ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
กุลสูตร ว่าด้วยเหตุปัจจัย ๘ อย่างทำให้ตระกูลคับแค้น
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๖๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จถึงนาฬันทคาม ได้ยินว่า
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวันใกล้นาฬันทคาม
สมัยนั้น ชาวนาฬันทคามมีภิกษาหาได้ยาก เลี้ยงชีวิตอยู่ได้โดยฝืดเคือง
เกลื่อนกลาดด้วยกระดูก ต้องจับจ่ายด้วยสลาก (บัตรปันส่วน)
สมัยนั้น นิครณฐนาฏบุตรอาศัยอยู่ในนาฬันทคาม
พร้อมด้วยบริษัทนิครณฐ์เป็นอันมาก
ครั้งนั้น นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร สาวกนิครณฐ์
เข้าไปหานิครณฐนาฏบุตรยังที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว นิครณฐนาฏบุตรได้พูดกับนายคามณีอสิพันธกบุตรว่า
มาเถิดคามณี จงยกวาทะแก่พระสมณโคดม
กิตติศัพท์อันงามของท่านจักขจรไปอย่างนี้ว่า
นายคามณีอสิพันธกบุตรยกวาทะแก่พระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้
มีอานุภาพมากอย่างนี้ นายคามณีถามว่า ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าจะยกวาทะแก่พระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างไร
นิครณฐนาฏบุตรกล่าวว่า มาเถิดท่านคามณี จงเข้าไปหาพระสมณโคดม
ครั้นแล้วจงกล่าวกะพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญความเอ็นดู
การตามรักษา ความอนุเคราะห์สกุลทั้งหลาย โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ
ถ้าพระสมณโคดมถูกท่านถามอย่างนี้แล้ว ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
อย่างนั้นนายคามณี ตถาคตสรรเสริญความเอ็นดู การตามรักษา
ความอนุเคราะห์สกุลทั้งหลาย โดยอเนกปริยาย
ท่านจงกล่าวกะพระสมณโคดมนั้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อเช่นนั้นทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก
จึงเที่ยวจาริกอยู่ในนาฬันทคามอันเกิดทุพภิกขภัย เลี้ยงชีวิตอยู่ได้โดยฝืดเคือง
เกลื่อนกลาดด้วยกระดูก ต้องจับจ่ายด้วยสลากเล่า
พระผู้มีพระภาคาเจ้าทรงปฏิบัติเพื่อตัดรอนสกุล เพื่อให้สกุลเสื่อม
เพื่อให้สกุลคับแค้น แน่ะนายคามมี พระสมณโคดมอันท่านถามปัญหา ๒ เงื่อนนี้แล้ว
จะไม่อาจคาย จะไม่อาจกลืน (กลืนไม่เข้าคายไม่ออก) ได้เลย.
[๖๒๑] นายอสิพันธกบุตรรับคำนิครณฐนาฏบุตรแล้ว
ลุกจากอาสนะ ไหว้นิครณฐนาฏบุตรทำประทักษิณ
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญความเอ็นดู การตามรักษา
ความอนุเคราะห์สกุลทั้งหลาย โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า อย่างนั้น คามณี
ตถาคตสรรเสริญความเอ็นดู การตามรักษา
ความอนุเคราะห์สกุลทั้งหลาย โดยอเนกปริยาย.
คา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเช่นนั้น
ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก
จึงเที่ยวจาริกอยู่ในนาฬันทคามอันเกิดทุพภิกขภัย เลี้ยงชีวิตอยู่ได้โดยฝืดเคือง
เกลื่อนกลาดด้วยกระดูก ต้องจับจ่ายด้วยสลากเล่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติเพื่อตัดรอนสกุล เพื่อให้สกุลเสื่อม
ปฏิบัติเพื่อให้สกุลคับแค้น.
[๖๒๒] ภ. คามณี แต่ภัทรกัปนี้ไป ๙๑ กัป ที่เราระลึกได้
เราไม่รู้สึกว่าเคยเบียดเบียนสกุลไหน ๆ ด้วยการถือเอาภิกษาที่สุกแล้วเลย
อนึ่งเล่า สกุลเหล่าใดมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก
มีทรัพย์คือเครื่องอุปกรณ์มาก มีทรัพย์คือข้าวเปลือกมาก
สกุลทั้งปวงนั้นเจริญขึ้นเพราะการให้ทาน เพราะสัจจะ และสัญญมะ
คามณี เหตุปัจจัย ๘ อย่าง เพื่อความคับแค้นแห่งสกุลทั้งหลาย
คือ สกุลทั้งหลายถึงความคับแค้นจากพระราชา ๑ จากโจร ๑ จากไฟ ๑
จากน้ำ ๑ ทรัพย์ที่ฝังไว้เคลื่อนจากที่ ๑ ย่อมวิบัติเพราะการงานประกอบไม่ดี ๑
ทรัพย์ในสกุลเดิมเป็นถ่านไฟ ๑ คนในสกุลใช้จ่ายโภคทรัพย์เหล่านั้นฟุ่มเฟือย
ให้พินาศสูญหายไป ๑ คามณีเหตุปัจจัย ๘ อย่างเหล่านี้แล
เพื่อความคับแค้นของสกุลทั้งหลาย เมื่อเหตุปัจจัย ๘ อย่างเหล่านี้มีอยู่
ผู้ใดพึงว่าเราอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติเพื่อให้สกุลขาดสูญ
เพื่อให้สกุลเสื่อม เพื่อให้สกุลคับแค้น ดังนี้ ผู้นั้นยังไม่ละวาจานั้น
ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละทิฏฐินั้น ต้องดิ่งลงในนรกแน่แท้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
นายคามณีอสิพันธกบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด พระเจ้าข้า.
กุลสูตร จบ
(กุลสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๙)
< Prev | Next > |
---|