สารส่องใจ Enlightenment

อานาปานสติ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑




อานาปานสติ (ตอนที่ ๑) (คลิก) 


ความดีๆ เป็นเครื่องพาให้คนดีนะ
ผู้ที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงขั้นยอดเยี่ยม
ขั้นไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีก ขั้นบรมสุข
ก็ต้องอาศัยความดีมีทานมีศีลมีภาวนาสร้างความดี
นี่ปราชญ์ทั้งหลายท่านเป็นคนดี ท่านได้เป็นศาสดาของโลก
ดังพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
และสาวกของพระพุทธเจ้าทุกๆ องค์ที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้
ล้วนแล้วแต่ท่านผู้สร้างความดี ความดีเต็มหัวใจแล้วผ่านได้พ้นได้
เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตก็ให้พยายามสร้างความดีอย่าได้ลดละ



อันเรื่องความชั่วนั้นยังไงมันก็ขัดแข้งขัดขาเราอยู่ดี
มัดแข้งมัดขามัดหูมัดตาเราดีๆ ให้รีบเปิดออกเรื่อยๆ นะ
มันจะสร้างเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา
ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วต้องเป็นข้าศึกต่อความดี
อธรรมต้องเป็นข้าศึกต่อธรรมเสมอไป มันไม่ได้เป็นมิตรกันนะ
เราสร้างความดีมันก็ไม่ได้ชินต่อความดีของเราที่สร้างนะ
มันคอยขัดคอยขวางอยู่นั้นแหละ
ให้เราแก้มันให้ได้ เอ้า ไปให้ได้
ความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้พาเราไปสวรรค์นิพพาน
ความชั่วที่มาขัดมาข้องมายุ่งเหยิงวุ่นวายเราอยู่เวลานี้
ไม่ได้พาเราดิบเราดีอะไร มีแต่จะพาเราจม
ถ้าเราเชื่อมันมากเข้าเราต้องจมแน่ๆ ไม่อาจสงสัย



เราต้องคิดเสมอ เราจะเชื่อคนพาลหรือเชื่อนักปราชญ์ท่าน
นักปราชญ์ก็คือจอมปราชญ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่าน
คนพาลก็คือสิ่งชั่วช้าลามกนั่นเอง
มันไม่ดี มันกีดมันขวางหรือมันขัดมันขวางทางที่ดีของเรา ไม่ให้เราสร้างความดี
เราอย่าไปเชื่อมัน อุตส่าห์พยายามทำนะ ต้องได้ต่อสู้กันตลอด
คำว่า ข้าศึกมันมีมากมีน้อยต้องได้ต่อสู้กันไปเรื่อย
จนกระทั่งข้าศึกมันราบหมดไม่มีอะไรเหลือเลยจึงหมดการต่อสู้
เพราะไม่มีอะไรจะต่อสู้กันอีก ต่อสู้อะไรมันตายหมดแล้วนี่
อย่างพระพุทธเจ้าท่านชนะกิเลสมารท่านชนะหมดจริงๆ
ไม่มีที่ว่าจะต้องต่อสู้กับกิเลสมารอีก



อันนี้เรามันยังมีกิเลสมารมากน้อย มันก็ต้องแสดงให้เราเห็นอยู่ เราต้องได้สู้มันอยู่
เอ้า ถ้าพอว่า เราจะสร้างความดี สมมุติว่าเราจะให้ทาน เราก็ให้ทานอยู่ทุกวันแหละ
มันหากมีมารตัวนี้แทรกเข้ามาขัดขวางจนได้ไม่อยากให้เราให้ทาน
ตัวตระหนี่ก็แสดงตัว นั่นละคือตัวมาร
ทั้งๆ ที่เราเคยทำทานอยู่ทุกวันแต่มันก็ขัดอยู่ทุกวัน คัดอยู่ทุกวันค้านอยู่ทุกวัน
เห็นไหมล่ะ มันเป็นด้วยกันนั่นแหละในหัวใจของเราทุกคนๆ
ให้ทราบว่ามันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องฝืนมันตลอด นี่เรียกว่าสู้กัน



เมื่อสู้ไปๆ มันก็อ่อนลงๆ สิ่งเหล่านี้อ่อนลง
ส่วนความดีอย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน มันจะมีเรื่องแทรกๆ อย่างเดียวกันนี้
ขึ้นชื่อว่ากิเลสมารแล้ว
มันจะต้องแทรกทุกระยะทุกแขนงของความดีที่เราจะทำลงไป มันจะไม่ให้ทำ
พระพุทธเจ้าก็ชนะได้ด้วยการรบนี่แหละ ไม่ใช่ชนะด้วยการถอยทัพ
พระพุทธเจ้าชนะมาร  ชนะด้วยการรบการสู้เหยียบหัวมันไป
สุดท้ายก็เป็นศาสดาขึ้นมา
อันนี้เราก็พยายามเดินตามครูคือศาสดาองค์เอกของเรา



อย่างพวกเรามาวัดนี้ใครบ้างไม่มีปากไม่มีท้อง
ก็ต้องวิ่งเต้นขวนขวายหาใส่ปากใส่ท้องบ้าง
บ้านเรือนมีก็ต้องได้ขวนขวายหาอยู่หากินเป็นธรรมดา ครอบครัวมี
ทำไมเราถึงได้มาวัด ก็เพราะเราฝืนและเหยียบหัวกิเลสมานั่นเอง
จำให้ดีนะ ให้สร้างความดีแข่งความไม่ดีอย่าลดละท้อถอย



เรื่องของอานาปานสตินี้พิสดารมากนะ
แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่พ้นจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญไปได้แหละจะภูมิใดก็ตาม
ถ้าเป็นภูมิที่จะพิสดารแล้วจับกรรมฐานบทใดขึ้นมาภาวนา
มันก็เตรียมท่าที่จะพิสดารตามนิสัยของตัวเองไปโดยลำดับ สำคัญอยู่ที่นิสัย
อย่างพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธวิสัย สาวกแต่ละองค์เป็นวิสัยของตัวเองๆ
แต่จะสรุปเรื่องภาวนาคือจิตของเรา
เวลาภาวนาโดยกำหนดอานาปานสติคือลมหายใจเข้าหายใจออก
ให้รู้อยู่กับลมที่เข้าออกๆ แต่เราอย่าตามลมเข้าไป อย่าตามลมออกไป
อันจะเป็นการสร้างความกังวลให้มากและภาระมากไป
จะฟั่นเฝือต่อการทำและจะไม่เห็นผล
ให้กำหนดรู้อยู่จำเพาะลมที่เข้าลมที่ออก รู้สืบต่ออยู่ที่ลมนี้



ความรู้เมื่อเราจดจ่ออยู่ตรงนี้แล้วก็จะรวมตัวเข้ามา
เหมือนกับที่ว่าเราดึงจอมแหนั่นแหละ
มันจะรวมเข้ามาๆ จุดนี้เลยเป็นจุดที่สนใจ
ทีแรกก็น่าสนใจ ต่อไปก็เป็นจุดที่สนใจ แล้วรวมเข้าๆ เด่นขึ้นๆ
ความรู้นี้เด่น ลมหายใจเบาลงๆ แล้วหายเงียบก็มีนะ
นักภาวนาให้เข้าใจเอาไว้ แต่อย่าไปคาด ให้เป็นขึ้นในตัวเองๆ
ถ้าเป็นก็ให้เป็นขึ้นในตัวเองๆ
อย่าไปคาดไปหมายไม่ถูกกับหลักภาวนาและจะไม่ได้ผลที่ควรจะได้



บางทีมันเป็นถึงขั้นนั้นเป็นได้จริงๆ ในความรู้สึกนี้น่ะ ไม่มีเลยลมหายใจ
ทั้งๆ ที่รู้เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าลมละเอียดเข้าไปๆ แล้วก็หายไปเลย
ไม่มีลมหายใจในขณะนั้น
แต่เราไม่ต้องกลัว ความกลัวก็คาดเอาไว้มันถึงกลัว ไม่คาดเอาไว้มันไม่กลัว
ให้ดูปัจจุบันไม่กลัวไม่กล้า ถ้าลงดูปัจจุบันคือเป็นความจริง
ดูความจริงอยู่ในลมนั้นมันจะเป็นยังไง มันเป็นยังไงก็รู้มันอยู่ตรงนั้นน่ะ
ลมหายใจก็แผ่วเบาลง ที่สุดลมหายเงียบ
หายเงียบก็ตามแต่ความรู้ไม่ได้หายนี่ นั่นตัวรับรองตัวยืนยันมีอยู่
ถึงลมจะหายไปก็ตามก็เราไม่ได้ภาวนาเอาลมนี่นะ
เราภาวนาเอาความรู้ต่างหาก
ลมอยากจะมีก็มี อยากจะหายก็หายไปซิความรู้ไม่ได้หาย 
เอาความรู้นี้ให้อยู่กับความรู้นี้ เด่น
แล้วจิตของเราก็พุ่งเข้าสู่ความสงบอย่างละเอียด หายกังวล



ส่วนมากนักภาวนาที่เกี่ยวกับเรื่องลมหายใจดับนี้
นักภาวนามักสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาโดยเจ้าตัวไม่รู้นะ
มักจะเป็นด้วยกันนั่นแหละถ้าไม่มีผู้แนะไว้ก่อน
คือเมื่อลมหายใจสงบลงไปๆ ลมหายใจแผ่วเบาลงไปๆ
พอเบาลงไปแล้วลมหมด พอลมหมดแล้วนั้นแหละมักสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา
เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าเขาว่าเราย่อมกลัวตาย
และวิตกขึ้นมาในเวลานั้นว่า นี่ลมหายใจหมดไปแล้วมันจะไม่ตายเหรอ
พอว่างั้นมันก็กระตุกจิต จิตก็เริ่มถอนตัวขึ้นมา แล้วลมก็มีขึ้นมาเสีย
ภาวนาคราวต่อไปเมื่อไปถึงจุดนั้นก็สร้างเหตุการณ์กระตุกตัวเอง
แล้วใจก็ถอนกลับเสีย เลยไม่พุ่งผ่านไปถึงความสงบอันละเอียดได้



เพื่อเป็นการตัดปัญหาจุดนี้ไม่ให้มายุ่งกวนใจ
คือสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาขัดขวางเรา จึงให้พิจารณาอย่างที่ว่านี้นะ
คือเวลาลมละเอียดก็ให้รู้ลมละเอียดไม่ต้องกลัวไม่ต้องกล้า
กลัวอะไรความจริงมีอยู่ ดูความจริง เอ้า มันละเอียดก็ให้รู้ว่าละเอียด
ความรู้รองรับอยู่ตลอดเวลา จิตไม่เคยปราศจากความรู้ รู้อยู่ตลอดเวลา
เอ้า ละเอียดลงไปก็รู้ ลมหมดก็ให้รู้
ลมหมดมันจะตายหรือไม่ตายก็ให้รู้ซี จิตมันตายเมื่อไร จิตไม่ตายตัวยืนยันอยู่นี่
เอ้า ลมจะหมดก็หมดไปเถอะ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาลม
ถึงลมจะหมดไปจิตของเราคือความรู้นี้ยังครองร่างอยู่แล้วไม่ตาย
นั่นมันยืนยันกันไว้แล้ว ทีนี้ใจก็พุ่งเลยหายกังวลกับเรื่องลมหมดหรือไม่หมด



ถ้าลงจิตหมดกังวลแล้วมันจะเข้าขั้น.....แต่เราไม่อยากจะอธิบายตอนนี้
ถ้าอธิบายนักภาวนาทั้งหลาย แม้แต่พระก็มักยึดเป็นสัญญาอารมณ์
ให้เป็นตัวเรารู้เองเป็นเองนั่นแลเป็นของแน่นอนกว่าใครบอก
คือถึงขั้นที่แปลกประหลาดอัศจรรย์มันเป็นได้จริงๆ นี่เรื่องภาวนา
ร่างกายของเราหายหมด หายไปไหน ก็เรานั่งภาวนาอยู่นี่มันหายไปไหน
นั่งภาวนาอยู่แท้ๆ นี่ร่างกายไม่มีอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีหมดไม่มีเลย
เหลือแต่ความรู้ ความรู้นี้สักแต่ว่ารู้และพูดยากด้วย
เราจะไปว่ารู้เด่นๆ อย่างนั้นก็ไม่ได้ อะไรๆ ก็ไม่ได้มันจะเป็นสองขึ้นมาให้มันเป็นเองๆ
สักแต่ว่าพร้อมกับความอัศจรรย์ที่อยู่ในคำ
‘สักแต่ว่า’ นั่นละ นั้นเรียกว่าดับสนิทเลย
พออิ่มตัวพอตัวแล้ว มันจะยิบแย็บๆ ขึ้นมาเหมือนเด็กจะเริ่มตื่นนอน
เด็กตื่นนอนนี้จะมียิบแย็บ มีลักษณะกระดุกกระดิกๆ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้วก็ลืมตา


จิตของเราก็มียิบแย็บๆ เวลาจะถอนขึ้นมา
พอแก่กาลของตัวแล้วจะเริ่มถอนขึ้นมาก็จะมีลักษณะยิบแย็บๆ
นี้เป็นหลักธรรมชาติของผู้ภาวนาที่จิตเป็นอย่างนี้
แต่ไม่ให้คาดให้หมาย ให้เป็นในตัวเองมันถึงแน่ ถึงเป็นสมบัติของเราเอง
ถ้าไปคาดไปหมายมันเป็นเรื่องคาดเรื่องหมายไปเสีย
ไม่ใช่เรื่องภาวนา ไม่ใช่เรื่องจริง พากันฝึกปฏิบัติเอา



พากันจำเอานะการสร้างความดีเราอย่าได้ลดละ
เราเกิดมาในภพชาติที่เลิศอยู่นะ
คำว่าเลิศๆ คือเรานี้เหมาะที่สุดที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
และประสบพบเห็นศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมเอก
อย่าเข้าใจว่าจะมาเกิดมาพบได้ง่ายๆ นะ
นี่จึงได้กราบพระพุทธเจ้าอย่างหมอบราบ
อัศจรรย์พระพุทธเจ้ารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง
เพราะไม่มีอะไรจะเเหลมคมยิ่งกว่ากิเลส
มีแต่เล่ห์แต่เหลี่ยมของมันหมดครอบโลกธาตุจนหาทางออกไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าออกได้ยังไง พ้นมาได้ยังไง นี่ซิที่อัศจรรย์ท่านน่ะ



สาวกทั้งหลายยังพอมีทางเพราะพระพุทธเจ้าทรงแนะอย่างนั้นๆ
แล้วพยายามปฏิบัติตะเกียกตะกายไปตามพระพุทธเจ้า
ส่วนพระองค์นี้ไม่มีใครบอกไม่มีใครสอนเลย
สยัมภูทรงขวนขวายเอง ทรงรู้เองผึงขึ้นมาเลย
แล้วก็ทรงประกาศความไม่ดีความเลวร้ายของกิเลสให้โลกได้รู้ได้เห็นชัดเจน
ที่ถูกมันปิดถูกมันบังไว้ตรงไหน มันหลอกลวงสัตว์โลกด้วยกลมายาอย่างไรบ้าง
พระองค์เปิดออกหมด เปิดออกให้เห็นตามความจริง
คือกิเลสมันปิดใจของสัตว์โลกไว้ ทรงเปิดออกหมด



เช่นมันปิดนรกไว้ มันหลอกสัตว์โลกว่านรกไม่มี มันปิดนรกไว้
แต่มันเองเป็นผู้โกหกว่านรกไม่มี
ทั้งๆ ที่ปิดเอาไว้ด้วยความหน้าด้านของมัน จึงเรียกว่ามันโกหก
พระพุทธเจ้าท่านทะลุเข้าไปผึง
นี่นรกมีจนคับโลกธาตุปิดไว้ทำไมกิเลสจอมโกหก
คือกิเลสมันตัวจอมปลอม
แสดงอะไรออกมาจะต้องเต็มไปด้วยความจอมปลอมๆ ทั้งนั้น
มันจะไม่ยอมรับความจริงตามสิ่งที่มีที่เป็น
แต่มันจะกลบไว้ๆ หรือว่าปกปิดกำบังสิ่งที่จริงทั้งหลายไว้หมด
จะแสดงแต่ความอำพรางความหลอกลวงออกมา



พระพุทธเจ้าทรงเปิดออกให้เห็นตามความจริงๆ ประหนึ่งว่านี่ปิดไว้ทำไม
นรกมีต้องบอกว่ามีซีหลอกลวงเขาทำไม
สัตว์ตกนรกอัดแน่นอยู่นี้ นรกไม่มีสัตว์มาตกได้ยังไง
เห็นไหมนรกแน่นอยู่นี่มีแต่สัตว์นรก เหมือนกับท้าทายกิเลส
นี่เราตถาคตเห็นอยู่นี่ดูอยู่นี่ โกหกทำไมว่านรกไม่มี
นรกไม่มีใครมาตกนรกอยู่นี้ สัตว์นรกมีไหมนี่ ทำไมโกหกเขาอย่างหน้าด้าน
เราเห็นเราบอกตามความจริงที่บาปมีจริงนรกมีจริง



คือกิเลสมันหลอกไว้ๆ ปิดไว้และบอกว่าไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี
ไม่ให้สัตว์โลกมีแก่ใจสร้างคุณงามความดีเพื่อไปสวรรค์ เพื่อความสุขความเจริญ
นรกไม่มีเพื่อไม่ให้สัตว์ทั้งหลายกลัวบาป
ซึ่งมีแต่ทางที่มันจะกินจะกลืนสัตว์โลกทั้งนั้น
ฉะนั้นจึงได้กราบพระพุทธเจ้า
แหม อัศจรรย์จริงๆ พระพุทธเจ้าน่ะ ไม่มีใครบอกใครแนะเลย
เปิดผึงออกมาและประกาศโทษของกิเลสอย่างเปิดเผย



ที่ว่าพระองค์สอนโลกฟ้าดินถล่ม
คือเวลาตรัสรู้นั่น กิเลสสะเทือนโลกธาตุจะว่าไง
ที่เคยอยู่ในพระทัยของพระองค์ก็ฉิบหายวายปวงไปหมด
ที่อยู่นอกจากนั้นก็กระเทือนโลกธาตุ
อย่างที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตอนจะจวนจบ
สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ. อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ
แปลได้แต่ว่ากระเทือนไปทั่วโลกธาตุว่างั้น
ครู่เดียวเท่านั้นเองพระพุทธเจ้าตรัสรู้
กระเทือนไปถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย ในขณะเดียวครู่เดียวเท่านั้น



ความจริงปรากฏขึ้นมาเป็นอย่างนั้น กระเทือนไปหมด
เปิดให้เห็นตามความจริง สิ่งใดมีอยู่เปิดออกให้เห็นตามความมีอยู่
ประหนึ่งท้าทายกิเลสมารว่าปิดไว้ทำไม หลอกโลกทำไม
คือกิเลสมันหลอกๆ หลอนๆ
ปิดไว้ด้วยกลอันแยบคายของมันให้สัตว์ทั้งหลายตกเอาๆ
เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาแล้ว มันก็ปิดเอาไว้เสียเหมือนไม่เคยตกนรก
มันไม่ให้เราระลึกรู้ความหลังได้เลยว่า เราเคยตกนรกเพิ่งผ่านพ้นขึ้นมา
เพราะมันปิดไว้ไม่ให้รู้ไม่ให้เห็นความเป็นมาของตนมาตลอดดังนี้แล
จึงน่าสลดสังเวชใจเป็นอย่างมาก
ระหว่างกิเลสกับสัตว์โลกที่ถูกทนทุกข์ทรมานเพราะมัน



ที่พุทธศาสนามีขึ้นมานั้นจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ถ้าไม่มีวาสนาอยู่บ้างก็ไม่เห็นไม่เจอคำว่าธรรมๆ นี้
นี่เรามีวาสนาขออย่าได้นอนหลับทับสิทธิ์
อย่าประมาทตัวเอง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เราคิดว่าอะไรวิเศษวิโส
ส่วนมากมันมีแต่เรื่องหลอกหลอนของโลกมายาว่าอันนี้ดี อันนั้นดี
ผลสุดท้ายก็มักคว้าน้ำเหลวหาสาระไม่ค่อยได้
ใจที่ถูกหลอกหลอนนั่นแลตัวสำคัญที่พาให้หมุนเป็นกงจักรไปตามๆ กัน
เราไม่ได้ตำหนิใคร มันเป็นอยู่ในหัวใจ พาให้ดีดให้ดิ้นหาเวลาสงบเย็นไม่ได้เลย



ถ้าไม่อยากจมอยู่ในกองไฟกิเลสก็อย่าหลงเพลิน เห่อกับกิเลสจนเกินไป
ให้รู้เวล่ำเวลา ให้รู้หนักรู้เบาบ้าง อันนี้มันหลอกตรงไหนก็ตะปบปั๊บๆ
เหมือนลูกแมวตะปบหางเชือก เวลาหนูมาวิ่งเข้าป่าโน่นเพราะกลัวหนู
พวกเราก็เหมือนกันเวลาของดีมาหาศาสนามาโปรด
กลัวยากกลัวลำบากไม่อยากทำ ไม่อยากเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล
ถ้ากิเลสหลอกแล้ววิ่งตามมันวันยังค่ำ เอาตายก็ตายไม่มีคำว่าถอย
มันเป็นอย่างนี้เสียเป็นส่วนมาก จึงน่าอ่อนใจ



เอาละพอ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/2slntPi


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP