ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

กระแสเมตตามีลักษณะเป็นอย่างไร



ถาม – ดิฉันเคยนั่งนิ่งๆ ดูกายดูใจทำงานไป สักพักมีความรู้สึกเย็นกลางใจคล้ายๆ น้ำแข็ง
มันชุ่มชื่นใจเหมือนใจได้ดื่มน้ำเย็น มีความสุขและอยากแผ่ออก
แต่ความรู้สึกนี้ก่อตัวขึ้นเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร และเกิดเองโดยไม่ได้จงใจ
ไม่แน่ใจว่าลักษณะเช่นนี้คือกระแสเมตตาหรือเปล่าคะ


ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีอยู่จุดหนึ่งเป็นส่วนของพระอภิธรรม
ท่านก็กล่าวว่า ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานไปเรื่อยๆ
ใจมันจะรินเมตตาออกมาเอง
เพราะว่ายิ่งว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสุข
แล้วก็อยากแผ่ความสุขนั้นออกไปให้กับผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น

อันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในส่วนของพระอภิธรรมนะครับ


ทีนี้มาว่ากันว่ากระแสความรู้สึกเมตตานี่เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่
มีคีย์เวิร์ดของคุณอยู่คำหนึ่งในคำถาม
บอกว่าเหมือนได้ดื่มน้ำเย็น มีความสุข แล้วก็อยากแผ่ออก
คำว่าอยากแผ่ออก มีสองกรณีนะ
คือ จิตอยากแผ่รัศมีออกไป เพราะว่ากระแสความสุขไม่ใช่กระแสปิดแคบ
ไม่ใช่เอาเข้าตัวนะ แต่เป็นกระแสแผ่ออก
ซึ่งตามหลักของพระพุทธศาสนา
ผู้ที่ให้ทานมากๆ ก็จะมีกระแสแผ่ออกเหมือนกัน
คือมันสละออก สละความเห็นแก่ตัว สละความมืด
สละความแคบ สละความทึบทึมที่จิตใจมีอยู่ดั้งเดิม



กิเลสจะพยายามรักษาความคับแคบไว้
แต่ทีนี้พอมาพยายามที่จะฝึกให้ทาน มันก็จะมีอาการสละออก
เป็นลักษณะเดียวกันกับจิตที่แผ่ออกนั่นแหละ
จิตแผ่ผายออกเมื่อรู้จักสละออก จิตมีความเป็นกุศล
มีความกว้าง มีความคลี่คลายแผ่ผายออกไป
นี่เป็นลักษณะธรรมดาธรรมชาติของจิตนะครับ
ถ้าหากว่ามีความสุขแล้วรู้สึกอยากแผ่ออก
ตรงนี้ก็เหมือนกับอยากจะเผื่อแผ่ความสุขออกไปกว้างๆ
ไม่ได้อยากจะเก็บไว้กับตัวคนเดียว
มีลักษณะมีทิศทางเดียวกันกับเมตตา



ทีนี้ เราจะรู้ได้ว่าตรงนั้นเป็นเมตตาจริงๆ หรือเปล่า
มันดูตอนทำสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเครื่องวัด ไม่มีเครื่องชี้ที่ชัดเจน
แต่ถ้าหากว่าออกจากสมาธิ อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดา
แล้วเรามีความรู้สึกว่ากระแสความรู้สึกแผ่ออกแบบนั้นยังคงอยู่
และยังมีทิศทางที่จะอยากให้ อยากสละให้กับผู้อื่นนะ
อยากพูดให้คนอื่นมีความสุข อยากทำให้คนอื่นมีความสุข
ตรงนั้นชี้ได้อย่างหนึ่งนะ ว่าใจเรามีความสุขจริง
และอยากจะให้ความสุขกับคนอื่นอย่างเป็นรูปธรรม

ผ่านการพูดจา ผ่านพฤติกรรมที่เราแสดงออกต่อโลก ที่เราโต้ตอบกับโลก



พูดง่ายๆ คือเราจะดูใจที่เป็นเมตตาตอนนั่งสมาธิอย่างเดียว มันไม่พอ
ต้องพิสูจน์ด้วยการดูใจตัวเองว่ามีความคงเส้นคงวาไหมในระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน
ถ้าหากว่าคนที่เขาดีกับเราเข้ามาหา
แล้วเรามีความรู้สึกว่า เออ มีความสุขจังเลย เรามีความสุขจังเลย
อยากจะให้ความสุขที่มีอยู่กับเขาไป
อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็เป็นกัน
แต่คนใจดีมีเมตตาจริงๆ
ต้องประมาณว่าคนไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้กับเรา เดินเข้ามาหาเรา
เราก็มีความรู้สึกว่าอยากพูดให้เขารู้สึกดี อยากทำให้เขารู้สึกดี
อยากให้เขามีความสุข อยากให้ชีวิตเขาดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของคนที่มีความสุขจริง
และอยากจะให้ความสุขตัวเองเผื่อแผ่ออกไปถึงคนอื่น



และยิ่งกว่านั้น พิสูจน์ได้ชัดเจนถึงขั้นที่จิตมีความตั้งมั่นอยู่ในเมตตาจริงๆ นี่นะ
ต้องถึงขั้นคนที่เลวกับเรา คนที่ทำร้ายเรา
คนที่ทำให้เราเจ็บใจ คนที่ทำให้เรามีความเสียหาย
เรานึกถึงเขา ใจก็ไม่มีอาการหดแคบเข้ามา ไม่มีอาการรุ่มร้อนขึ้นมา
ไม่มีอาการกระวนกระวายขึ้นมา แต่ยังเย็นพอ
นี่ตรงเย็นพอนี่นะ มันมีความสุขจริงๆ มันมีความสุขขนาดที่ว่า
ไฟอะไรก็ไม่สามารถที่จะคืบคลานเข้ามาหา เข้ามาเผาไหม้จิตใจของเราได้



แล้วเราสามารถที่จะเอาความเย็นที่ยังคงมีอยู่
ทั้งๆ ที่มีเรื่องที่น่าโกรธมากระทบนี่นะ
เราเอาความเย็นตรงนั้นกระจายไปให้เขาได้อีก
คนที่ควรจะเป็นศัตรู คนที่เราควรจะถือเป็นที่ตั้งของความเกลียด
แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลายเป็นที่ตั้งของเป้าหมาย
อยากกระจายความเย็นจากอกเราไปหาอกเขา
นี่ตรงนี้แหละเป็นเมตตาของแท้ เป็นเมตตาขนานใหญ่
ชนิดที่ว่าถ้าตายเมื่อไหร่ไปพรหมโลกเมื่อนั้น เป็นเมตตาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ



อันนี้ก็บอกวิธีพิสูจน์นะ
ที่คุณบอกว่าไม่แน่ใจว่าคือกระแสเมตตาหรือเปล่า
ขอให้ดูในชีวิตประจำวัน อย่าดูเฉพาะตอนที่กำลังนั่งสมาธิ
บางคนมีนะ ตอนนั่งสมาธินี่แผ่เมตตาดีเลย
มีความสุขมาก โอ๊ย ใจดี อยากจะโปรดโลก อยากจะโปรดสัตว์
แต่พอออกจากสมาธิมา เจอสัตว์เข้าจริงๆ มาทำร้ายนะ
จะเป็นยุง จะเป็นมนุษย์ที่มีพฤติกรรมไม่ค่อยจะเหมือนมนุษย์เท่าไหร่
พอเข้ามากระทบกระแทกแล้ว
ลืมความอยากจะให้สัตว์โลกนี้มีความสุข
อยากจะให้สัตว์โลกมีความทุกข์ อยากจะให้สัตว์โลกนี่เจ็บปวดทรมานไปแทน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP