สารส่องใจ Enlightenment

ดำเนินตามแนวทางแห่งนักปราชญ์ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐




พากันตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์
การได้ยินได้ฟังเสมอในสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นเป็นการเพิ่มพูนประโยชน์ขึ้นมากมาย
คนเราจะมีความเฉลียวฉลาดก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง
ได้ฟังมากด้วยความสนใจใคร่จะรู้สิ่งนั้นๆ ที่เป็นประโยชน์
ก็ย่อมได้รับประโยชน์โดยลำดับ มีความรู้ความฉลาดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นการศึกษาเล่าเรียน การประพฤติปฏิบัติ การได้ยินได้ฟัง
จึงเป็นเครื่องประดับสติปัญญาหรือคุณงามความดีสำหรับผู้มุ่งต่อความดีไม่มีที่สิ้นสุด



ในศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็มีเฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่เป็นสัพพัญญู
ทรงรู้เองเห็นเองทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องศึกษาจากผู้ใดเลย
ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่นำมาประกาศสอนโลก
นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว แม้สาวกจะเป็นองค์ใดก็ตาม
จะเรียกว่าสัพพัญญูรู้โดยลำพังตนเองไม่ได้
ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง การสำเหนียกศึกษา ทั้งทางหูทางตา ทุกด้านทุกทาง
เพื่อประดับความรู้ความฉลาด ให้ได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางนั้น
แล้วผลอันเป็นที่พอใจจะพึงเกิดขึ้นโดยลำดับ
จนกระทั่งถึงอรหัตผลที่สาธุชนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา
ระลึกถึงท่านมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ



เพราะฉะนั้นการสำเหนียกศึกษา การได้ยินได้ฟัง
ด้วยความสนใจจึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เราไม่มีสิ้นสุด
สาวกแต่ละองค์ๆ ได้สดับจากพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก
และสดับจากครูบาอาจารย์ต่อกันไปเป็นลำดับลำดาก็มี
เพราะฉะนั้นการศึกษาเล่าเรียน การได้ยินได้ฟัง
จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราผู้ต้องการความรู้ความฉลาด



ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัว
ที่จะให้ความถูกต้องแม่นยำหรือดีงาม
แก่บรรดาผู้ที่มีความสนใจต่อศาสนธรรมท่านโดยลำดับ
ท่านทั้งหลายเป็นพุทธมามกะ คือถือพระพุทธเจ้าเป็นของของตน
เป็นสมบัติอันล้นค่า เป็นที่เทิดทูนของเราเหนือชีวิตจิตใจ
เราจึงได้เปล่งวาจาว่าพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า
ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ฝากเป็นฝากตายไว้ตั้งแต่บัดนี้จนตลอดชีวิต
ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็เช่นเดียวกัน



หลักใจของเราชาวพุทธก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ทุกสิ่งทุกอย่างเราได้มอบความไว้วางใจ
ไว้กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้ทั้งหมด
ก็เพราะทั้งสามรัตนะนี้เป็นรัตนะที่แน่นอน เป็นรัตนะที่ไว้ใจ
ถ้าพูดถึงเรื่องความถูกต้องดีงามก็ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกสิ่งทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งนั้น
ไม่มีอะไรที่จะให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยภายในจิตใจ
เราจึงได้เปล่งวาจาถึงขนาดนั้น



นี่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์มาจากสถานที่ไกลอยู่มาก
จากกรุงเทพฯ มาถึงอุดรฯ ก็ร่วม ๖๐๐ กิโล ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ไม่ใช่ของง่าย
ต้องสละเวล่ำเวลา ตั้งอกตั้งใจจริงๆ ฝ่าฝืนอุปสรรคใดๆ
แม้ที่สุดชีวิตก็ยอมสละในการมานี้
เพื่อหวังบุญหวังกุศลอันจะเป็นสิริมงคลแก่ตนทั้งปัจจุบันและอนาคต
เรียกว่าเราได้ดำเนินตามแนวทางแห่งนักปราชญ์ มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ที่ทรงดำเนินมาแล้ว เป็นตัวอย่างหรือเป็นคติอันดีแก่พวกเราทั้งหลาย



การที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นอนุตระ เป็นศาสดาเอกสอนโลก
ก็อาศัยการสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย
จึงไม่มีใครที่จะเสมอพระพุทธเจ้าได้
ในการให้ทานก็เอาจนร่ำลือ ร่ำลือจนขนาดถูกเขาขับหนีจากบ้านจากเมือง
เช่นคราวเป็นพระเวสสันดร ให้ทานเสียจนกระทั่งชาวเมืองเขาไม่พอใจ
ขับไล่ไสส่งพระองค์ไปอยู่เขาคีรีวงกตโน้น
พระองค์ก็ยอมไป ไม่ขัดชาวบ้านชาวเมือง คือไม่ขัดใจเขา
จะทุกข์ยากลำบากเพียงใดพระองค์ก็พอพระทัยที่จะไป
ไปแล้วแทนที่พระองค์จะปฏิบัติตามเขาที่ขัดใจไม่อยากให้ทำทานนั้น ไม่มีอะไร
มีกัณหา-ชาลีเท่านั้นก็สละทานไปได้ แน่ะ ยกพระกัณหา-ชาลีทานไปอีก
แล้วยกพระชายา คือพระนางมัทรีให้ทานแก่พราหมณ์อีก
การให้ทานเรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ยอมใคร
ทำตามพระนิสัยของพระองค์ซึ่งเคยบำเพ็ญอย่างนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว
จึงว่าการให้ทานก็ไม่มีใครจะสู้พระพุทธเจ้าได้
จึงเรียกได้ว่าเป็นนักเสียสละ จอมแห่งนักเสียสละก็คือพระพุทธเจ้า



ศาสนธรรมที่ประกาศสอนโลก จนพวกเราทั้งหลายได้รับมากระทั่งทุกวันนี้
ก็เพราะออกจากพระเมตตาและความเสียสละของพระองค์ท่านนั้นเอง
เสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อความเป็นศาสดาของโลก
สั่งสอนโลกให้โลกได้มีหูมีตา มีความสว่างกระจ่างแจ้ง
รู้ทั้งเหตุทั้งผล ทั้งบาปทั้งบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ต่างๆ
จนสมพระทัยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
แล้วก็ทรงบำเพ็ญตามหน้าที่ของพระองค์ที่เป็นศาสดาของโลก จนกระทั่งปรินิพพาน
แม้ปรินิพพานแล้วยังประทานพระโอวาทไว้ด้วยความเมตตาอีกตลอดมา
ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงออกมาจากความเสียสละ ออกมาจากพระเมตตา
แล้วก็เกิดเป็นความเสียสละออกมา ไม่ได้เกิดมาเพราะความเห็นแก่ตัว



พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นคนคับแคบตีบตัน
เป็นคนที่กว้างขวางมากในน้ำพระทัย ไม่มีอันใดที่จะเสมอ
การรักษาศีลก็ไม่มีใครจะเสมอพระพุทธเจ้า
การเจริญเมตตาภาวนาก็ไม่มีใครเสมอ
ฉะนั้นจึงควรเป็นศาสดาของโลกได้อย่างเต็มใจสำหรับผู้ที่จะนับถือพระองค์ท่าน
ในศาสนธรรมที่ประกาศสอนมาโดยลำดับ
ที่เรานับได้พอประมาณว่า ๘๔
,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
ก็ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นพระธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้โดยถูกต้องแล้ว ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม
คือตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม ไม่มีขาดตกบกพร่องในแง่ใดๆ เลย
ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุดคือวิมุตติพระนิพพาน
เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวนี้เท่านั้นเป็นผู้สั่งสอนโดยความถูกต้องแม่นยำ
ตั้งแต่ธรรมะขั้นต่ำจนกระทั่งถึงธรรมะอันสูงสุด ไม่มีผิดพลาดไปไหนเลย


เราทั้งหลายได้ดำเนินตามพระองค์ท่าน ก็นับว่าวาสนาของพวกเรา
ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้ว่า กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นี้เป็นของยากของลำบาก
การที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นได้แต่ละพระองค์นั้น
ถ้าไม่เต็มตามพระบารมีแห่งความเป็นพุทธะแล้ว ก็เป็นขึ้นมาไม่ได้
ต้องอาศัยความพากเพียรเต็มที่เต็มฐาน
ไม่มีใครสามารถที่จะพากเพียรอดทน
ได้อย่างผู้บำเพ็ญพระโพธิญาณเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
แต่พระพุทธเจ้าของเราท่านก็สามารถทำได้ถึงขนาดนั้น
นี่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังจากพระโอวาทของท่าน
โดยไม่ต้องลงทุนลงรอนอะไรมากมายก่ายกอง ก็นับว่าเป็นวาสนาของพวกเรา



ในประการที่สองท่านแสดงไว้ว่า กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การที่จะได้ฟังธรรมอันแท้จริงคือถูกต้องแม่นยำนั้นก็เป็นของยาก
ส่วนมากท่านแปลว่าการฟังธรรมนั้นเป็นของยาก
นี่ถูกต้องทั้งสองแง่ คือการฟังธรรมนั้นเป็นของยาก
ไม่ได้หมายว่าธรรมไม่มีให้ฟัง ธรรมที่มีให้ฟังนั้นก็มีประเภทหนึ่ง
เช่น สุญญกัป ไม่มีศาสนาปรากฏในโลกเลยอย่างนี้
เราจะหาได้ยินได้ฟังที่ไหน ศึกษาเล่าเรียนอรรถธรรมจากที่ไหน ไม่มีเลย



แต่มนุษย์เราปัจจุบันนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือเมืองไทยของเราที่เต็มไปด้วยศาสนธรรมอยู่แล้ว
ปัญหาข้อที่ว่าการฟังธรรมเป็นของยากนั้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับว่าธรรมไม่มี
แต่ขึ้นอยู่กับความยากของตัวเองต่างหาก
คือมันเป็นขวากเป็นหนาม เป็นอุปสรรคกีดขวางทางเดินของตนผู้ที่จะไปได้ยินได้ฟัง
ไปศึกษาเล่าเรียน ไปประพฤติปฏิบัติ ไปสำเหนียกศึกษา
หรือไปฟังธรรมฟังเทศน์ของท่านต่างหาก
พอจะไปฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างนี้เกิดอุปสรรคขึ้นมา
ทั้งๆ ที่ปรกติไม่มีอุปสรรค ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีโจรมีมาร
แต่พอที่จะคิดขึ้นทางดิบทางดีอย่างนี้
จะได้ยินได้ฟังท่านเทศนาว่าการอย่างนั้นอย่างนี้
เกิดความอ่อนแอลงไป เกิดความท้อถอยในจิตใจลงไป
หาเรื่องหาราวมากีดขวางตัวเอง
ว่ามีงานนั้นมีงานนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ ไม่มีเรื่องยุ่งก็หาเรื่องมายุ่ง
เพราะนี้คือมาร มารต้องหาเรื่องเสมอ มีไม่มีก็ตามหาเรื่องมาจนได้



การฟังธรรมว่าเป็นของยาก
มันยากอยู่กับเราในสมัยปัจจุบันซึ่งมีพระพุทธศาสนานี้
ความยากการฟังธรรมนี้จึงอยู่กับเรา
นี่ท่านทั้งหลายก็ได้ผ่านอุปสรรคเหล่านี้มาได้
การฟังธรรมไม่ใช่จะมีความพอใจด้วยกันทุกรูปทุกนาม บรรดามนุษย์เหมือนกัน
มันต่างกันอยู่ที่อุปนิสัยใจคอที่เคยได้อบรมมาหรือไม่ มีความหยาบความละเอียดต่างกัน
แม้จะมีศาสนาเป็นของประเสริฐเลิศโลกอยู่ เห็นอยู่เต็มหูเต็มตา
แต่จิตใจไม่สนใจ ไม่ชอบไม่พอใจ แล้วศาสนานั้นก็จะมาเป็นคู่เคียงของผู้นั้นไม่ได้
จะเป็นคู่ควรของคนนั้นไม่ได้ เพราะคนนั้นไม่เป็นคู่ควรกับศาสนากับศาสนธรรม
และต่างเป็นอุปสรรคต่อกันอีกด้วย แต่เราได้ผ่านอุปสรรคเหล่านี้มา



ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญคุณงามความดี
มาด้วยความตั้งอกตั้งใจ มาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
การได้ยินได้ฟังก็หวังได้ยินได้ฟัง ด้วยความพออกพอใจ
มารเหล่านี้เรียกว่าแพ้ท่านทั้งหลาย
ไม่สามารถที่จะมากีดขวางทางเดินของท่านทั้งหลาย
ที่จะมาบำเพ็ญคุณงามความดี มีการให้ทาน เป็นต้น
และการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอน
จึงดำเนินมาด้วยความสะดวกสบาย



แล้ววันนี้ตามหลักประเพณีของชาวพุทธเรา
ถือกันทั่วประเทศไทย ว่าเป็นมาฆบูชา
คำที่ว่า มาฆบูชา นี้ต้นเหตุเป็นมาจากอะไร
ท่านกล่าวไว้ว่า วันนี้คล้ายกับวันที่พระพุทธเจ้าของเราทรงปลงพระชนม์
คือลั่นพระวาจาว่าจะปรินิพพาน พูดภาษาของเราเรียกว่าจะตาย
นับตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งถึงเดือนหกเพ็ญ คือสามเดือนจะปรินิพพาน
เมื่อพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เคยมีสองอยู่แล้วตามปรกตินิสัยของพระพุทธทั้งหลาย
คำนั้นจึงเป็นคำแน่นอนตายตัว จะเป็นคำสองขึ้นมาไม่ได้
เมื่อได้ปลงพระทัยว่าจะปรินิพพานในอีกสามเดือนข้างหน้าล่วงไปแล้ว
คือวันเดือนหกเพ็ญ พระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นเช่นนั้น



บรรดาชาวพุทธคือพุทธบริษัททั้งหลาย มีภิกษุบริษัทเป็นต้น จึงมีความสะท้านหวั่นไหว
พอได้ทราบว่าต้นโพธิ์ต้นไทรใหญ่ที่จะโค่นล้มลงไปในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
เกิดความสลดสังเวชกันมากมายก่ายกอง สะเทือนไปหมดบรรดาชาวพุทธ
แล้วพอถึงวันเดือนหกเพ็ญก็บรรจบครบรอบกับพระวาจาที่ได้ตรัสเอาไว้
แล้วก็ปรินิพพานในวันเดือนหกเพ็ญนั้นเอง
วันนี้จึงเป็นวันปลงพระวาจาของพระพุทธเจ้า
ที่ทรงประกาศพระศาสนามาได้ ๔๕ พระพรรษา
ทำความร่มเย็นเป็นสุข ความใสสว่างกระจ่างแจ้งให้แก่ชาวพุทธทั้งหลาย
ผู้จะได้รับคุณงามความดี เป็นเครื่องประดับใจไปโดยลำดับกัลยาณชน
จนกระทั่งถึงอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือเป็นพระอรหัตอรหันต์
มีจำนวนมากมายก่ายกองจากพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว



แล้วบัดนี้พระพุทธเจ้าองค์ที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่โลกทั้งหลาย
ก็จะปรินิพพานไปเสียแล้ว
เหมือนกับว่าพ่อที่มีพระเมตตาอย่างยิ่ง เหนือโลกเหนือสงสารนั้น
จะได้พลัดพรากจากบรรดาลูกเต้าทั้งหลายไปเสียแล้ว
ใครเล่าที่จะไม่มีความอาลัยเสียดาย ต้องเสียดายอย่างเต็มที่
อาลัยอย่างเต็มที่ กระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อยทีเดียว
เหมือนกับว่าโลกธาตุได้หวั่นไหวไปในขณะนั้น ซึ่งตรงกับวันนี้
ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ



ในวันนั้นได้ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์
ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น และเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ที่พระพุทธเจ้าทรงอุปสมบทให้เอง หรือทรงบวชเอง
พูดง่ายๆ ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ได้ตรัสพระวาจาเพียงเท่านี้ก็สำเร็จเป็นพระขึ้นมาโดยสมบูรณ์
ได้มารวมกันในเวลาบ่ายของวันมาฆะ ได้แก่วันเดือนสามเพ็ญ
พระองค์ท่านจึงได้ประทานพระโอวาท
เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์นั้น
ด้วยวิสุทธิอุโบสถ คือทำอุโบสถด้วยความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ทั้งหลาย
ไม่มีภิกษุปุถุชนเจือปนอยู่ในที่ชุมนุมนั้นแม้แต่องค์หนึ่งเลย
จึงเรียกว่าวิสุทธิอุโบสถ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/2nTF3tv


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP