วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๒



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เลียบเมืองเข้าที่ทำงานตอนบ่ายสองบ่ายสาม นับเป็นเรื่องนาน ๆ จะเกิดสักครั้ง ก่อนหน้านี้ อาหารกลางวันของเขาจะเป็นข้าวกล่อง รับประทานที่ห้องกาแฟ ข้างห้องทำงาน มีพี่มุกดาบ้าง ปันปันบ้างเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ พอกินเสร็จก็ทำงานกันต่อ...

            ตอนนั้นปันปันไม่ยอมไปโรงเรียน แม่หนูน้อยร้องตามเขามาที่ทำงานด้วย ถึงพยายามเกลี้ยกล่อม เจ้าตัวเล็กก็ยังส่ายหน้าดิก ยืนยันความคิดเดิม ไม่มีใครกล้าบังคับ ฝืนใจ เห็นว่าเด็กกำลังเคว้งคว้าง อีกทั้งเพิ่งผ่านการผ่าตัดไม่นาน ร่างกายไม่สมบูรณ์ ก็ต้องยอมตามใจกัน

            ยังดีที่เด็กหญิงไม่ทำตัวรบกวนน่ารำคาญ พอเขาเริ่มทำงาน ปันปันก็หยิบกระดาษมาวาดรูปเล่น บางทีก็เปิดทีวีในห้องทำงานเขานั่งดูการ์ตูนคนเดียว

            ตอนแรกที่ลานน้ำค้างมาช่วยทำงาน เลียบเมืองแปลกใจ ที่เห็น “พี่ลาน” ของปันปัน มาอยู่ที่ทำงานเวลานี้ พอได้ฟังคำอธิบายจากมุกดาก็เข้าใจ ยอมรับ ออกจะเกรงใจเจ้าหล่อนบ้างเหมือนกัน

            คนดีใจที่สุดคือเจ้าปันปัน กระโดดหย็องแหยงวิ่งเข้าไปกอด ชวนคุยไม่ขาดปาก ความดีใจของปันปันมีได้ไม่นานนัก เมื่อเห็นว่า ‘พี่ลาน’ ไม่ได้มาเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยของเธอ แต่มาทำงานจริงจัง ภาระไม่น้อยกว่าเลขาประธานบริษัทอย่างมุกดา

            ลานน้ำค้างแบ่งเวลาพัก ตอนว่างงานมาคุยเล่นกับปันปันบ้าง เลียบเมืองเห็นสองสาวต่างวัยนั่งคุยกระจุ๋งกระจิ๋งตามประสา ไม่คิดสนใจอะไร จนวันสองวันต่อมา ปันปันเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วบอกว่า...

            “ปันปันจะไปโรงเรียนแล้วค่ะ

            เลียบเมืองแปลกใจจนพูดไม่ออก เจ้าตัวน้อยยังบอกต่ออีกว่า...

            “พี่ลานสอนว่า ทุกคนต้องมีหน้าที่ มีงานของตัวเอง พี่ลานก็มีงานทำ พี่ปอนก็มีงานทำ ปันปันก็มีหน้าที่ไปเรียนหนังสือ จะได้มีความรู้มาช่วยพี่ปอนทำงาน

            ชายหนุ่มอึ้ง ไม่อยากเชื่อว่าคำพูดไม่กี่คำ กับเหตุผลง่าย ๆ แค่นี้ จะทำให้น้องสาวจอมดื้ออย่างปันปันยอมเปลี่ยนใจง่าย ๆ

            และนั่น...ทำให้เขาต้องมองลานน้ำค้างด้วยสายตาที่ผิดไปจากเดิม

            นอกจากผลงานเรื่องทำให้ปันปันยอมไปโรงเรียนแล้ว เลียบเมืองยังเห็นความสามารถ ความอดทนในการทำงาน ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นแค่การมาช่วยงานชั่วคราวของเธอ...

            ลานน้ำค้างทำงานหนักพอ ๆ กับมุกดา แบกภาระครึ่งหนึ่งของเลขาประธานฯ จัดการทั้งงานบริษัท และงานศพคุณหญิงจนเรียบร้อย ไม่มีปัญหา

            บางทีเห็นเจ้าหล่อนทำงานจนเย็นค่ำ แล้วยังตามมุกดาไปช่วยงานศพที่วัดต่อได้อีก ความชื่นชมเกิดขึ้นในใจเลียบเมืองอย่างช้า ๆ

            น่าแปลกที่เขากับเธอเจอหน้ากันแทบทุกวัน ทำงานชนิดเปิดประตูก็เห็นหน้า พอปันปันเลิกเรียนกลับมา หญิงสาวยังแบ่งเวลามาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องสาวเขา แต่เลียบเมืองไม่เคยพูดคุยสนิทสนมกับหล่อนเลยสักครั้ง

            ตลอดเวลาที่เห็นหน้ากัน เขามักรู้สึกถึงกำแพงบาง ๆ มาขวาง คอยรักษาระยะห่างกันอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อกำแพงนี้...ตัวเขา หรือว่าเธอ...

            เข้ามาถึงที่ทำงาน เลียบเมืองเห็นปันปันนั่งวาดรูปอยู่ใกล้ ๆ โต๊ะทำงานลานน้ำค้าง

            “ทำไมวันนี้เลิกเรียนเร็วจังปันปัน” ชายหนุ่มทักน้องสาว

            “ปันปันเรียนครึ่งวัน...บอกพี่ปอนแต่เช้าแล้วนะ ลุงพรยังรู้เวลามารับเค้าเลย” เด็กหญิงหมายถึงคนขับรถประจำบ้าน ที่มีหน้าที่คอยรับ – ส่งสองพี่น้อง...

            “แล้วทำไมพี่ปอนมาทำงานช้า คนอื่นเขาทำงานกันตั้งนานแล้ว” เจ้าตัวน้อยขมวดคิ้วถามต่อ ทำท่าเหมือนจับผิดเขา

            เลียบเมืองหัวเราะกับท่าทางเด็กแก่แดดของน้องสาว...

            “โอ๊ย...พี่ผิดไปแล้ว...ปันปันจะลงโทษพี่ยังไงเอ่ย...” พูดจบก็คว้าแม่หนูน้อยมาหอมฟอดใหญ่แรง ๆ

            “อือ...มาหอมเค้าได้ยังไง ไม่ใช่ที่บ้านซักหน่อย” เจ้าตัวเล็กผลักหน้าเขาออก พูดตำหนิพี่ชายที่ไม่รู้กาลเทศะ

            “ว้า...วันนี้เป็นยังไงนะ พี่ทำผิดอยู่เรื่อยเชียว”

            สองพี่น้องหยอกล้อ คุยกันด้วยใบหน้าสดใส มุกดาหันไปยิ้มให้ลานน้ำค้าง...อยากบอกว่า ตั้งแต่คุณหญิงรัดเกล้าเสียชีวิต เลียบเมืองกับปันปันเพิ่งมีชีวิตชีวาก็วันนี้เอง

            เมื่อปันปันคลายความเศร้า มีพี่สาวคนดีอยู่ใกล้ แม่หนูน้อยก็เผยความสดใสน่ารัก ช่วยให้พี่ชายมีความสุขสบายใจ...เลียบเมืองยิ้มได้เพราะรอยยิ้มของปันปัน

            หลังจากหยอกล้อกันสักครู่ เลียบเมืองเข้าไปทำงานต่อในห้อง ปันปันเดินตามไปด้วยรู้ว่าถึงอยู่ข้างนอก พี่ลานก็ทำงาน ยังไม่พูดคุยเล่นกับเธออยู่ดี

            มุกดาหันไปคุยกับลานน้ำค้าง

            “พรุ่งนี้วันเผาศพคุณหญิง ปิดบริษัทวันนึงนะ น้องลานบอกพวกพนักงานเขาหรือยัง”

            “บอกแล้วค่ะ แต่ที่จริงหยุดครึ่งวันก็พอนะคะ ช่วงเช้าให้ทำงานกันก่อนก็ได้ กว่าจะเผาจริงก็เย็นโน้นแน่ะ” ลานน้ำค้างออกความเห็น

            “คุณเลียบเธอสั่งไว้เองนั่นแหละ ช่วงนี้งานอยู่ตัวแล้ว ผ่านวิกฤตยาก ๆ มาได้ ก็เลยอยากให้พนักงานได้พักด้วย พี่ต้องขอบใจน้องลานจริง ๆ ถ้าไม่ได้มาช่วย คงลำบากกว่านี้เยอะเลย”

            “โธ่...ไม่ต้องพูดแล้วล่ะค่ะ...แต่หลังจากงานเผาศพคุณหญิง ลานคงต้องขอหยุดช่วยงานเหมือนกัน”

            “จ้ะ พี่เข้าใจ แหมน้องลานมีหน้าที่ต้องเรียนให้จบนะ มาช่วยพี่ขนาดนี้ถึงคุณเลียบเธอจะจ่ายค่าแรงให้ก็เถอะ พี่ก็ยังเกรงใจจะแย่ เอาอย่างนี้นะ ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ มาสมัครงานที่บริษัทได้เลย รับรองได้แน่ ๆ พี่ช่วยเต็มที่...”

            ลานน้ำค้างยิ้มรับ ไม่เอ่ยปากตอบวาจาหวังดี... สำหรับหล่อน พอได้ยินเรื่องเรียน เรื่องรับปริญญา จิตใจมันหดหู่ชวนเศร้าใจทุกที

            “อ้อ...พี่มุกบอกคุณเลียบเมืองหรือยังคะว่า คุณปัณรสีขอนัดพบ” ลานน้ำค้างเปลี่ยนเรื่อง

            “จริงสิ พี่ลืมไปเลย...จริง ๆ เลยน้า... ยายคนนี้นี่ เจอกันที่งานศพทุกคืนไม่พอ ไม่รู้จะมาขอพบอีกทำไม” พี่มุกดาบ่น

            “เขามีปัญหาอะไรกันหรือคะ” ลานน้ำค้างถาม

            “เอ่อ...” ถามถึงเรื่องนี้ ผู้สูงวัยกว่าจะเกิดอาการน้ำท่วมปากทุกที

            “เห็นที่นัดพบคราวนี้เขาจะพาสามีชาวฝรั่งมาคุยด้วย” หญิงสาวพูดราวกับไม่เห็นสีหน้าอึดอัดของฝ่ายตรงข้าม

            พี่มุกดาจ้องตาหล่อน บอกให้รู้ถึงความหมายที่ซ่อนในคำพูดเรื่อย ๆ นั้น

            “น้องลาน...” เสียงพี่มุกดาจริงจังกว่าทุกครั้ง “ไม่ใช่ว่าพี่จะมีความลับอะไรหรอกนะ...แต่เรื่องนี้ มันไม่ใช่ เรื่องที่พี่ควรพูดน่ะ”

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ ไม่เซ้าซี้อีก “ถ้างั้นพี่มุกช่วยเรียนคุณเลียบเมืองแทนทีก็แล้วกันว่า คุณปัณรสีกับแฟนเขาจะขอนัดพบวันมะรืนนี้ หลังงานศพ”

            “จ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่เข้าไปบอกเลยก็แล้วกัน”

            พี่มุกดาลุกขึ้นหอบแฟ้มเสนอเซ็นติดมือเข้าไปด้วย พอเปิดประตู ก็สวนกับปันปัน ที่เดินหน้ามุ่ยออกจากห้องทำงานเลียบเมือง

            “น้องปันปัน โกรธอะไรคุณพี่คะ” พี่มุกดาถามอย่างรู้ทัน เห็นอย่างนี้แสดงว่าคงเริ่มกวนเลียบเมือง จนเขาต้องขอให้ออกมาเล่นข้างนอกอย่างเคย

            “ก็ปันปันจะเปิดทีวีดูการ์ตูน พี่ปอนบอกว่าเสียงดัง ให้ออกมาดูข้างนอก พี่ปอนไม่มีสมาธิทำงาน” เจ้าตัวน้อยบ่นแกมฟ้อง

            “ปันปันมาดูที่ห้องนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่เปิดให้” ลานน้ำค้างบอกอย่างใจดี แม่สาวน้อยหายหน้ามุ่ยฉับพลัน

            มุกดายิ้มพลางส่ายหน้า มองตามสองสาวก่อนเข้าไปในห้องทำงานเลียบเมือง

 

            เวลาผ่านไปนานพอสมควร ยังไม่เห็นพี่มุกดาออกจากห้องทำงานเลียบเมือง ลานน้ำค้างชะงักมือจากงาน มองไปทางห้องนั้นอย่างสงสัย คิดในใจว่าแค่เซ็นเอกสาร กับบอกเรื่องนัดปัณรสี ทำไมถึงใช้เวลานานนัก แต่สงสัยได้ไม่นาน พอปันปันเริ่มเบื่อทีวีก็หันมาชวนเธอคุย...

            “วันนี้ปันปันเห็นคุณลุงในลิฟต์ด้วยล่ะ” เจ้าหนูน้อยเริ่มเล่า

            ลานน้ำค้างคิดถึง ‘ลุงธง’ ยามประจำตึกที่เสียชีวิตในนั้น

            “คุณลุงว่ายังไงบ้างคะ” หญิงสาวถาม
   
            “คุณลุงบอกว่า พี่ลานจะไม่มาทำงานแล้ว แกไม่รู้ว่าจะมีใครอุทิศบุญกุศลให้อีกหรือเปล่า...ทำไมพี่ลานไม่ทำงานที่นี่ตลอดไปล่ะคะ” เจ้าหนูน้อยเล่าพลางวกกลับมาถาม

            ลานน้ำค้างยิ้มฝืน ๆ

            “พี่ยังเรียนไม่จบเลยนี่”

            “ตอนนี้พี่ลานก็ยังเรียนไม่จบ ทำไมถึงมาทำงานได้ล่ะ” ปันปันปันเถียง

            “เอาอย่างนี้มั้ย พี่จะสอนปันปันให้หัดอุทิศบุญกุศล ต่อไปปันปันจะได้ทำแทนพี่ไง” หญิงสาวหาเหตุผลมาตอบแม่หนูน้อยไม่ได้ จึงหาเรื่องอื่นมาให้เธอสนใจแทน

            “ปันปันทำได้เหรอ...แต่ปันปันไม่ค่อยได้ไปทำบุญที่วัดเลยนี่”

            “ทำได้สิ...แล้วพี่จะสอนให้...”

            หญิงสาวไม่ทันอธิบายต่อ พี่มุกดาก็ออกจากห้อง ทั้งสองหยุดเรื่องสนทนาไว้แค่นั้น...เป็นที่รู้กันว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามจะไม่พูดถึงเรื่องโลกหลังความตาย

            “น้องลานจ๋า คืนนี้พี่ไปงานศพคุณหญิงไม่ได้แล้วล่ะ”

            “อ้าว...ทำไมล่ะคะ”

            “พ่อของแฟนพี่เขาป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล เพิ่งโทรมาบอกตะกี้นี้เอง เดี๋ยวเขาคงมารับพี่ไปด้วย” นี่เองคือสาเหตุที่พี่มุกดาอยู่ในห้องทำงานเลียบเมืองนานผิดปกติ

            “ค่ะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวลานไปจัดการเรื่องที่งานศพให้เอง” ลานน้ำค้างพูดให้สบายใจ ตอนนี้หล่อนเป็นมือขวาพี่มุกดาไปแล้ว

            “ขอบใจจริง ๆ จ้ะน้องลาน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตะกี้คุณเลียบบอกว่าจะให้น้องลานนั่งรถไปด้วยกัน พอเสร็จจากงานศพก็จะเลยไปส่งให้ถึงที่บ้าน”

            “หา...อะไรนะคะ” ลานน้ำค้างอุทานตกใจ ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกัน หล่อนพยายามระวังตัว ระวังกิริยา ไม่ยอมหลุดความรู้สึกส่วนตัวออกมาให้เขาเห็นเด็ดขาด

            ไม่แปลกที่จนถึงวันนี้ ความสัมพันธ์ของลานน้ำค้างกับเลียบเมืองจึงยังอยู่แค่เจ้านายกับลูกน้องดังเดิม

            วันนี้...เขาจะขับรถไปส่งถึงบ้าน...ความใกล้ชิดขนาดนั้น ทำให้ลานน้ำค้างเริ่มหวั่นไหวตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเสียแล้ว







บทที่ ๒๑



            ระยะทางจากวัดมาถึงบ้านลานน้ำค้าง ไม่ไกลกันขนาดคนละมุมเมือง แต่ไม่เรียกว่าอยู่ใกล้ หญิงสาวจึงไม่อาจหาเหตุผลมาปฏิเสธน้ำใจเลียบเมือง เมื่อเขาออกปากจะขับรถไปส่งถึงบ้าน

            งานสวดศพคืนสุดท้าย เป็นคืนที่หญิงสาวใจไม่อยู่กับเนื้อตัวมากที่สุด ผ่านไปอย่างรวดเร็วที่สุด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มานั่งบนรถคู่กับเลียบเมือง โดยมีปันปันยึดเบาะหลังเป็นที่นอนหลับอย่างเป็นสุขเสียแล้ว

            “ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยงานผมจนถึงวันนี้” เลียบเมืองเริ่มต้นบทสนทนาด้วยสีหน้า น้ำเสียงไม่ต่างจากผู้ชายคนเดิม

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนที่ดิฉันมาฝึกงาน ก็ได้รับความเมตตาจากคุณหญิงอยู่มากเหมือนกัน เห็นว่าตอนนี้พอจะช่วยได้ก็เลยมาช่วย ไม่งั้นคงรู้สึกผิดในใจน่าดู” นี่เป็นประโยคยาวที่สุด เท่าที่เธอเคยพูดกับเขา

            “พี่มุกบอกว่าหลังงานศพพรุ่งนี้ คุณจะกลับไปเรียน”

            “ค่ะ” หญิงสาวเลือกคำตอบสั้นที่สุด เพื่อเป็นการโกหกน้อยที่สุด...ไม่กล้าบอกความจริงว่าต้องกลับไปรับยาคีโมที่โรงพยาบาล

            “ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่...ที่นี่ยินดีต้อนรับนะครับ” ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจตนาแค่ชวนมาทำงานเท่านั้น ก็ยังทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ดีใจเหมือนโดนบอกรัก

            “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพยายามรักษาน้ำเสียงให้ปกติ มิเช่นนั้นคงออกอาการลิงโลดยินดีจนเขาจับได้

            “รถติดจังนะ” ชายหนุ่มบ่นกึ่งชวนคุย

            ช่วงเวลาหัวค่ำเช่นนี้ การจราจรติดขัด กว่ารถจะแล่นผ่านทีละสี่แยกไฟแดงได้ก็เสียเวลานาน...ลานน้ำค้างเบื่อสภาพรถติดไม่ต่างกับชาวกรุงทั้งหลาย แต่คืนนี้หล่อนนึกภาวนา ขอให้รถติดทุกสี่แยกด้วยซ้ำ

            “ดิฉันไม่น่ารบกวนคุณเลย” หญิงสาวออกตัวขัดกับความรู้สึกในใจ

            “ผมอยากให้คุณรบกวนบ้าง” เขาพูด “ไม่งั้นคงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเหมือนกัน...พี่มุกเขาพูดบ่อย ๆ ว่า ถ้าไม่ได้คุณมาช่วย งานคงไม่ลื่นไหลขนาดนี้ คนอื่นเขายังไม่รู้งานส่วนนี้ได้ดีเท่าคุณ”

            “พี่มุกก็พูดเกินไป” ลานน้ำค้างถ่อมตัว กระดากใจ

            รถจอดติดคาอยู่สี่แยกไปไหนไม่ได้ เลียบเมืองหันมาส่งรอยยิ้มไมตรีจริงใจให้หญิงสาว ก่อนเหลียวไปมองเจ้าตัวน้อยที่หลับอยู่เบาะหลัง

            “ปันปันหลับปุ๋ยเชียว ท่าจะเพลียมาก” เขาพูดถึงน้องสาวด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ก่อนกลับมาถามเชิงชวนคุยต่อ
   
            “ผมยังไม่รู้เลยว่า คุณสนิทกับเจ้าปันปันได้ยังไง น้องสาวผมคนนี้ชอบใครยากซะด้วย”

            “เจอกันที่โรงพยาบาล ตอนน้องปันปันรอผ่าตัดหัวใจ ดิฉันไม่ได้ทำอะไรนะคะ แค่คุยกันถูกคอเท่านั้นเอง” ลานน้ำค้างเลี่ยงที่จะบอกว่า...เรื่องที่คุยกันถูกคอนั้นคือเรื่องอะไร

            “อ๋อ มิน่าล่ะ พอผ่าตัดเสร็จ เจ้าปันปันถึงร้องหาแต่พี่ลาน...ผมก็ไม่รู้ว่าจะตามพี่ลานจากไหนมาให้...”

            ลานน้ำค้างอมยิ้ม เมื่อนึกถึงตอนนั้น

            “ตอนอยู่โรงพยาบาล ปันปันน่าเป็นห่วงมาก...แกต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง คุณทราบมั้ย?”

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ รู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังจะนำเข้าเรื่องอะไรบางอย่าง

           “การผ่าตัดครั้งที่สอง ต้องเตรียมเลือดสำรองให้ปันปัน แต่เวลานั้น ไม่มีใครสามารถหาเลือดมาให้ปันปันได้”

            ช่วงเหตุการณ์นั้นลานน้ำค้างได้รับรู้ และมีส่วนร่วมโดยไม่มีใครทราบ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเลียบเมืองจึงยกเรื่องนี้มาคุย

            “ทั้งแม่และผมก็ไม่สามารถบริจาคเลือดให้ปันปัน” เลียบเมืองมองหล่อนด้วยแววตาแปลก สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นเขียว ชายหนุ่มเคลื่อนรถไปข้างหน้า ตามมาด้วยคำพูดที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะยอมให้หลุดจากปาก

            “เพราะปันปันไม่ใช่ลูกของแม่ ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของผม!” เสียงเขาเบา แต่ชัดกริบ

            ลานน้ำค้างนิ่งอั้นครู่ใหญ่ จนรถแล่นผ่านสี่แยก ค่อยพูดออกมาได้

            “คุณเลียบเมืองบอกเรื่องนี้กับดิฉันทำไมคะ”

            “เพราะผมอยากให้คุณรู้...” ชายหนุ่มตอบโดยสายตายังจ้องอยู่บนถนนเบื้องหน้า

            “พี่มุกบอกเรื่องที่คุณสงสัยเกี่ยวกับปัณรสี...ตัวแกอยากเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง แต่เกรงใจผม เลยมาขออนุญาตผมก่อน ผมคิดว่าถ้าจะพูดเรื่องปัญหาของปัณรสี ผมก็ควรเป็นคนเล่าเรื่องนี้เอง เพราะจำเป็นต้องบอกเรื่องเกี่ยวกับปันปันให้คุณรู้ด้วย”

            ลานน้ำค้างระบายลมหายใจยาว...หล่อนคาดไม่ผิด ปัญหาระหว่างปัณรสีกับเลียบเมือง น่าจะมีเรื่องเดียว คือเรื่องของปันปัน

            ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวยังเงียบ ไม่ซักถาม จึงเป็นฝ่ายเล่าต่อเอง

            “ตอนที่พวกเรากำลังอับจนหนทาง หาเลือดให้ปันปันไม่ได้ ปัณรสีก็มาเมืองไทย...เธอเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่คน ที่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษแบบปันปัน...เพราะเธอคือแม่ของปันปัน”

            น้ำเสียงของเขาเบา ช้า เหมือนไม่อยากให้เจ้าตัวน้อยที่หลับสนิทอยู่เบาะหลังร่วมรับรู้ได้ยินด้วย

            ลานน้ำค้างไม่รู้ว่า ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน กว่าจะพูดประโยคนี้จนจบ พอได้ฟัง หล่อนก็พูดอะไรไม่ออก จะบอกว่าตนเองรู้เรื่องแล้ว...คงทำไม่ได้ จะให้เสแสร้งทำเป็นตกใจเหมือนเพิ่งได้ยินครั้งแรก ก็ทำไม่ได้อีก

            สิ่งที่ทำได้คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริง

            “คุณรักปันปันขนาดนี้...” หญิงสาวพูดช้า ๆ “แต่ก็ยังยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้ดิฉันฟัง...มันคงลำบากใจคุณมากจริง ๆ ขอบคุณมากนะคะที่ไว้ใจดิฉัน”

            ใบหน้าชายหนุ่มอบอุ่น แววตาที่หันมาเต็มไปด้วยความเป็นมิตร เปิดเผย

            “ผมเห็นคุณรักปันปันไม่น้อยกว่าผม และปันปันก็รักคุณเหลือเกิน...น้องสาวผมมีเซ้นต์บางอย่าง ที่รู้ว่าใครจริงใจ รักเขาจริง ใครเสแสร้ง อาศัยเขาเป็นเครื่องมือ”

            ลานน้ำค้างแทบไม่อยากเชื่อ ผู้ชายที่ดูเหมือนลอย ๆ ไม่ติดดินคนนี้ จะมีความละเอียดอ่อน สังเกตสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตัวปันปันได้

            “ที่ปัณรสีเขามางานศพทุกคืน ก็เพราะอยากสร้างความสนิทสนมกับปันปัน เพื่อจะได้ขอปันปันคืน” ชายหนุ่มบอกในที่สุด

            “อะไรนะคะ” ลานน้ำค้างอุทานอย่างตกใจ

            “ปัณรสีเขาขอปันปันคืนจากผม” เลียบเมืองย้ำให้ฟังชัดเจนอีกครั้ง

            “เขาทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ในเมื่อเขาไม่เคยเลี้ยงปันปันเลย” หญิงสาวหลุดกิริยาสำรวม กลายเป็นตัวเองที่ยอมลุย สู้กับความไม่ถูกต้อง “เขาทำไม่ถูกนะคะ ทำไมไม่คิดถึงใจปันปันบ้าง แกจะรู้สึกเสียใจขนาดไหน ถ้าต้องถูกพรากจากครอบครัวที่เธอรู้จัก คุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด”

            “นั่นสิ” ชายหนุ่มตอบรับ ในใจยินดีที่มีคนเห็นด้วยกับตนเอง

            “คุณเลียบเมืองไม่ได้ยกปันปันคืนให้เขาใช่มั้ยคะ” หล่อนถามเหมือนคาดคั้น

            “ไม่” เขาตอบเด็ดขาด “ผมจะยกน้องสาว...คนในครอบครัวคนสุดท้ายของผมให้เขาไปได้ยังไง”

            ลานน้ำค้างถอนใจ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หันไปมองหน้าเลียบเมือง ทั้งสองสบสายตากัน มีรอยยิ้ม และแววตาแห่งความเข้าใจฉายชัดเจน

            จากนั้นสองหนุ่มสาวแทบไม่มีคำพูดจาใด ๆ ถึงอย่างนั้น ระหว่างสองคนก็เริ่มมีบรรยากาศของความเข้าใจคลี่คลุมอยู่รอบ ๆ

            ...ไม่ต้องพูดกันก็ได้...เพราะเข้าใจกันอยู่แล้ว...

            ทั้งสองรักเด็กผู้หญิงคนเดียวกัน และไม่มีทางยอมให้มีความทุกข์ ความเจ็บปวดใด ๆ เข้ามาแผ้วพานเธอเด็ดขาด แม้ว่ามันจะมาจากมารดาแท้ ๆ ของเธอก็ตาม

            “ในทางกฎหมายเขาจะทำอะไรเราได้มั้ยคะ” ถึงตอนนี้ ลานน้ำค้างใช้คำว่า “เรา” โดยไม่รู้สึกขัดเขิน เสมือนตนเองกำลังร่วมเผชิญปัญหานี้กับเลียบเมืองด้วย

            “ผมยังไม่แน่ใจ พอดีกำลังวุ่น ๆ เรื่องงานศพ งานที่บริษัท ก็เลยยังไม่ได้คุยกับพวกกฎหมายเลย”

            “แล้วหลักฐานการยกปันปันให้เป็นบุตรบุญธรรมล่ะคะ”

            “ตรงนั้นไม่มีปัญหา อีกอย่างผมก็ทำเรื่องขออำนาจศาลเป็นผู้ปกครองปันปันต่อแล้ว” เรื่องนี้เขาคุยเฉพาะกับคนใกล้ชิด แม้กระทั่งเกรซ หญิงสาวคนสนิทก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง

            “ที่จริงปัณรสีเขาไม่ต้องการมีปันปันมาตั้งแต่แรก ไปคลินิกเตรียมจะเอาออกแล้ว พอดีแม่ผมไปเจอเสียก่อน ต้องขอร้อง อ้อนวอนกันแทบตายกว่าจะยอมเอาเด็กไว้...พอคลอดปุ๊บ แกก็รีบเซ็นหลักฐานมอบปันปันให้เรา แล้วก็ไปเลย โดยไม่เคยให้นมแกสักครั้ง มีแต่แม่ผมที่ประคบประหงม ป้อนข้าวป้อนนม เลี้ยงดูแกมาตลอด”

            เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำเลียบเมือง การมีน้องสาวอายุต่างกันจนน่าจะเป็นพ่อลูกได้ ไม่ได้ทำให้ความผูกพัน ความรักลดน้อยลง หนำซ้ำการที่เขาช่วยเลี้ยงดู อุ้มชูเจ้าตัวน้อย มันก็ทำให้รู้สึกไม่ต่างกับเป็นบิดาคนหนึ่งเลยทีเดียว

            “เขาน่าจะคิดถึงใจปันปันบ้างนะคะ” ลานน้ำค้างพูด

            “เขาบอกว่า สักวันปันปันก็จะรู้ความจริง แล้วแกอาจจะรับไม่ได้...สู้ให้รู้ไปตอนนี้เลยดีกว่า” เลียบเมืองพูด

            “แต่ปันปันเพิ่งผ่าตัดหัวใจมา...แกต้องเสียใจเรื่องคุณหญิงนั่นก็มากพอแล้ว ถ้าแกมารู้ว่าไม่ใช่น้องสาวของคุณ แกจะเคว้งคว้างสักแค่ไหน และยิ่งรู้ว่ากำลังจะโดนผู้หญิงที่เธอไม่รู้จัก มาบอกว่าเป็นแม่ มาพรากเธอไปจากชีวิตเดิม ๆ ที่คุ้นเคย แล้วหัวใจแกจะรับไหวหรือคะ”

            ลานน้ำค้างพูดราวกับมองเข้าไปในหัวใจดวงน้อยของปันปัน มือที่กำพวงมาลัยของชายหนุ่มคลายลง แววตาอ่อน สีหน้าละมุน ยามหันมามองเสี้ยวใบหน้าหญิงสาว

            “ถ้าปัณรสีเขาคิดได้อย่างคุณก็คงดี” เขาหยุดพูดนิดนึง สายตาแลตรงยังท้องถนนดังเดิม “ผมรู้แล้วว่าทำไมปันปันถึงรักคุณมากขนาดนี้”

            สองหนุ่มสาวไม่ได้พูดจาต่อกันอีก บรรยากาศอบอุ่นเข้าใจโอบรอบภายในรถจนหัวใจใครก็สัมผัสได้ การไม่ต้องพูดจา บางทีอาจดีกว่ามีวาจานับร้อยพันคำ แค่ความรู้สึก ความเข้าใจตรงกัน ก็เพียงพอโดยไม่ต้องมีบทสนทนา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP