ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ทุติยวิภังคสูตร ว่าด้วยหน้าที่ของอินทรีย์ ๕


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๘๖๔] ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์.


[๘๖๕] ภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธินทรีย์เป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า
แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า “สัทธินทรีย์”.


[๘๖๖] ก็วิริยินทรีย์เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม
มีกำลัง มีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่.
อริยสาวกนั้นยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้มั่น
เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่บังเกิดขึ้น
อริยสาวกนั้นยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้มั่น
เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้มั่น
เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่บังเกิดขึ้น
อริยสาวกนั้นยังฉันทะให้เกิด พยายาม
ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้มั่น
เพื่อความถึงพร้อม เพื่อความไม่หลงลืม เพื่อเจริญยิ่งขึ้น เพื่อความไพบูลย์
เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
นี้เรียกว่า “วิริยินทรีย์”.


[๘๖๗] ก็สตินทรีย์เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเครื่องรักษาตัวอย่างยิ่ง ระลึกได้ ตามระลึกได้
ซึ่งกิจที่กระทำไว้นานแล้ว และคำที่พูดไว้นานได้.
อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
อริยสาวกนั้นย่อมย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.
อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้. นี้เรียกว่า “สตินทรีย์”.


[๘๖๘] ก็สมาธินทรีย์เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
กระทำการปล่อยวาง (นิพพาน) ให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต.
อริยสาวกนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดเเต่วิเวกอยู่
เพราะวิตกวิจารระงับไป บรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่.
เพราะปีติสิ้นไป เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
เพราะละสุขและทุกข์และดับโทมนัสโสมนัสก่อน ๆ บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. นี้เรียกว่า “สมาธินทรีย์”.


[๘๖๙] ก็ปัญญินทรีย์เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องกำหนดความเกิดความดับอันประเสริฐ
ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
นี้เรียกว่า “ปัญญินทรีย์”.
ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.


ทุติยวิภังคสูตร จบ



(ทุติยวิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๑)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP