สารส่องใจ Enlightenment

ตามรอยพระบาท (ตอนที่ ๓)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เนื่องในงานครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ขาว อนาลโย
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒
ณ วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู




ตามรอยพระบาท (ตอนที่ ๑) (คลิก)
ตามรอยพระบาท (ตอนที่ ๒) (คลิก)


เราอยู่ในบ้านในเรือนก็ให้รู้สึกตนอยู่เสมอ ท่านจึงเรียกว่าคนมีธรรม
อย่าเห็นแก่คนอื่นเขาผิดเขาชั่วโดยถ่ายเดียว
โดยเรานี้สำคัญว่าถูกตลอดไป คนนั้นละคือคนผิดตลอดไป
ถ้าคนมีธรรมแล้วก็เหมือนเรามองดูหน้าเราในกระจก
เป็นอย่างไรหน้าเราในกระจกกับหน้าที่มีอยู่นี้
มันจะบอกเลยว่าหน้าเราเป็นยังไงในกระจกเงานั้นแหละ
นี่ก็เหมือนกันปัญญาสอดส่องเข้ามาภายในตัวของเรา
เราจะได้เห็นความผิดพลาด ความผิดถูกชั่วดีของเรา
ด้วยกระแสแห่งปัญญาที่ย้อนเข้ามาดูตัวเอง



คนที่มองดูตัวเอง รู้ทั้งเรื่องของตัวเอง
ดูทั้งเรื่องของตัวเองดูทั้งเรื่องของคนอื่นประสับประสานกัน
คนนั้นเข้าใครก็เข้าได้ไม่ค่อยทะเลาะวิวาท
ไม่เห็นแก่ได้ ไม่กระทบกระเทือน ไม่กอบไม่โกยไม่รีดไม่ไถ
เพราะเห็นใจเขาใจเราเทียบกันแล้ว
คนเรามีแต่หวังความสุขด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้หวังความทุกข์
การกระทำอย่างนั้นก่อความทุกข์ให้แก่คนอื่นซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรม ทำไม่ลง
นี่แหละคนเราที่สนิทกันได้เพราะอย่างนี้เอง
เพราะดูใจเขาใจเรา เทียบใจเขาใจเราเข้ามา พออด-อด
พอให้อภัยต้องให้อภัย คนเราไม่ให้อภัยไม่มีใครให้อภัยกันในโลก ต้องให้อภัยกันเสมอ
วางเป็นพื้นเป็นฐาน ไม่ควรจะโกรธจะเคืองกันก็ไม่ควรโกรธ เพราะคนเราอยู่ด้วยกัน



ไม่มีอะไรที่จะสนิทกันยิ่งกว่ามนุษย์อยู่ด้วยกัน
เราอยู่กับสมบัติเงินทองข้าวของอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง
ถ้าหากว่าคำนี้ผิดก็ขอให้ท่านทั้งหลายเอาสมบัติเงินทองไปกองไว้แล้ว
และไปนอนอยู่ในกองสมบัติเงินทองจะได้สักกี่ชั่วโมง อยู่ไม่ได้นานนะ
ไปนั่งอยู่กับเงินกับทองนะ เพชรนิลจินดาทั้งนั้นมีแต่ราคาแพงๆ อยู่ได้ไม่นาน
เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่คุยด้วย ก็ต้องวิ่งมาหาคนนั่นแหละ
มาหาเด็กก็ตาม สนุกคุยกับเด็ก มาหาผู้ใหญ่ก็สนุกคุย
นั่นละมนุษย์ด้วยกัน พูดกันรู้เรื่อง อยู่ด้วยกันรู้เรื่อง



สมบัติเงินทองนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยเครื่องใช้ไม้สอย
ที่จะให้ฝากเป็นฝากตายหรือเป็นความสนิทจริงๆ ภายในจิตใจแล้ว
ไม่มีอันใดเหมือนมนุษย์เราเลย
เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีธรรมประจำมนุษย์
เพื่อประสานมนุษย์ให้เข้าถึงกันได้ด้วยความไม่ถือเนื้อถือตัว
ด้วยความให้อภัย ด้วยความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน
นี้เป็นความสนิทมากสำหรับมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน
สมบัติเงินทองนั้นใครมีมากมีน้อยก็ให้ถือว่าเป็นความมีมากมีน้อยธรรมดา
อย่าเอามากระทบกระเทือนชาติชั้นวรรณะฐานะความโง่ความฉลาดของกันและกัน
เป็นสิ่งไม่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาค่อยมีมาทีหลัง



ทีแรกเกิดมาก็จากท้องแม่เหมือนกันหมดแต่งตัวโดยหลักธรรมชาติออกมา
ไม่ว่าหญิงว่าชายเหมือนกันหมด แล้วสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมาทีหลัง
เมื่อเกิดขึ้นมามีอะไรก็ใช้ไป
ตามอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของคนเราที่ไม่เหมือนกัน
ก็ให้พึงเห็นคุณค่าของกันและกัน
ให้เชื่อกรรม ใครไม่อยากจนแต่มันจนจะทำยังไง
อยากมีด้วยกันแต่มันไม่มีจะทำยังไง
นี่ละท่านเรียกว่ากรรม กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ
กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้เป็นต่างๆ กัน
เกิดก็ไม่ได้เกิดในสถานที่เดียวกันแบบเดียวกัน
ยังเกิดในสถานที่ต่างๆ ภพนั้นชาตินี้
ฐานะสูงต่ำทั้งมีทั้งจนสับปนกันเต็มไปหมดก็คือสัตว์โลกนี้เอง
นี่ก็เพราะเกิดด้วยกรรม อยู่ด้วยกรรม ไปด้วยกรรม
แล้วจะประมาทกันได้อย่างไร เมื่อใครมีอย่างไรก็เสวยกันอย่างนั้น
แต่ให้เห็นใจกันเป็นของสำคัญ ควรสงเคราะห์สงหาช่วยเหลือได้ยังไงก็ให้ช่วยเหลือกัน
นี่ละมนุษย์ของเราอยู่ด้วยกันได้



เมื่อนำศาสนาไปเป็นเครื่องประสับประสานแล้วมนุษย์นี้จะเย็นที่สุด
ถ้าห่างเหินจากศาสนาแล้วเป็นฟืนเป็นไฟก็ไม่มีใครเกินมนุษย์
เพราะมนุษย์เรานี้ฉลาด โกรธก็แรง โมโหก็แรง
ความอยากทุกอย่างแรงหมด..มนุษย์
ความฉลาดก็ฉลาด เครื่องเสริมให้คนชั่วช้าลามกรวดเร็วที่สุดก็อยู่ในหัวใจมนุษย์เรา
ให้พากันระมัดระวัง



เมื่อเป็นเช่นนี้เราอยู่ในบ้านก็ได้เห็นเหตุเห็นผลของครอบครัวเหย้าเรือนของเรา
เช่นสามีภรรยาลูกเล็กเด็กแดงอยู่ด้วยกันเป็นยังไง
ควรอดควรออมกันก็ต้องอดต้องออม ควรให้อภัยกันก็ต้องให้อภัย
ใครผิดต้องยอมรับกันว่าผิดจึงจะอยู่ด้วยกันได้มนุษย์เรา
มีแต่จะผิดท่าเดียวๆ ให้คนอื่นให้อภัยอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น
คนนั้นก็เป็นคนทำลายผู้ให้อภัย ไม่สมควรแก่ผู้ผิดนั้นเหมือนกัน ผู้ผิดต้องแก้ตัว
เมื่อคนเรามีการรับผิดรับถูกซึ่งกันและกันแล้วย่อมอยู่ด้วยกันได้
เย็นไม่มีอะไรเย็นเกินมนุษย์เราแหละ



เฉพาะอย่างยิ่งคือสามีภรรยา
ไม่มีอันใดที่จะรักมากยิ่งกว่าสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตายก็อยู่ที่นี่
เพราะฉะนั้นจึงให้เอาธรรมเข้ามามัดหัวใจของกันและกัน
แล้วอยู่ด้วยกันด้วยความตายใจ ด้วยความบริสุทธิ์
ด้วยความรักสนิทติดจมต่อกันจริงๆ ด้วยศีลด้วยธรรม
เงินทองข้าวของสมบัติมีมากมีน้อยจะเย็นไปตามๆ กัน
กับคนที่มีธรรมครองใจต่อกันนั้นแหละ
สามีก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครองของตน
ภรรยาก็มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครองของตน ไปไหนไปได้ไว้ใจกันได้
นี่เป็นอันดับลึกมากที่สุด เป็นรากเหง้าของครอบครัว
เป็นรากเหง้าแห่งความร่มเย็นเป็นสุข ความฝากเป็นฝากตาย
ความสุขจึงรวมอยู่ที่จุดนี้ก่อนจุดอื่น



สมบัติเงินทองข้าวของนั้นตามมาทีหลัง
ถ้าหากว่าคู่ครองนี้ไม่ดีต่อกัน ต่างคนต่างทำลายตนทำลายศีลธรรมแล้ว
สมบัติเงินทองมีมากน้อยเพียงไรก็มาเป็นเครื่องประหัตประหารกันได้หมด
เป็นเครื่องมือให้ทำชั่ว เลยเป็นฟืนเป็นไฟกันไปหมด
นี่ละความมีศีลธรรมกับความขาดศีลธรรม
เราเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจของเรา ครอบครัวของเรา
เฉพาะอย่างยิ่งสามีภรรยา ให้ต่างคนต่างเอาจริงเอาจัง รักกันเรายังรักจริงๆ
ทำไมเชื่อกันจริงๆ ไม่ได้หรือมนุษย์เรา
ถ้าเราไม่เหลวไม่เลวเสียจนเกินมนุษย์แล้ว
ก็สามีภรรยานั้นแลจะเป็นผู้ที่ฝากเป็นฝากตายกันได้
เพราะรักกันก็รักมากไม่มีใครเกินสามีภรรยา
ทีนี้เมื่อรักกันมากก็ให้เห็นความรักเป็นของมีคุณค่า
เชื่อใจซึ่งกันและกันซิ ฝากเป็นฝากตายต่อกัน จึงจะสมกับมีความรักกันมาก
นี่ละเมื่อนำศีลธรรมนี้ไปปฏิบัติแล้วเย็นไปหมด



นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้ามีฤทธาศักดานุภาพที่ตรงนี้ ตรงที่เรานำเอามารักษา
เอ้า จะเป็นยังไง เมียก็มีอยู่ ผัวก็มีอยู่ ยุ่งอะไรกับสิ่งภายนอกกินไม่รู้จักอิ่มจักพอ
เอาศีลธรรมบังคับเข้าไป มีเท่านี้เป็นก็ตามตายก็ตาม
คนมี ๑๐ ผัว ๒๐ เมียก็ตาม
ก็ยิ่งจะมีแต่ความทุกข์ความทรมานใจ ไม่มีใครเกินจำพวกเหล่านี้
แล้วเหตุใดเราจึงจะไปถือจำพวกที่กองทุกข์ไฟทั้งกองเหล่านี้
เพราะมีมากๆ เอาไฟมามากๆ มาเผาบ้านเผาเรือนนี้
มาเป็นคติเครื่องฉุดลากเราไปให้เป็นไฟอย่างเขา
ถ้าเราไม่อยากเป็นไฟอย่างเขา
ถ้าพวกนี้มีความสุขความเจริญความสะดวกสบายมากก็พอที่เอามาอวดโลก
และควรที่เอามาแข่งอรรถแข่งธรรมพระพุทธเจ้า
ท่านว่าให้ยินดีในสามีภรรยาของตนเท่านั้นไม่ให้ยินดีคนอื่น
เพราะมีมากเท่าไรยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ



ใครจะเกินพระพุทธเจ้าเรื่องความสามารถความฉลาด แหลมคมที่สุดไม่มีใครเกินศาสดา
ท่านจึงได้นำธรรมะที่เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้มาสั่งสอนพวกเรา
ขอให้พี่น้องทั้งหลายปฏิบัติตัวให้จริงจัง
ให้มีสารคุณต่อตัวของเราด้วยอำนาจแห่งธรรม
เราจะเป็นคนมีคุณค่า เราจะทรงไว้ซึ่งความสุข
เฉพาะอย่างยิ่งคือสามีภรรยาต่างคนต่างมีความสุขความตายใจซึ่งกันและกัน
นี่ละทรัพย์สมบัติอันล้นค่าอยู่ที่ความรักกันตายใจซึ่งกันและกันด้วยอำนาจแห่งศีลธรรม
นอกนั้นไม่มีอะไรรับรอง มีเงินเป็นล้านๆ ก็ไม่มีอะไรรับรอง
ถ้าใจแตกเสียอย่างเดียว ถ้าใจไม่มีขอบเขตเสียอย่างเดียวเท่านั้นเสียหมด



คนเราอยู่ที่ใจ ใจที่มีศีลธรรมย่อมเป็นใจที่แน่นหนามั่นคง
ย่อมเป็นใจที่เชื่อถือตัวเองได้
ถ้าใจขาดจากศีลจากธรรมเท่านั้นเชื่อไม่ได้ เป็นพิษเป็นภัยเผาไหม้ทั้งหมดนั้นแหละ
คนนั้นก็มี ๕ ผัว คนนี้ก็มี ๕ เมีย ครอบครัวละ ๕ ผัว ครอบครัวละ ๕ เมีย
ลองเอามาดูซิเพียงแค่เมืองอุดรเรานี้
หลวงตาบัวอยู่ในวัดน่ากลัวจะอยู่ไม่ได้มันจะพังไปหมดนั่นแหละ ถูกไฟเผาเอา
คนนั้นก็จะเอาเรื่องนี้ไปยุ่ง คนนั้นก็จะเอาเรื่องนั้นไปยุ่ง
ผู้หญิงก็จะเอาเรื่องผัวไปยุ่ง ผู้ชายก็จะเอาเรื่องเมียไปยุ่ง
ผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้เป็นอย่างนี้ ไอ้หนูคนนี้เป็นอย่างนี้ ยุ่งไปหมดเลย
แล้วเป็นยังไงอยากยุ่งไหมอย่างนั้น นี่ละคือความผิดศีลธรรมทำให้ยุ่งอย่างนี้



ความเป็นผู้มีศีลธรรมแล้วเอาเถิดว่าอย่างนั้นเลย
เป็นก็เป็นด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกัน
ได้รักกันได้สนิทติดจมต่อกันแล้วเป็นอวัยวะเดียวกันแล้ว
ชีวิตอันเดียวกันแล้ว เป็นก็เป็นด้วยกัน
เอาธรรมนี้เข้ามาผูกหัวใจเจ้าของมันจะไปไหนได้
นอกจากจะสร้างความสุขความสบายความตายใจให้เราทั้งหลายได้ครองเท่านั้น
เราจะเห็นความสุขในระหว่างครอบครัวเหย้าเรือนที่อยู่ด้วยกัน มีความสุขอย่างนี้
ไม่ใช่มีความสุขเพราะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นอย่างนั้น จำเอาพี่น้องทั้งหลาย



ถ้าเราอยากเห็นศีลธรรมมีฤทธิ์มีเดชมีศักดานุภาพ
เราต้องนำธรรมะมาดัดกิเลสตัวมันเก่งๆ ตัวมันคึกมันคะนองในหัวใจ
ให้สงบลงซิ เราจะแสนสบาย
อันนี้ปล่อยให้แต่กิเลสเหยียบหัวคนทำลายคน ไปที่ไหนบ่นแต่เรื่องกิเลสทำลายคน
ธรรมไม่เคยได้ยินว่าทำลายใครที่ไหน ให้นำเอามาบำรุงหัวใจเรา
บำรุงหน้าที่การงานการประพฤติปฏิบัติให้ดี
การจับการจ่ายการใช้การสอยถ้ามีศีลมีธรรมแล้ว
จะรู้จักประมาณ พอดีพองามตามกันไปหมด
นี่ละโลกจะร่มเย็น คือโลกมีธรรมย่อมร่มเย็น
ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครจะอวดดิบอวดดี ว่าจะเก่งสามารถขนาดไหน
ก็ไม่พ้นไฟนรกจะเผาหัวใจทั้งเป็นนี้ไปได้



การแสดงธรรมวันนี้ก็เพื่อท่านสาธุชนทั้งหลาย
ได้ยินได้ฟังข้ออรรถข้อธรรมไปประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง
ในครอบครัวเหย้าเรือนหน้าที่การงาน
แล้วครอบครัวเหย้าเรือนตลอดตัวของเราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข
และผาสุกสบายประสับประสานกันได้ทั่วโลกดินแดน



ทีนี้ทางฝ่ายพระเราก็เหมือนกัน
อันนี้จะอธิบายธรรมะให้พระท่านฟังพอประมาณ
ไม่อธิบายมากมายนักเพราะเวลานานแล้ว
พระเราก็มีคุณค่าอยู่กับหลักธรรมหลักวินัย ชีวิตของพระคือหลักธรรมหลักวินัย
กิริยาอาการของพระที่ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยนั้นแล
คือพระเต็มภูมิ พระไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง
พระอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านบวชให้เป็นพระ สมบูรณ์แบบในการบวช
เรียกว่าสมบัติที่ท่านบวชนั้นว่า สมบัติ ๕ วิบัติ ๕
นี่เราก็สมบูรณ์มาแล้วมาบวชเป็นพระ
ทีนี้ให้พระเราสมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ
มีความละอายต่อบาปต่อกรรมทั้งหลาย ไม่กล้าล่วงเกิน
และตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัว ชีวิตของเราอยู่กับคุณงามความดี



เวลานี้เราสละทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วจากบ้านจากเรือน
เราอาศัยคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจัยทั้งสี่ได้มาจากศรัทธาญาติโยมทั้งนั้น
อาหารบิณฑบาต ที่อยู่ที่อาศัย มีแต่ญาติโยมเป็นผู้สนับสนุน
คนดีมีอยู่มากมายที่จะสนับสนุนพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยังไงก็ไม่ตาย
ถ้าลงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วใครก็เคารพใครก็เลื่อมใส
ใครก็อยากกราบอยากไหว้อยากบูชา
ไม่ว่าท่านว่าเราหัวใจเป็นเหมือนกันเพราะหาแต่ของดีทั้งนั้น พระก็อยากได้ของดี
เพราะฉะนั้นจึงให้ต่างองค์ต่างประพฤติปฏิบัติตัวของเรา



การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้ท่านแสดงไว้แล้วในตำรับตำรา
มีดาษดื่นมากที่สุด ว่าเดินจงกรมคืออะไร
ชำระจิตใจของตนที่มันคึกมันคะนองให้สงบผ่องใสภายในจิตใจ
นั่งสมาธิก็เหมือนกันชำระจิตใจให้มีความสงบผ่องใสเย็นใจ
เห็นประจักษ์ภายในจิตใจของเราตั้งแต่เริ่มสมาธิขึ้นไป สมาธิคือความสงบใจ
ความสงบใจนี้เป็นที่ไหลรวมลงมาแห่งความสุขเย็นใจสบายอยู่นั้นหมด
จากนั้นก็ใช้ทางด้านปัญญาพินิจพิจารณาเรื่องกฎของอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
ไม่ควรจะไปเกาะไปเกี่ยวไปยึดไปถือในสิ่งใด
สำหรับเราเป็นพระมีแต่จะสลัดโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
สลัดไปทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอำนาจแห่งปัญญา
เมื่อปัญญามีความเฉลียวฉลาด
ก็ย่อมสามารถที่จะปลดเปลื้องสิ่งทั้งหลายที่เคยยึดเคยถือได้
กลายเป็นใจที่ละเอียดเข้าไป
ถึงกลับเป็นใจที่บริสุทธิ์วิมุตติพุทโธเต็มดวง ได้แก่ใจที่บริสุทธิ์



ในครั้งพุทธกาลท่านทรงมรรคทรงผล
องค์ใดออกบวชไม่ว่าจะออกมาจากสกุลพระราชามหากษัตริย์
เศรษฐีกุฎุมพีพ่อค้าประชาชนคนธรรมดา
พอออกมาบวชแล้วได้รับการอบรมศึกษาจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ส่วนมากมักเป็นพระอรหันต์ในครั้งนั้น
ได้ยินได้ฟังแล้วออกปฏิบัติเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ในป่านั้นในเขานี้
แล้วปรากฏว่าองค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา
องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จพระอรหัต
อยู่ในเขาลูกนั้นในถ้ำนั้นในเงื้อมผานั้น
นี่ตำรับตำราทางเดินของท่านเพื่อบรมสุขแก่นักบวชทั้งหลาย
เพราะนักบวชนี้ส่วนมากท่านมักจะหมายถึงธรรมขั้นสูงสุดเป็นสำคัญในครั้งพุทธกาล
บวชเพื่อชำระกิเลสตัณหาอาสวะให้หลุดพ้นโดยประการทั้งปวง



เพราะฉะนั้นขอให้พระลูกพระหลานของเราตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
ให้ดูหลักธรรมหลักวินัย ให้มีหิริโอตตัปปะ
อย่ากล้าอย่าแข็งต่ออรรถต่อธรรม
กระด้างกระเดื่องต่ออรรถต่อธรรม
ก็เท่ากับมีการแข็งกระด้างต่อองค์ศาสดานั้นแลไม่ใช่เป็นของดี
ถ้าไม่เป็นของดีแล้วเราก็ทรงความเลวไว้ ไม่สมกับความเป็นพระของเรา
เพราะฉะนั้นให้เหมาะสมกับความเป็นพระของเรา
ต้องเป็นผู้มีศีล ให้ทรงไว้ซึ่งศีลทรงไว้ซึ่งสมาธิขึ้นไปโดยลำดับ
จนกระทั่งถึงปัญญาวิมุตติหลุดพ้น
นั้นเต็มภูมิของเราเป็นพระ ที่บวชมาเพื่อความหลุดพ้นโดยแท้จริง



ในอวสานแห่งการแสดงธรรมนี้ขอพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ
จงมาคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขกายสบายใจ และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ให้ได้บำเพ็ญบุญญาภิสมภารด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความอุตส่าห์พยายาม
ผลที่พึงได้รับทั้งหลายจะเป็นสมบัติของท่านแต่ละรายๆ
แล้วบุญนี้จะส่งเราให้ไปถึงจุดที่หมายปลายทางได้แก่พระนิพพาน
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทำความอุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติ
กำจัดสิ่งที่จะเป็นภัยต่อการบำเพ็ญความดีทั้งหลายออกไปเรื่อยๆ
และอุตส่าห์พยายามสร้างความดีให้หนาแน่นขึ้นโดยลำดับ
ความสุขความเจริญจะเป็นของพี่น้องทั้งหลายโดยถ่ายเดียว



จึงขอยุติการแสดงธรรมลงเพียงเท่านี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/2hTHlJb


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP