ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

จะเอาชนะความกลัวในสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร



ถาม - เพื่อนของดิฉันเป็นคนกลัวเสียงเวลากลางคืน กลัวคนมาเดินรอบๆ บ้าน
แจ้งความแล้วก็ยังกังวล ทั้งที่รอบบ้านก็มีกล้องวงจรปิด แต่ยิ่งดูกลับยิ่งกลัว
ที่ผ่านมาได้เริ่มฝึกเจริญสติและสวดมนต์ ฟังคำสอนของหลวงปู่ชา สุภทฺโท
เขาก็ดูเหมือนดีขึ้น แต่พอเหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกก็จะเป็นอีก
แบบนี้เป็นเพราะทำกรรมอะไรมาคะ แล้วควรจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ


เอาอย่างนี้ พูดเป็นกลางๆ ว่าการที่เราประสบกับเหตุการณ์
เห็นภาพทางตา ได้ยินเสียงทางหู แล้วเกิดความกลัว
มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความผิดปกติ
หรือว่าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาเสมอไปนะครับ
ก็อยากให้มองตามที่มันเกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติ
ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกหวั่นไหว
หรือว่าเสียงที่ทำให้เราจินตนาการไปต่างๆ นานา เกิดความวิตก
ก็ก่อให้เกิดความกลัวเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องคิดว่าเคยไปทำกรรมอะไรมาเสมอไป



ทุกคนมีความกลัวด้วยกันทั้งนั้น
แต่ความกลัวมันจะปรากฏขึ้นมาตอนไหนล่ะ
ก็ตอนที่ได้ยินเสียง หรือว่าเห็นภาพอะไรที่มันชวนผวานั่นเองนะครับ
อะไรก็แล้วแต่ที่มันชวนให้นึกจินตนาการไป
ว่าสวัสดิภาพของชีวิตเรานี่ไม่ปลอดภัยแล้วนะ
มันก็เกิดความหวั่นไหวเป็นธรรมดา


ทีนี้ถ้าพิจารณาดูในแง่แบบโลกๆ เราก็ได้ติดกล้องวงจรปิดไปแล้วนะ
ถือว่าได้ทำการป้องกันตัว เตรียมที่จะสอดส่องสำรวจ
ว่าความปลอดภัยของเรา มันยังโอเคหรือเปล่า

เราจัดการไปแล้วในทางโลก


ทีนี้ในทางธรรม เราก็มาพิจารณาว่าสิ่งที่เรากลัวจริงๆ มันอาจจะเกิดขึ้นได้
ซึ่งโอเค ถ้าเป็นผู้หญิงนี่นะ มันก็น่าหวั่นไหวจริงๆ
เพราะว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม พยายามปกป้องตัวเองไว้แค่ไหนก็ตามนะ
ปัจจุบันนี่ก็ไม่สามารถจะประกันได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราไปได้ยินขึ้นมา
หรือว่าไปเห็นภาพอะไร แล้วชวนให้ระทึกจริงๆ
ว่า เออ นี่กล้องมันช่วยเราดูได้เท่านั้นนะ แต่ว่าตาเราอยู่กับกล้องตลอดไม่ได้
แล้วก็กล้อง มันดูอย่างเดียว มันชักปืนมายิงโจรไม่ได้ มาต่อสู้โจรไม่ได้
อันนี้มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาเป็นธรรมดา
ว่าเรายังไม่ได้มีสิ่งใดที่ปกป้องตัวเองได้จริงๆ



ถ้าหากว่ามองตามทางโลกแล้ว
เราละไว้ครึ่งหนึ่งนะ ครึ่งของความรับผิดชอบ
ที่เป็นส่วนของเรื่องกรรมเรื่องอะไรต่างๆ เราละไว้ก่อน
เรามาพูดกันเรื่องว่าเราเตรียมการไว้โอเคแล้ว
เรารับผิดชอบตรงที่จะมาสร้างรั้ว จะมาติดตั้งกล้องวงจรปิดอะไรต่างๆ
ครึ่งหนึ่งนี่ เราจัดการไปเรียบร้อยแล้ว
อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ที่เขาว่ามันต้องเป็นไปตามยถากรรม
มันต้องเป็นไปตามโชคที่วิบากกรรม เขาจะออกแบบ เขาจะดีไซน์ไว้ให้
การที่เราได้ป้องกันตัวในทางโลกไว้ดีแล้ว
ก็มาคิดต่ออีกชั้นหนึ่งว่าเราจะป้องกันตัวด้วยธรรมะอย่างไร



พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
ในความหมายเชิงลึกก็คือว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ
ต่อให้ถูกโจรฆ่าตาย ธรรมก็จะคุ้มครองเราไม่ให้ไปอบาย ไม่ให้ตกต่ำ

อดีตชาติของพระพุทธเจ้า เคยถูกตัดมือตัดเท้านะ
แล้วก็ธรรมะของท่านคือเมตตาธรรมนี่คุ้มครองท่าน
ถึงแม้จะมีสภาพตายอเนจอนาถในโลกมนุษย์
แต่จิตวิญญาณของท่านก็ได้ไปเสวยพรหมภูมิ ขึ้นไปอยู่บนชั้นพรหม
เพราะว่ากระทั่งถูกฆ่าตายนี่ก็ยังมีเมตตา



ทีนี้เราเป็นผู้หญิง อาจจะเมตตาไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยนี้นี่น่ากลัว
ความจิตหดนี่มันก็ทำให้เปิดจิตออกเป็นเมตตาไม่ออก
ก็ต้องฝึก ฝึกตอนที่ยังไม่ได้เอาตาไปดูเอาหูไปฟัง
ฝึกตอนที่ใจมันกำลังยังมีสติ มีกำลังมากพอที่จะแผ่เมตตาได้
มันต้องฝึกกันทุกวันด้วยนะ
เพราะว่าจิตมนุษย์โดยเดิม มันมีธรรมชาติที่พร้อมจะไหลลงต่ำ พร้อมที่จะปิดแคบ
ปิดแคบด้วยความตระหนี่ มืดมนด้วยความกลัว ร้อนรุ่มด้วยความโกรธนะ
ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งที่อยู่ในโลกมนุษย์
มันคอยจะเบียดเบียนจิตให้มีความเป็นอกุศลมากกว่าที่จะมาเป็นกุศลได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือฝึกที่จะเปิดจิตเปิดใจเป็นเมตตา
ตั้งแต่ก่อนที่จะมีอะไรมารบกวนให้แผ่เมตตาไม่ออก



เริ่มจากการที่ตั้งใจไว้เลย สวดมนต์นี่ ไม่ใช่สวดขอพร
เพื่อที่จะให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาคุ้มครองเราจากโจรนะ
แต่เป็นการเอาจิตของเราไปผูกกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยตรงเลย
เสมือนกับว่าจิตของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
วิธีง่ายๆ ที่คนสมัยโบราณครั้งพุทธกาลท่านทำกัน
ก็คือว่าประกาศสรรเสริญคุณงามความดีของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
อย่างเช่นที่เราสวดกันทุกวันนี้ อิติปิโส
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ความ ไม่ค่อยรู้ความหมายว่าสวดกันไปทำอะไร
สวดกันนะ เอาง่ายๆ แบบที่จะว่ากันสั้นๆ ตรงนี้เลยก็คือว่า
เพื่อจูนจิตของเรานี่ให้เข้ากันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จนจิตของเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนานะ มีความเมตตาไม่มีประมาณ ไม่มีขีดจำกัด
จิตของเราถ้าหากไปผูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแล้วนะ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ก็จะพลอยมีความเบิกบานและเปิดกว้าง
มีความสว่างเป็นกุศลตามเหล่าท่านไปด้วย
นี่คือพอยท์จริงๆ ที่สวดอิติปิโสกัน

ระลึกถึงพระคุณท่านด้วย แล้วก็ทำให้จิตของเราผูกพันกับพวกท่านด้วย
ไม่ใช่ขอแรงท่านมาช่วยปกป้องจากโจรนะครับ
หรือว่าขอให้พวกท่านมาสอดส่องดูแลอย่าให้โจรเข้าบ้าน มันไม่ใช่แบบนั้น
แต่เอาจิตของเราทั้งดวงเลยเป็นกำแพงขวาง
ไม่ให้อะไรที่เป็นมลทิน อะไรที่เป็นภยันตราย เข้ามาเบียดเบียนได้


ถ้าจิตของเราแกร่งพอ ผูกพันกับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
อย่างมีความแข็งแรงนะแล้วก็มีความสม่ำเสมอทุกวันมากพอ
คุณจะรู้สึกเลยว่าคลื่นรบกวนภายนอก จากโลกภายนอก
เข้ามาเบียดเบียนเราได้น้อยลง
มันจะเหมือนมีความสว่างอย่างใหญ่
จะมีความสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองตัวเองอยู่ คุณจะรู้สึกไม่กลัว
เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เป็นกุศล จิตที่ผูกพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จิตที่มีความสว่างตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนี่นะครับ มันหดแคบยาก
พอจิตไม่มีอาการหดแคบ มันก็มีแต่ความรู้สึกเฉยๆ
หรือเกิดความรู้สึกที่ดี เกิดความรู้สึกที่เบ่งบาน เป็นตรงกันข้ามกับความกลัว


ขอให้ลองดูนะ ลองดูตรงนี้ว่าถ้าหากเราจะกำจัดความกลัวกันจริงๆ
เราไปตั้งต้นกันที่นี่เลย ที่จิตที่ใจ
หาเครื่องอยู่ของจิตใจให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นความสว่าง
แล้วดูสิมันจะยังกลัวอยู่ไหม ถ้าเราทำได้ทุกวันจริงๆ นะ
สวดอิติปิโสเต็มปากเต็มคำ เอาแก้วเสียงของเรานี่เป็นเครื่องบูชา
สวดวันละหลายๆ รอบ จนกว่าจิตจะมีความรู้สึกว่า
เออ เรามีความสว่าง เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทำอย่างนั้นได้นี่ใจจะมีเมตตานะ


แล้วใจที่มีเมตตา ในทางลึกลับนี่นะ
ถ้ามันกว้างมากๆ แล้ว มันเปลี่ยนใจคนได้นะ
อย่างสมมุติว่าถ้าโจรเขาจะเล็งเข้าบ้านเรา
คืนนี้ บ้านหลังนี้ เอาเสียหน่อยดีไหม
มันเกิดเปลี่ยนใจได้นะ มันเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากเข้า
คือพอมองเข้ามาแล้ว มันมีความรู้สึกเหมือนกับบ้านนี้ไม่น่าเบียดเบียน
เพราะว่ากระแสจิตที่ปรุงแต่งด้วยความสว่างแบบไม่เบียดเบียนกัน มันมีความเข้มข้น
จนกระทั่งทำให้จิตใจของโจรเกิดความรู้สึกเหมือนกับถ้าเข้าไปแล้วมันจะผิด
เคยไหมที่คุณรู้สึกกะจะทำอะไรที่มันอยากทำเหลือเกิน แต่พอจะเอาเข้าจริงๆ
ใจมันเหมือนถอนออกมา ใจมันเหมือนยังไม่อยากเอาแบบไม่มีเหตุผล
ซึ่งในทางลึกลับแล้ว มันอาจจะมีพลังอะไรบางอย่างบันดาลใจเรา ดลใจเรา



ก็ยกเว้นนะคือถ้าสมมุติว่าจะต้องใช้เวรใช้กรรมกันจริงๆ
อันนั้นเราก็ค่อยเตรียมใจไว้หลังจากแผ่เมตตาดีแล้ว
ว่าก็ขอใช้เวรใช้กรรม ถ้าหากว่าจะต้องมีอันเป็นไป เพราะเหตุคือมนุษย์ด้วยกันจริงๆ
เราจะถือว่าชาตินี้นี่ก็ให้มันเป็นไปตามที่อำนาจกรรมเขาคุมจักรวาลนี้ไว้อยู่
อำนาจกรรมไม่ใช่กุมเฉพาะชะตากรรมของมนุษย์นะ
มันกุมได้กระทั่งว่าจะให้ดาวดวงไหนไปเรียงกันอยู่
ในแบบที่จะก่อให้เกิดดาวเคราะห์บริวารที่มีมนุษย์เกิดขึ้นได้
หรือว่าจะเอาเฉพาะพวกที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน
มันคุมได้หมดเลยทุกอย่าง


ถ้าเราจะต้องเจออะไรแบบที่มันแย่จริงๆ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเตรียมใจไว้ อันนี้เขาเรียกว่าเผื่อใจไว้สำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ถ้าเผื่อใจไว้หลายๆ ครั้ง เตรียมใจไว้หลายๆ ครั้ง
ว่าถ้าเราตายร้ายแต่จิตดี ก็ได้ไปดี ได้ไปสุคติ

คิดไว้อย่างนี้บ่อยๆ ในที่สุดความกลัวมันหายไปเอง
แล้วในที่สุด จะมีปราการแก้วที่เราสามารถรู้สึกได้
ว่าเราอยู่ในที่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
มีความพอใจกับการที่จิตของเราผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์



และถ้าหากว่าจะให้จิตของเราผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่นแฟ้นจริงๆ
ต้องทำตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกแนวทางไว้
นั่นก็คือ หมั่นให้ทาน เลิกเสียความตระหนี่ เลิกเสียการผูกใจเจ็บ
หมั่นให้อภัยทาน หมั่นให้ความรู้สึกดีๆ ความช่วยเหลือกับเพื่อนมนุษย์และสัตว์นะครับ
แล้วก็รักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นี่ตรงนี้นะ เราก็จะรู้สึกเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองได้เอง
ณ ที่นั้น ต่อให้โจรมาจริงๆ ก็ไม่กลัว
คือกลัวไม่ใช่ไม่กลัวนะ แต่ว่าจะไม่กลัวตายขนาดปอดลอยหรือว่าขวัญหนีดีฝ่อ
กระทั่งแค่ว่าเห็นเงา หรือว่าได้ยินเสียงอะไรตุ้บๆ ตั้บๆ ก็จินตนาการ
จะไม่จินตนาการไปล่วงหน้าไกลเกินตัวนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP