ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ควรเจริญสติอย่างไรในยามป่วยเป็นไข้หวัด



ถาม - ผมฝึกเจริญสติโดยการดูลมหายใจมาประมาณ ๕ เดือนแล้วครับ
แต่ในช่วงหน้าฝนผมเป็นหวัด เวลาหายใจเข้าออกทั้งคันคอและเจ็บคอตลอดเวลา
ทำให้การเจริญสติโดยการดูลมหายใจลำบากมากครับ
รวมถึงบางครั้งก็มีอาการจุกเสียดเพราะรับประทานอาหารมากไป
พอมาเจริญสติโดยการดูลมหายใจก็จะยิ่งจุกเสียดเข้าไปอีก
จะมีวิธีใดที่สามารถปฏิบัติแทนการดูลมหายใจได้บ้างครับ


มีครับ ก็ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะดูลมหายใจเข้าออกได้เรื่อยๆ นะ
อย่างหนึ่งก็อาจจะขึ้นต้นขึ้นมา
ตั้งหลักของสติด้วยการรู้ลมหายใจครั้งเดียวนะครับ ว่านี่มันเข้า นี่มันออกนะ
ส่วนใหญ่เวลาที่คนตั้งสติ เริ่มที่จะเหมือนกับตั้งหลักนะ
แล้วก็อาศัยลมหายใจ ลมหายใจก็มักจะถูกลากเข้ามายาวขึ้นนิดหนึ่ง
แล้วก็ปล่อยออกสบายๆ นะ

เพียงแค่ครั้งเดียวคงไม่เป็นอะไรมาก
คงไม่รู้สึกมีความทุกข์ทางกายมากนัก
แต่มันจะได้ผลคือสร้างความเคยชินที่จะตั้งสติอย่างมีความรู้ชัด
ว่าเรากำลังอยู่กับปัจจุบันแน่ๆ ปัจจุบันคือลมหายใจนั่นแหละ

ปัจจุบันคือตัวที่มันมีความชัดเจนนะ
ว่าเรารู้ถูกแน่ๆ นะ ไม่เข้าก็ออก มันมีอยู่แค่สองอย่าง
ถ้าหากว่าเราสามารถรู้ได้ถูกต้อง
ว่าอันนี้กำลังเข้า อันนี้กำลังออก นั่นมีสติแน่นอนนะ
ตัวที่มีสติแน่นอนอยู่กับปัจจุบันนั่นแหละสำคัญมาก
เพราะมันจะเป็นตัวสตาร์ทนะ เป็นจุดตั้งหลักให้เราสามารถรู้ได้ต่อไป



สังเกตดูนะพอหายใจเข้า หายใจออก แล้วมีสติรู้แค่ครั้งเดียว
มันจะรู้สึกถึงกายที่เป็นอิริยาบถปัจจุบันไปด้วย
ถ้าหากว่ารู้อิริยาบถปัจจุบันไปด้วยแล้วนะ จะเป็นนั่งอยู่หรือยืนอยู่ก็แล้วแต่
ก็ขอให้ดูไปว่าลักษณะกายที่มันปรากฏอยู่ตรงนั้นนะ
มีความรู้สึกว่ามันทึบหรือว่ามันโปร่ง
ไม่ว่ามันจะทึบหรือว่ามันจะโปร่งก็ให้ดูไว้นะ เดี๋ยวมันจะต่างไป
ถ้าหากว่าจะเห็นให้ชัดๆ นะครับ ทางที่ดีก็ควรจะเดินจงกรม



วิธีเดินจงกรม เอาแบบง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของคนเมืองนะ
ไม่ต้องไปเดินกลับไปกลับมามากมายก็ได้ เอาเดินเล่นทอดน่องไปยาวๆ
เราจะต้องเดินไปทำงาน เราจะต้องเดินไปทำโน่นทำนี่อยู่แล้ว
เหมือนกับเราเดินสบายๆ ชมสวน
แต่ว่าเราก็รู้ไปด้วยว่าเท้ากระทบนี่มันให้ความรู้สึกอย่างไร

เป็นการต่อยอดจากการดูลมหายใจครั้งแรกนั่นแหละ
พอดูลมหายใจครั้งแรกได้ เราก็จะรู้สึกถึงร่างกายได้
พอรู้สึกถึงร่างกายได้ก็เอามาใช้นะ
สังเกตว่าเท้ากระทบมันให้ความรู้สึกอย่างไร แล้วก็สังเกตอยู่แค่นั้นแหละ
ว่าเดี๋ยวกายมันก็ให้ความรู้สึกทึบ เดี๋ยวกายมันก็ให้ความรู้สึกโปร่ง



อันนี้ที่แนะนำอย่างนี้เพราะอะไร
เพราะว่าคนที่กำลังเป็นหวัดหรือมีอาการไม่สบายทางกาย
มันจะมีความรู้สึกหนักๆ มันจะมีความรู้สึกแน่นๆ หรือว่าอาการทึบๆ
จะเป็นบริเวณที่หน้าอก หรือจะเป็นที่คอ หรือจะเป็นที่ช่วงหลัง
หรือจะเป็นส่วนใดของร่างกายก็แล้วแต่
ส่วนใหญ่มันก็จะให้ความรู้สึกว่าร่างกายมันเป็นก้อนอะไรแข็งๆ ก้อนหนึ่ง
ทีนี้ ถ้าเรามีสติแล้วก็อยู่กับโฟกัสอะไรอย่างหนึ่งสักอย่างนะ
อย่างเช่นรู้สึกถึงเท้ากระทบไปเรื่อยๆ เหมือนกับเดินเล่นๆ
ไม่ต้องไปเอาจริงเอาจังมากนะ เหมือนตั้งใจว่าจะเดินเล่นๆ
แล้วก็รู้สึกถึงเท้ากระทบไป
พอรู้สึกถึงเท้ากระทบไป มันจะค่อยๆเห็นขึ้นมานะ
ว่าร่างกายตอนที่มันไม่สบาย ตอนที่มันป่วยไข้ ตอนที่มันกำลังเจ็บคออยู่
มันเป็นก้อนทุกข์ มันเป็นก้อนทึบ มันจะไม่ปลอดโปร่ง
แต่ด้วยสติ ด้วยการรู้สึกถึงอิริยาบถ
ตัวสติจะทำให้เห็นความไม่เที่ยงของอาการทึบ

คือมันค่อยๆ คลายความทึบไป ทึบมากกลายเป็นทึบน้อย
ที่เป็นก้อนๆ ตันๆ กลายเป็นก้อนบางๆ โปร่งๆ ขึ้นมานะครับ


แล้วถ้ายิ่งเราเดินจงกรมนานขึ้นเท่าไหร่ สังเกตกระทบนานขึ้นเท่าไหร่นะ
มันก็จะยิ่งเห็นว่าเดี๋ยวทึบ เดี๋ยวโปร่ง มันกลับไปกลับมาอยู่ตลอด
ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสติ
ถ้าหากว่าสติของเราดีขึ้นเท่าไหร่นะ คุณภาพของจิตดีขึ้นเท่าไหร่
ก็จะเห็นความโปร่งมาแทนที่ สลับหน้าแทนความหนักทึบได้มากขึ้นเท่านั้น ถี่ขึ้นเท่านั้น



ขอให้ลองดูก็แล้วกัน การที่เรามีช่วงเวลาหนึ่งเดินจงกรมไปเล่นๆ เรื่อยๆ นี่นะ
แล้วเห็นเดี๋ยวก็โปร่ง เดี๋ยวก็ทึบ ไปสลับกันบ่อยๆ
ในที่สุดมันกลายเป็นสมาธิได้เหมือนกัน
เป็นสมาธิแบบที่จะเห็นว่าภาวะทางกายภาวะทางใจนี่มันไม่เที่ยง

แล้วถ้าเป็นสมาธิได้จริงๆ
บางทีอาการป่วยอาการไข้ มันทุเลาลงเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์
บางคนเดินจงกรมแค่รอบเดียวหายป่วยก็มีนะ
อันนี้อย่าไปตั้งความคาดหวังไว้มากนะ
คือกล่าวสำหรับคนที่มีกำลังสมาธิอยู่ตัวพอสมควรนะ
ถ้าหากว่าเห็นว่าร่างกายมันหนักๆ ทึบๆ แล้วเดี๋ยวมันก็โปร่งสลับไปสลับมา
จนกระทั่งมันโปร่งอย่างเดียวเลย
มันจะเกิดปีติ มันจะเกิดความรู้สึกเหมือนกับมีความซาบซ่าน
มีความสบายนะหลั่งรินอยู่ในร่างกาย



อันนั้นทางแพทย์ก็คือบอกว่าเป็นสารเอ็นโดรฟินหลั่งออกมา
แล้วสารเอ็นโดรฟินที่ร่างกายหลั่งตามธรรมชาตินี่นะ มันช่วยทุกอย่างเลย
อาการป่วยจะดีขึ้น อาการที่มันทึบแน่นมันจะปลอดโปร่งนะ
อาการที่หายใจไม่ออกหรือเจ็บคอระคายคอ มันก็จะเหมือนกับทุเลาลงไปมาก
บางคนจากอาการทึบๆ จากอาการที่ไม่สามารถจะดูลมหายใจได้
มันกลับกลายเป็นปลอดโปร่ง แล้วก็ลมหายใจนี่ลากยาวได้สดชื่น กลายเป็นอย่างนั้นไปก็มี
ขึ้นอยู่กับกำลังจิตกำลังสตินะว่าเราจะเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี่ได้จริงแค่ไหน



การเห็นความไม่เที่ยงของกายของใจ มันมีปาฏิหาริย์อยู่เยอะนะ
ลัทธิอื่นหรือว่าศาสนาอื่นไม่มีนะที่จะให้มาดูความไม่เที่ยงของกายของใจ
แล้วก็เลยไม่รู้ว่าปาฏิหาริย์ของการเห็นความไม่เที่ยงนี่มีอะไรได้บ้าง
ยกตัวอย่างนะ คือ พอร่างกายมันแสดงอาการทึบอยู่ แล้วเรามีสติเห็น
ตั้งต้นจากการรับรู้ว่ากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออกอยู่ เอามาเป็นตัวตั้งแค่นี้นะ
แล้วก็สังเกตต่อว่าร่างกายเดี๋ยวก็ทึบ เดี๋ยวก็บาง เดี๋ยวก็เบา เดี๋ยวก็โปร่ง
นี่เอาแค่นี้ เห็นความไม่เที่ยงแค่นี้
พอถึงจุดหนึ่งนะ มันกลายเป็นความปลอดโปร่งความเบาบาง มันมามากกว่าความทึบนะ
อันนี้ก็ด้วยอานิสงส์ของปีติ แล้วก็สุขอันตามมา เป็นเงาตามตัวสติมา



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP