล้วก็ภาวะของจิตใจ
อันนี้ก็เป็นปีติชนิดต่างๆ ที่ท่านจำแนกไว้นะครับ



การจะมีปีติแบบขนลุกมากๆ ก็มีได้หลายสาเหตุ
และส่วนใหญ่ก็จะมองกันว่าเป็นเหมือนกับมีใครมาขอส่วนบุญ
แล้วเรารู้สึกสัมผัส คือมันมีสัมผัสทางจิต มีเซนส์ (
sense) ที่ออกมาจากภายใน
ว่ามีภาวะไม่ปกติอยู่รอบๆ ตัว อะไรแบบนั้นนะ
ถ้าหากจะให้ดีที่สุดนะ เราตระหนักว่าเราไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง
ว่ามีอะไรมากระทบให้เราเกิดความรู้สึกขนลุกขนชัน
หรือว่าเกิดความรู้สึกสยองอะไรแบบนี้นะ
ทางที่ดีที่สุดก็คือให้แผ่เมตตาเสีย
แผ่เมตตาขณะนั้นเลย ตอนที่ขนลุกแล้วไม่กล้าสวดต่อ
ก็ขอให้แผ่เมตตาให้เป็นด้วยนะ



คนส่วนใหญ่จะแค่ท่อง สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
หรือไม่ก็ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ เป็นการแผ่เมตตาด้วยความกลัว
อยากให้เขาไปให้ห่างๆ อยากให้เขาไปพ้นๆ อยากให้เขาไม่มารบกวนเรา
อาการแบบนี้เขาเรียกว่าแผ่เมตตาด้วยความทุกข์
มันไม่มีทางหายกลัวไปได้หรอก
แต่ถ้าหากว่าเราเกิดความกลัว เกิดความขนลุกขนชันขึ้นมานะ
ก็กลับไปตั้งต้นใหม่ กลับไปกราบองค์พระปฏิมานะครับ
ด้วยความรู้สึกนอบน้อมเคารพ
อาการนอบน้อมเคารพมากๆ จะทำให้จิตของเรามีความนิ่มนวล
จะทำให้ใจของเรานี่มีความนิ่ง มีความเป็นกุศล มีความสว่างขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
นั่นเรียกว่าสร้างเหตุแห่งความสุขขึ้นมาแล้ว



แล้วเราก็เดินหน้าต่อนะ ด้วยการสวดมนต์โดยที่มีใจเคารพในพระรัตนตรัย
ไม่ใช่สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทอง
แต่สวดด้วยใจที่มีความสว่าง ใจที่มีความอิ่ม ใจที่มีความเต็มเป็นกุศล
มีความตั้งใจที่ดี มีความตั้งใจที่จะเปล่งเสียง
เจริญคำสรรเสริญ เจริญสติ เจริญความรักในพระรัตนตรัย
จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าเป็นสุขจริงๆ
แล้วเอาความสุขนั้น เกิดความสุขจริงๆ ขึ้นมาแล้ว
เราค่อยคิดว่า เออ ขอให้ความสุขนี่ได้แก่สิ่งที่เราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม
สิ่งที่อยู่รอบตัวที่ทำให้เราเกิดอาการขนลุกนั่นแหละ


ถ้าหากว่าความสุขของคุณมีกำลังมากพอ
มันจะเกิดความเย็นซ่านขึ้นมาเป็นปีติอีกแบบหนึ่ง
เป็นอาการที่เรารู้สึกว่าสบาย สบายเนื้อสบายตัว สบายใจ
แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับอากาศรอบๆ ตัว
เปลี่ยนจากความวิเวกแบบสยองน่ากลัว ให้กลายเป็นความวิเวกในอีกแบบหนึ่ง
วิเวกในแบบที่มันเย็นซ่าน มันมีความสุข มันมีความลึกซึ้ง
มันมีความกว้าง เปิดออกไปนะครับ



แต่ถ้าหากว่ามีอาการขนลุกมากๆ ในลักษณะอื่น ที่มันไม่ได้สยองอะไรนี่นะ
เราไม่ได้เกิดความกลัว เราไม่ได้เกิดความหวาดเกรง หวาดวิตกอะไรต่างๆ
ก็ขอให้สวดต่อไป
และมองว่าอาการขนลุกนั้นเป็นภาวะปรุงแต่งทางกายที่เกิดขึ้นชั่วคราว
ถ้าหากว่าเราสวดต่อ
แล้วเห็นว่าอาการขนลุกนั้น มันเพิ่มได้ มันลดได้ มันคงที่ได้ ชั่วขณะ
คำว่าชั่วขณะอาจจะครึ่งนาทีก็ได้ อาจจะห้าวินาทีก็ได้ อาจจะหลายนาทีก็ได้
ถ้าอยากจะเอามาใช้ในการเจริญสติ ให้สวดต่อไปเรื่อยๆ เลย
จนกว่าเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาการขนลุกนั้นอย่างชัดเจน
เดี๋ยวมันมีมากได้ เดี๋ยวมันมีน้อยได้ เดี๋ยวมันคงที่ได้ เดี๋ยวมันหายไปเลยได้


อย่างนั้นเท่ากับเราเอาการสวดมนต์มาใช้ในการเจริญสติ
ทำบ่อยเข้ามันจะเห็นขึ้นมาว่าอาการขนลุกเป็นอนัตตาจริงๆ
มันไม่ได้อยู่ในตัวตนเรา มันไม่ได้เป็นตัวเรา
มันเป็นแค่ภาวะปรุงแต่งขึ้นมาชั่วครู่
นี่จะเป็นหนึ่งในข้อสรุปทางใจ ความฉลาดทางใจว่า

อะไรๆ เกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย ย่อมดับลงเป็นธรรมดาเมื่อเหตุปัจจัยหมดลง
ขอให้มองอย่างนี้นะว่าทุกโอกาส ทุกสภาวธรรม
มันคือโอกาสในการเจริญสตินั่นเอง



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP