วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๖



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ลานน้ำค้างโก่งคออาเจียนแทบหมดไส้หมดพุง อาการวิงเวียน คลื่นไส้ไหลมาเป็นระลอก แต่ละรอบเล่นเอาสะบักสะบอม มาทีอาเจียนที เหมือนไม่หมดไม่สิ้น อาเจียนจนไม่มีอะไรเหลือในท้อง ขยอกออกจนหมด มีแค่น้ำเหนียว ๆ กลิ่นฉุนไหลยืดชวนทุเรศตัวเอง

            สุดท้ายนั่งแผ่อยู่ข้างโถส้วม เรี่ยวแรงไม่มีเหลือ ร่างกายไม่ต่างจากเศษขยะเน่า กองทิ้งไว้อย่างไร้ค่า ไม่มีราคา

            ดีแล้วที่แม่กลับไปก่อน ไม่อย่างนั้นต้องมาช่วยล้างหน้า ล้างปาก พยุงหล่อนออกจากห้องน้ำ พาไปนอนบนเตียงด้วยความยากลำบาก

            เห็นแล้วอดสงสารแม่ไม่ได้ สู้ให้หล่อนนั่งจมอยู่ข้างโถส้วม ดมกลิ่นอ้วกของตัวเองเสียยังดีกว่า สักเดี๋ยวพอมีเรี่ยวแรง ค่อยตะเกียกตะกายคลานขึ้นเตียงเองก็ได้

             นี่คือลานน้ำค้าง...เป็นห่วง...สงสารทุกคน...ยกเว้นตัวเอง!

            หญิงสาวคิดถึงตนเองอย่างไม่ยี่หระ นั่งแช่ดูร่างกายหมดเรี่ยวแรงอย่างปลง ๆ ศพคนตายก็เป็นอย่างนี้เอง เหม็นเน่า ไม่มีคุณค่าราคา ไม่สามารถขยับเขยื้อน ไม่สามารถสั่งให้ทำอะไรได้ตามต้องการ

            นั่งอยู่อย่างนี้ ลานน้ำค้างรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ความตายแค่สองสามก้าว ใจสงบ ไม่ดิ้นพล่านทุรนทุราย...

            ถึงอย่างนั้น ความตายคงยังไม่อยากยื่นมือพาหล่อนไปเร็วนัก เมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วมีร่างสูง ๆ ทรุดตัวใกล้ ๆ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง กังวล ดวงตาดูเจ็บปวด ราวกับจะยอมทุกข์ทรมานแทนหล่อนให้ได้

            เขาไม่พูดอะไร...ดวงตาเขาต่างหากที่พูด...

            “อย่าเป็นอะไรไปนะ” หล่อนเข้าใจความหมายเช่นนั้น

            รู้จักกันมานาน เพิ่งเห็นใกล้ ๆ เดี๋ยวนี้เองว่า บูรพามีดวงตาที่สวย...สวยแบบผู้ชายจริงใจ และมันสามารถพูดจาตัดพ้อได้อย่างเจ็บปวดเหลือใจ

            ลานน้ำค้างไม่พูด ไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด แม้กระทั่งนัยน์ตาหล่อน ก็ไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ อธิบายต่อคำตัดพ้อจากดวงตาเขา

            หญิงสาวปล่อยให้ชายหนุ่มทำทุกอย่างเช่นที่แม่เคยทำ ตั้งแต่กดชักโครก พยุงหล่อนขึ้นมา ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าอย่างเบามือ เตรียมน้ำบ้วนปากเรียบร้อย ทุกกิริยากระทำด้วยความอ่อนโยน ทะนุถนอม ราวกับหล่อนเป็นแก้วบางที่ต้องคอยเป็นห่วงระวัง

            เขาพยุงหล่อนออกจากห้องน้ำ จะพาขึ้นไปนอนบนเตียง แต่ขาของเธอป้อแป้ ไม่ยอมทำตามคำสั่ง มันจึงขัดขืน ขัดขากันเองจนเกือบจะล้ม ถ้าหากเขาไม่รวบร่างหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเสียก่อน

            เป็นครั้งแรก...ที่ทั้งสอง อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน

            ลานน้ำค้างรู้สึก...เวลาเดินผ่านเชื่องช้า แสนนาน...

            อ้อมอกนั้นกว้างและอบอุ่นกว่าที่คิด ใกล้จนสัมผัสลมหายใจของเขา ความอบอุ่น ละมุนละไมถ่ายทอดช้า ๆ หนักแน่น ซึมซาบเข้าสู่หัวใจ เสมือนสายธารจากเขื่อนอันเต็มล้นมีปริมาณความรักไม่จำกัด ไร้วาจาบอกกล่าว ผสานอยู่ทุกอณูความรู้สึก

            บูรพารู้สึก...เวลาผ่านไปแสนสั้น...

            ร่างในอ้อมกอดบอบบาง อ่อนแอกว่าที่คิด ลมหายใจอุ่น ๆที่กระทบหน้าอกผะแผ่ว บอกถึงเรี่ยวแรงอ่อนล้า เขาอยากกอดเธอให้เนิ่นนาน อยากเป็นปราการมั่นที่พร้อมปกปักรักษา เป็นที่อิงแอบให้ไออุ่นตลอดเวลา แต่ทว่าละอองไอจากหัวใจรักยังไม่ทันบอกกล่าว แตะสัมผัสถึงหัวใจอีกฝ่าย ร่างนั้นก็ขยับตัวน้อย ๆ คล้ายเตือนให้รู้สึกตัว

            ชายหนุ่มตัดสินใจช้อนร่างนั้นขึ้นมาในอ้อมแขน หญิงสาวไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน แววตาต่างหากทอประกายต่อว่า...เขาทำเฉยเสีย พาหล่อนขึ้นไปนอนในท่าที่สบาย ปรับเตียงพอเหมาะ นำผ้าห่มคลี่คลุมอย่างอ่อนโยน

            ทั้งสองสบสายตาระหว่างกัน...ลานน้ำค้างไม่กล้าสู้นัยน์ตาคมกล้า จริงจัง จึงได้แต่หลบ หลับตาทำเป็นเพลียหมดแรง...ถึงอย่างนั้น คนที่คุ้นเคยกันมาสิบกว่าปี มีหรือไม่รู้ทัน

            บูรพาลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ถ้าเขาไม่พูดความในใจออกมาเดี๋ยวนี้ หัวใจคงยิ่งเจ็บระบมด้วยแรงอัดอั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

            “ลาน...” ชายหนุ่มเรียกขานอ่อนหวานนักหนา “เราขอโทษนะ ที่ทะเลาะกับเธอเมื่อวันก่อน”

            หญิงสาวยังหลับตา ทำเป็นไม่ได้ยิน

            “ต่อจากนี้ไป...เราขอสัญญา จะไม่โวยวายใส่เธออีก” เขาพูด และชะงักไว้...

            คำบางคำ ต้องใช้ความกล้าอย่างยิ่ง...ใช้ใจที่เด็ดเดี่ยว ถึงจะพูดมันออกมาได้...

            “ไม่ว่าเธอจะชอบใคร...รักใคร...เราก็จะร่วม...ยินดี...จะไม่แสดงท่า อย่างที่เคยทำ

            ชายหนุ่มกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงคอ หญิงสาวสะท้านเยือก...ใจหายอย่างไม่มีเหตุผล

            “เธออยากทำอะไร...เราจะช่วย จะสนับสนุนเต็มที่...เธอจะรักใคร เรายินดี ไม่ขัดขวาง”

            บูรพาหยุดพูดชั่วขณะ หัวใจมันทนไม่ไหวอีกแล้ว ให้พูดต่อใจต้องขาดแน่...แต่...หยุดไม่ได้ ต้องพูดให้จบ ถึงขาดใจเดี๋ยวนี้ก็ยอม...

            “ขอร้อง...อย่าปิดบังอะไรเราอีก อย่าเห็นเราเป็นคนนอก...ขอให้เราได้ช่วยเหลือเธอ...ได้ร่วมรับรู้ความทุกข์ ร่วมเผชิญปัญหาด้วยกัน”

            ลานน้ำค้างขอบตาร้อนผ่าว ยิ่งฟังวาจาบูรพา หัวใจยิ่งมีน้ำตาหลั่งไหล

            “ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลง เราไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนต้องเปลี่ยนไป...เธอจะไม่มีวันรักเราก็ได้ จะเกลียดเราชนิดไม่ยอมมองหน้าเลยก็ยอม...แต่ขอร้อง...ขอร้องจากใจจริง...ขอให้เราได้อยู่ใกล้ ได้ช่วยเธออย่างเต็มที่...เพราะเพื่อนคนนี้...มันให้เธอได้...ทั้งชีวิต!”

            น้ำตาไหลมาแล้ว ไหลลงมาโดยไม่อาจควบคุม ลานน้ำค้างปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างนั้น ไม่สนใจว่าผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ จะมองเห็นหรือไม่

             เรื่องบางเรื่อง...ถ้ายังไม่พูดออกไป...ก็ไม่อาจนับเป็นความจริง

             แต่ความจริงบางอย่าง...ต่อให้ไม่พูด...มันก็กระจ่างชัดในใจยิ่งกว่า...

             ...วาจานับร้อยพันคำ...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ที่แห่งนี้เป็นภัตตาคารเลิศหรูระดับไฮคลาส ทุกอย่างที่ตกแต่งบอกถึงรสนิยมอันดี อาหารแต่ละจานผ่านการคัดสรรถี่ถ้วน ทั้งรสชาติ ความงามในการตกแต่ง

            บริกรทุกคนได้รับการอบรมเข้มงวด ดูเนี้ยบ บริการสุภาพ เรียบร้อย นักดนตรีบรรเลงเพลงกล่อมผู้ฟังด้วยฝีมือระดับครู เส้นเสียงละเอียด พลิ้วพราย ไพเราะจับใจ

            ตรงหน้าระหว่างเลียบเมืองกับเกรซมีอาหาร แชมเปญตั้งไว้พร้อม บรรยากาศชวนดื่มด่ำ ลืมเลือนทุกเรื่องราว

            “วันนี้นึกยังไงถึงพาเกรซมากินข้าวที่นี่คะ” หญิงสาวถามอารมณ์ดี ใบหน้าจับแสงไฟผุดผาด งดงามกว่าเดิม

            “ผมเคยสัญญาจะพาคุณมาดินเนอร์ไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มยิ้มพราย

            “อ๋อ...เกรซนึกว่ามีโอกาสพิเศษอะไรเสียอีก”

            “โอกาสพิเศษมีเสมอ อยู่ที่เราจะกำหนด...” นัยน์ตาเขาพราวระยับยิ้มสวย

            เกรซมองเลียบเมืองอย่างแปลกใจ ดวงตาเขาฉายประกายสดใส รอยยิ้มกระชากใจจุดขึ้นที่ริมฝีปาก มือเลื่อนกล่องกำมะหยี่สีแดงมาวางตรงหน้าหญิงสาว

            “อะไรคะ” เกรซเลิกคิ้วถาม

            เลียบเมืองผายมือ ยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงบอกให้หล่อนเปิดดูเอง

            หญิงสาวเปิดกล่องกำมะหยี่ ประกายของเพชรเม็ดใหญ่ส่องวูบวาบ สะกดสายตาบนตัวเรือนแหวนวงสวยอยู่ภายในนั้น

            “แต่งงานกับผมนะครับเกรซ” คำพูดนุ่มหูจากบุรุษผู้สมบูรณ์เพียบพร้อม ทั้งรูปลักษณ์ หน้าตา ฐานะ ความรู้ ยากมีสตรีใดตอบปฏิเสธได้

            ประกายบางอย่างฉายวาบในดวงตาหญิงสาว สีหน้าไม่ได้แสดงความดีใจอย่างที่อีกฝ่ายคาดหมายจะได้รับ มือเรียวสวยปิดกล่องกำมะหยี่ และเลื่อนคืนชายหนุ่มด้วยท่วงท่ากิริยายากคาดเดาความรู้สึก

            “ทำไมล่ะเกรซ” เลียบเมืองถามอย่างงุนงง

            “เลียบบอกรักเกรซหรือยังคะ” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

            “โธ่...คุณน่าจะรู้ เราคบกันมาเกือบปีแล้วนะ”

            “ปีกว่าแล้วค่ะ” เกรซกล่าวแก้

            ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ตั้งหลักได้เร็ว มือเอื้อมจับมือหญิงสาวเอาไว้

            “เกรซครับ...ผม...” ยังไม่ทันที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก หญิงสาวก็ดึงมือออก เอ่ยปากขัดขึ้น

            “ก่อนที่คุณจะบอกรัก...” เกรซพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ “ถามใจคุณเองก่อนดีกว่ามั้ยคะ ว่าความรักของคุณคืออะไร...แล้วสิ่งที่อยู่ในใจคุณตอนนี้ ใช่มันจริงหรือเปล่า”

            เลียบเมืองอึ้ง มองหญิงสาว สายตาเต็มไปด้วยคำถาม

            “ผมไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มหลุดคำนี้ออกมา

            “นั่นสิคะ...เลียบยังไม่เข้าใจตัวเองเลย แล้วมาขอเกรซแต่งงานทำไม”

            “ไม่ใช่...ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

            คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายดึงมือชายหนุ่มมากุมเบา ๆ แล้วถาม

            “ตอนนี้คุณรู้สึกอะไรไหมคะ”

            “ไม่...” เขาตอบตามตรงแล้วชะงัก...คิดได้

            เกรซคลายมือออก ยิ้มอย่างเข้าใจ

            “สำหรับเกรซ ความรักเป็นเรื่องสำคัญ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิต...เกรซตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า...จะแต่งงานเพียงครั้งเดียว กับคนที่ ‘ใช่’ จริง ๆ เท่านั้น”

            เลียบเมืองนิ่งฟัง เหมือนเพิ่งรู้จักผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งแรก

            “เลียบเป็นผู้ชายเพอร์เฟกต์ที่สุดเท่าที่เกรซเคยพบ เป็นผู้ชายที่เกรซอาจจะฝากชีวิต และหัวใจไว้ได้... เกรซคิดว่าเริ่มรักคุณแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจมากพอที่จะร่วมชีวิตด้วยในเวลานี้...แล้วคุณเองล่ะ ตอบโจทย์ในหัวใจ ก่อนขอเกรซแต่งงานหรือยัง?”

            “ผม...” ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอย่างไร หญิงสาวจึงพูดต่อเสียเอง

            “เกรซน่าจะโกรธคุณนะ ที่คิดใช้การแต่งงานของเรามาเป็นเครื่องมือ ในการต่อสู้เพื่อดึงน้องปันปันเอาไว้” หญิงสาวพูดแทงทะลุใจเขา

            เลียบเมืองไม่เถียง แต่สำหรับเขา...ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะขอแต่งงานด้วย

            “ความรู้สึกที่คุณมีต่อน้องปันปันนั่นแหละคือ “ความรัก” ความรู้สึกที่อยากปกป้อง ดูแล หวงแหน ไม่ยอมสูญเสีย ทำทุกอย่างเพื่อรักษาคน ๆ นั้นไว้มันคือความรัก...เมื่อไหร่ที่เลียบรู้สึกอย่างนั้นกับเกรซ ค่อยมาขอแต่งงานอีกครั้งนะคะ”

            “เกรซ...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มเอ่ยปากในที่สุด “คุณอาจพูดถูก ที่ผมคิดใช้การแต่งงานของเรามาเป็นเครื่องยืนยันในความสามารถที่จะเลี้ยงดูปันปันมาต่อสู้ในศาล...แต่ผู้ชายอย่างผม ไม่กล้าที่จะเอาหัวใจ กับชีวิตตัวเองทั้งชีวิต มาล้อเล่นกับเรื่องความรัก และการแต่งงานแน่ ๆ”

            วาจาต่อมาหนักแน่น จริงจัง

            “ถ้าความรักของคุณ...หมายถึงการที่เราอยากปกป้อง ดูแล หวงแหนใครสักคน ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาคน ๆ นั้นเอาไว้...ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณวันนี้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น...”

            เขาบอกอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาหญิงสาวสลดลงวูบหนึ่ง

            “แต่ผมเชื่อว่าสักวัน...ถ้าเป็นคุณ...ผมจะมีความรู้สึกอย่างนั้นได้ไม่ยาก...ขอเวลา...ขอโอกาสให้ผมอีกสักครั้ง ได้มั้ย”

            เลียบเมืองเว้าวอนด้วยวาจาและสายตา

            หัวใจหญิงสาวเหมือนมีเสี้ยนบาง ๆ เฉี่ยวแปลบให้รู้สึก หล่อนมองใบหน้าเขาลึกซึ้ง เนิ่นนาน

            “เกรซยังไม่กล้าเสี่ยง...ในเวลานี้” เธอตอบหลังจากชั่งน้ำหนักในใจ “เกรซอยากปกป้องหัวใจตัวเอง... กลัวว่า...ถ้ามันรักคุณไปยิ่งกว่านี้ โดยที่คุณไม่สามารถมีความรู้สึกเช่นนั้นตอบกลับมาได้เลย...มันก็คงไม่คุ้มค่ากับความเสียใจ”

            ชายหนุ่มนิ่งอั้น ขณะที่หญิงสาวรีบพูดต่อ ราวกับกลัวตนเองจะเปลี่ยนใจ

            “คุณพ่อท่านเห็นเกรซว่างงานมานาน เลยถามความสมัครใจว่าเกรซสนใจจะไปดูแลงานของเราที่ปารีสมั้ย... ตอนนั้นเกรซยังลังเล...เวลานี้คิดว่า...มันคงเป็นโอกาสดี ที่เราจะห่างกันสักปี สองปี...เพื่อจะได้รู้จักหัวใจตัวเองให้ดีมากขึ้น”

            “อย่าทำอย่างนั้นเลยเกรซ...” เขาพยายามเหนี่ยวรั้ง อ้อนวอนจากใจจริง รู้สึกหัวใจว่างโหวง เมื่อรู้ว่าหล่อนตัดสินใจจะไป

            “ขอบคุณนะคะ ที่พยายามเหนี่ยวรั้ง...แต่เกรซคงรักตัวเองมากเกินไป และมีบางเรื่องที่คุณควรรู้”

            เกรซบอกอย่างตรงไปตรงมา

            “เกรซคงไม่มีวันรักน้องปันปันได้มากเท่าคุณ...ยังเคยคิดเลยว่า ถ้าต้องแต่งงานกับคุณ โดยมีปันปันอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นลูกของเรา...เกรซคงไม่สามารถรักแกได้เท่าที่คุณต้องการ”

            ทั้งหมดคือความจริงใจที่ทั้งสองมีให้แก่กัน แม้ว่าความจริงใจนั้น ทำให้เส้นทางสองสายต้องแยกย้ายไปคนละทิศทาง มันก็ยังหลงเหลือความทรงจำ ความรู้สึกดี ๆ แก่กันไว้ยามระลึกถึง

            และไม่แน่...เส้นทางที่แยกคนละทาง อาจวกกลับมาบรรจบกันอีกครั้งก็ได้...

            เรื่องของอนาคต ยากที่ใครจะหยั่งถึง...คาดเดา


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “ความฝัน” มีความฝันหลายครั้งหลายคืนที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน เหมือนจริงจนเราอาจหลงคิดไปว่ามันคือความจริง

            ลานน้ำค้างกำลังยืนอยู่ในห้องทำงานของเลียบเมือง ในห้องนั้นมีเจ้าของห้อง เกรซ ปัณรสี และทนายความ กำลังพูดคุยถกเถียงกันอย่างรุนแรง

            ทั้งหมดขัดแย้งกันเรื่องของปันปัน

            เหตุผลของปัณรสีน่าเห็นใจ น่าสงสาร...เหตุผลของเลียบเมืองก็ไม่ผิด และถูกต้องหากมองในมุมของปันปัน ผู้ที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

            ลานน้ำค้างรับฟังสองฝ่าย สองด้าน จนกระทั่งจบ...

            ฝ่ายหนึ่งแยกจากไป โดยที่เลียบเมืองยังนั่งคุยกับเกรซต่อ

            บทสนทนาช่วงหลังค่อนข้างเลือน ๆ เบลอ ๆ ไม่ชัดเจน จนลานน้ำค้างได้พบใครบางคน ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องอย่างไร้วี่แวว

            บุคคลนั้นทำให้หล่อนเชื่อว่าตนเองกำลังฝันแน่ ๆ

            คุณสันติอยู่ในห้องทำงานของเลียบเมือง เมื่อร่างเขาโผล่ขึ้นมา เลียบเมืองกับเกรซก็ดูพร่าเลือนไม่ชัดเจน

            “ได้ยินทั้งหมดแล้วใช่มั้ย” เสียงคุณสันติชัดเจนกว่าทุกที เหมือนพูดคุยกันปกติธรรมดา

            “ค่ะ” ลานน้ำค้างตอบ

            “นี่คือวิกฤตของเลียบเมืองกับปันปันที่ฉันอยากให้เธอช่วยจริง ๆ” คุณสันติบอก

            “จะให้ดิฉันช่วยยังไงอย่างไรคะ” หญิงสาวไม่เข้าใจ

            “ช่วยพาเลียบเมืองไปพบคน ๆ หนึ่ง”

            “ใครคะ”

            “ยายของปันปัน!”

            “ยายของปันปัน...แม่คุณปัณรสีหรือคะ”

            “ใช่...เธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยเราได้”

            “เธออยู่ที่ไหน ดิฉันจะไปตามหาได้ยังไง”

            คราวนี้คุณสันตินิ่งไปนาน คล้ายกำลังคิดหาวิธี แต่แล้วร่างของเขาก็เริ่มเลือนลง

            “คุณสันติคะ คุณสันติอย่าเพิ่งไป” ลานน้ำค้างร้องเรียก

            ร่างนั้นค่อยชัดเจนชั่วขณะ มีอาการบิดเบี้ยวเล็กน้อย คำพูดหลุดออกมารัวเร็ว

            “ก่อนที่เธอจะพาเลียบเมืองไปหายายของปันปัน...ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วยจัดการก่อน”

            “เรื่องอะไรคะ”

            จากนั้นคุณสันติพยายามรวบรวมสติ บอกเล่ารายละเอียดบางอย่าง แต่ละคำล้วนทำให้ลานน้ำค้างนึกฉงน ไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมตกปากรับคำง่าย ๆ

            งานที่ต้องการให้หล่อนกระทำ มันเป็นเรื่องที่จะว่าง่ายก็ง่าย หากบอกว่ายากก็ไม่ผิด ที่สำคัญคือต้องได้รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่

            แต่ไม่ว่าอย่างไร...หญิงสาวเชื่อว่างานชิ้นนี้ มันคือกุญแจที่จะช่วยไขปริศนาบางอย่าง และมีส่วนช่วยให้ปันปันสามารถอยู่กับเลียบเมืองได้ต่อไป

  





บทที่ ๒๔



            มีเพลงไม่มาก ที่สามารถรั้งบูรพาให้หยุดฟังอย่างสนใจได้ เพลงนี้ฟังสะดุดหูตั้งแต่ท่อนอินโทรที่บรรเลงเดี่ยวเปียโน จังหวะทำนองคล้ายเสียงสายฝนซัดซ่าไล่เป็นระลอก หากปล่อยจินตนาการอิสระจะเหมือนกำลังยืนเดียวดายกลางสายฝน

            ความที่ติดใจท่วงทำนองดนตรี ชายหนุ่มจึงเดินตามเสียงเพลงไปถึงห้องกิจการนักศึกษา ซึ่งมีเหล่ากรรมการนักศึกษารวมกลุ่มกันเปิดทีวี ดูมิวสิควิดีโอเพลงที่เขาสนใจ



            ฝนทั้งฟ้า...รินไหล...แทนความเศร้าใจ

            เจ็บปวดหัวใจ มากเพียงไร ใช้สิ่งใดทดแทน...



            ใบหน้านักร้องถูกบังด้วยแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ กล้องค่อย ๆ เลื่อนออกมาเผยให้เห็นตัวนักร้องทีละน้อย

            เสียงกรี๊ดกร๊าดดังจากสาว ๆ นักศึกษาในห้อง เมื่อเห็นนักร้องเต็มตัวอยู่ในชุดสีดำเคร่งขรึม ผมยาวถูกรวบตึงเผยใบหน้าใสนัยน์ตาสวย ริมฝีปากเรียวบางสีแดงสด บูรพาเองยังอดทึ่งตามสาว ๆในห้องไม่ได้

            “ต๊าย หล่อจังเลย...ชื่ออะไรน่ะเธอ”

            “โดม...เขาชื่อโดมย่ะ นักร้องใหม่กิ๊กเลยนะยะ”

            บูรพาคิดไม่ถึง เด็กหนุ่มที่เคยร้องเพลง เล่นกีตาร์ตามร้านอาหาร จะกลายเป็นเจ้าชายหลังแกรนด์เปียโน พลิ้วปลายนิ้วลงบนพรมคีย์เสียง แล้วขับขานบทเพลงที่ไพเราะจับใจขนาดนี้



            กว่าจะรู้ว่ารัก...กว่าจะมีวันนี้ ฉันรู้ดีเพราะมีเธอ...เสมอมา

            จะรักเธอให้มาก...มากกว่าเคยรักใคร มากกว่าเธอรักฉัน...สัญญา



            บทเพลงตรึงให้บูรพาจมอยู่กับอารมณ์หวนไห้ จับจ้องภาพในจอทีวี ทั้งที่มีเพียงนักร้องกับเปียโนล้วน ๆ ยิ่งฟังยิ่งตื้นตันในอก เหมือนหัวใจกำลังโหยหา เรียกร้องใครบางคนที่อาจไม่กลับมา

            สาว ๆ ในห้องต่างส่งเสียงชื่นชมเกรียวกราว ถามถึงที่มาที่ไปของนักร้องด้วยความอยากรู้

            “ตายแล้ว หล่อขนาดนี้ เสียงดีขนาดนี้ ไปหลบอยู่ที่ไหนมาเนี่ย”

            “ไม่ได้หลบนะยะ...ข่าวที่ไม่คอนเฟิร์มบอกว่า...นี่แหละลูกชายคนเดียวของมาตา ที่เคยมีรูปขึ้นปกหนังสือซุบซิบยังไงล่ะ”

            บูรพารีบเดินออกมาจากห้องกิจการนักศึกษา ไม่อยากให้เด็กรุ่นน้องเห็นหน้า ไม่งั้นต้องโดนชวนเข้าร่วมกิจกรรมไม่หยุด...ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาว่างเสียด้วย แค่เรียน ทำวิทยานิพนธ์ และคอยไปเยี่ยมดูแลลานน้ำค้างก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว

            เห็นมิวสิควิดีโอของโดมอย่างนี้ นึกได้ว่าเคยรับปากจะไปเยี่ยมมาตา แต่ยังไม่มีโอกาสสักที ทั้งที่นักร้องดังกับลานน้ำค้างก็อยู่โรงพยาบาลเดียวกัน

            บ่ายนี้ไม่มีชั่วโมงเรียนเสียด้วย แวะไปโรงพยาบาลสักหน่อยคงดี



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP