วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๕



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เสร็จจากงานแจกของ มอบรายได้แก่โรงเรียนเด็กด้อยโอกาส คณะของเหล่าคุณหญิงก็แยกย้าย มีบางส่วนกลับโรงแรม บางส่วนเดินทางเที่ยวต่อ อีกส่วนกลับกรุงเทพฯ

            คุณหญิงรัดเกล้าและมาตาอยู่ในกลุ่มสุดท้าย

            คุณหญิงค่อนข้างโล่งอก ที่การเดินทางปลอดภัย ไม่มีปัญหา หวนนึกถึงคำเตือนของปันปัน ยังอดนึกไม่ได้ว่าตนเองตื่นตูมเกินไป พอเสร็จงานก็หาเพื่อนกลับกรุงเทพฯ ซึ่งได้มาตาร่วมทางด้วยเช่นเคย

            มาตาเป็นแขกรับเชิญมาช่วยร้องเพลง ทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ ช่วยสร้างสีสันให้กับงานมอบรายได้ครั้งนี้ แต่ที่หล่อนร่วมเดินทางมาด้วย ก็เพื่อหาข้ออ้างเลี่ยงงานแถลงข่าว ถึงแม้จะโดนผู้ใหญ่ตำหนิ พวกสื่อรุมจิกกัดลับหลังก็ไม่แคร์ แถมยังตั้งใจอยู่พักผ่อน หลบกระแสที่ต่างจังหวัดสักวันสองวัน แต่แล้วงานมอบรายได้ก็ไม่พ้นนักข่าว ซึ่งหลังจากทำข่าวมอบรายได้ฯ ให้เหล่าคุณหญิงเสร็จแล้ว ก็หันมาสัมภาษณ์มาตาในกรณีภาพหลุดลงหนังสือจนได้

            มาตาปฏิเสธการให้ข่าว ก่อนปลีกตัวหาทางกลับกรุงเทพฯโดยเร็ว และได้กลับพร้อมคุณหญิงรัดเกล้า

            ทั้งสองนั่งรถยนต์ที่ทางคณะจัดเตรียมไว้บริการส่งถึงสนามบิน ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง... ระหว่างทางสองสาวต่างวัยคุยกันอย่างถูกคอ

            “พี่ขอบใจจริง ๆ นะจ๊ะ ที่น้องมาตาช่วยทำให้งานมีสีสันขึ้นขนาดนี้”

            “อุ๊ย คุณพี่... ตาต่างหากค่ะ ที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ถ้าไม่มางานนี้ ก็ไม่รู้เลยว่าพวกคุณพี่ทำงานกันจริงจังขนาดไหน แล้วเด็ก ๆ ได้รับประโยชน์อย่างไรบ้าง”

            “พี่เห็นเด็ก ๆ ชอบฟังเพลงของน้องมาตาแล้วก็ชื่นใจแทน” คุณหญิงบอก

            “ตาก็ดีใจที่ได้มาร้องเพลง เล่นเกมกับเด็ก ๆ นะคะ เห็นเลยว่าพวกแกมีจิตใจซื่อ บริสุทธิ์จริง ๆ...”

            ทั้งสองคุยกันโดยไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัว ไม่ได้ดูคนขับรถว่ากำลังเหลือบมองนาฬิกาบ่อยครั้ง และไม่ทันสังเกตว่ารถแล่นเร็วขึ้นกว่าเดิม

            ถนนสายนี้เป็นสี่เลน รถไม่ได้แล่นสวนทางกันแบบถนนต่างจังหวัดบางที่ จึงดูน่าจะปลอดภัย หากไม่ขับเร็วเกินไป

            รถที่คุณหญิงนั่งมานั้น ไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่าไม่มีรถปิคอัพคันหนึ่งพุ่งพรวดออกมา จากทางแยกโดยไม่ดูรถราคันอื่น และรถของคุณหญิงจะไม่ใช้ความเร็วมากขนาดนั้น

               ....โครม!...
 
            เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที เป็นเสี้ยววินาทีที่สาวต่างวัยทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะกำลังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องงานกุศลที่ต่างช่วยเหลือ ออกแรงกันจนสำเร็จ...เหล่าเด็กด้อยโอกาสได้รับเงินมาจุนเจือ พวกเธอทั้งสองกำลังปลาบปลื้ม ยินดีในงานครั้งนี้







บทที่ ๑๖



            การเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะลานน้ำค้างมีเวลาเตรียมใจตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งยังมีมารดาตามมาส่งเป็นเพื่อน แถมหมอน่านรอรับ พร้อมคำพูดคำอธิบายให้คลายใจ

            “พี่ติดต่อขอให้อาจารย์หมอท่านรับเป็นเจ้าของไข้ให้ลานแล้วนะ อาจารย์ท่านนี้เก่งเรื่องโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวอย่างหาตัวจับยากเชียว”

            เมื่อได้ฟังอย่างนี้ ลานน้ำค้างและคุณดาริกาก็เกิดความมั่นใจ รอจนหลังเที่ยง ได้ห้องพิเศษเรียบร้อย หมอน่านจึงเชิญอาจารย์หมอที่พูดถึงให้มาพบ

            “คุณน้าครับ...ลาน...ท่านนี้คืออาจารย์หมอนภัทร ที่จะเป็นเจ้าของไข้รักษาให้เรานะ”

            คุณดาริกายกมือไหว้ ขณะที่ลานน้ำค้างตกตะลึงชั่วขณะ ก่อนยกมือไหว้ตามมารดา คาดไม่ถึงจะได้พบกับบุคคลท่านนี้

            “อาจารย์หมอนภัทร” ... พ่อของโดม และเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้!

            หมอนภัทรในวัยห้าสิบเศษยังดูหนุ่มกว่าอายุ ร่างกายแข็งแรงสมส่วน ใบหน้าเรียบเฉย มีเค้าความดื้อรั้น เอาแต่ใจ คล้ายลูกชาย เส้นผมหงอกขาวแซมตรงจอน รอยย่นปลายหางตาช่วยเสริมบุคลิกดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

            ชายกลางคนผู้นี้ผิวไม่ขาวจัดเท่าลูกชาย แต่ไม่ถึงขั้นคล้ำ ใบหน้าเคร่งแบบเสือยิ้มยาก นัยน์ตาดุฉายแววของคนมีอำนาจโดยไม่ต้องปรุงแต่ง เสแสร้ง

            หมอนภัทรเป็นบุคคลที่ทำให้ผู้อยู่ใกล้เกิดความไว้วางใจ และหวั่นเกรงแทบในขณะเดียวกัน

            “สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ” ลานน้ำค้างเอ่ยปากทัก

            หมอนภัทรพยักหน้ารับความเคารพ คำทักทายเพียงนิดเดียว ก่อนพูดเข้าเรื่องโดยไม่จำเป็นต้องเกริ่นนำ

            “ผมดูผลเลือดของคุณแล้ว เราจะรักษาโดยการให้ยาคีโม เริ่มจากคืนนี้เลย...จากนั้นคุณจะได้รับยาติดต่อกันอีกจนครบห้าวัน ค่อยกลับบ้านได้ แรก ๆ คุณอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนบ้างเป็นเรื่องปกติ ต่อไปครั้งหลัง ๆ คุณจะเริ่มชิน อาการดีขึ้น...มีอะไรจะถามมั้ย”

            “ต้องรับยาแบบนี้กี่ครั้งคะคุณหมอ” คุณดาริกาถาม

            “ทั้งหมดหกครั้ง ครั้งละห้าวัน โดยเว้นช่วงแต่ละครั้งประมาณสามถึงสี่สัปดาห์”

            “สรุปว่าลานต้องมารับยาคีโมเดือนละครั้ง...ครั้งละห้าวัน ตลอดหกเดือนใช่มั้ยคะ” คราวนี้คนป่วยถามเอง

            “ใช่...” อาจารย์หมอรับคำเรียบ ๆ ก่อนอธิบายถึงอาการที่อาจเกิดแทรกซ้อน ข้อควรระวังต่าง ๆ ของผู้ป่วยอย่างละเอียด ก่อนสรุปปิดท้าย

            “คุณพักเตรียมตัวอยู่ในห้องก่อน ตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ ผมจะเริ่มให้ยาคุณ”

            “ค่ะ” น่าแปลกที่ลานน้ำค้างสามารถรับคำด้วยจิตใจไม่หวั่นไหวสักนิด อาจเป็นด้วยบุคลิก คำพูดของหมอฟังแล้วชวนเชื่อถือ รู้สึกมั่นใจว่าตนเองจะปลอดภัย ภายใต้การดูแลรักษาจากอาจารย์หมอท่านนี้

            หลังหมอนภัทรออกจากห้อง ลานน้ำค้างค่อยรู้สึกโหวงแปลก ๆ นึกไม่ถึง ตนเองจะได้เป็นคนไข้ของคุณหมอระดับผู้อำนวยการ เจ้าของโรงพยาบาล

            “รู้มั้ยลาน เราน่ะโชคดีมากเลยนะ ที่อาจารย์หมอท่านรับเป็นเจ้าของไข้ให้น่ะ” หมอน่านบอกยิ้ม ๆ

            “พี่น่านไปขอร้องท่านยังไงคะ...ลำบากหรือเปล่า” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

            “พี่เอาผลเลือดของลานไปให้ท่านดู แล้วถามแบบลูกศิษย์กับอาจารย์นั่นแหละ ว่าท่านพอจะรับเป็นเจ้าของไข้ได้มั้ย...โชคดีที่ช่วงนี้งานด้านบริหารของท่านไม่ยุ่งมาก ท่านเลยรับปาก...อาจารย์หมอนภัทรนี่ ใคร ๆ ก็กลัวนะ แต่ถ้ารู้จักท่านจริง ๆ จะเข้าใจเลยว่า ท่านเป็นหมอจากหัวใจจริง ๆ เป็นหมอมากกว่านักธุรกิจเสียอีก”

            นี่เป็นอีกมุมหนึ่งที่ลานน้ำค้างเพิ่งรู้...หลังจากวาดภาพหมอนภัทร พ่อของโดมไว้อีกอย่างหนึ่ง

            “พักผ่อนได้แล้วนะเรา เดี๋ยวค่ำ ๆ ค่อยไปรับยา” หมอน่านพูดเหมือนหญิงสาวกำลังจะกินยาลดไข้มากกว่ารับเคมีบำบัดต้านมะเร็ง

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ห้องพิเศษของลานน้ำค้าง เป็นห้องเล็ก ๆ ธรรมดา ไม่หรูหรา กว้างขวางเหมือนห้องพิเศษระดับวีไอพี ในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำดูเหมือนห้องเช่าน่ารักมากว่าห้องคนป่วยในโรงพยาบาล

            “นอนพักดูทีวีก่อนนะลูก” คุณดาริกาเปิดทีวีพลางบอกลูกสาวให้ขึ้นเตียงนอน

            “ลานไม่ได้ป่วยหนักขนาดต้องนอนเตียงทั้งวันซะหน่อยแม่...จะให้ลูกสาวรีบนอนไม่ถึงไหน” หญิงสาวพ้อแกมเถียง

            “จ้า...ทำเก่งไปนะเรานี่...” คนเป็นแม่อดดุไม่ได้ กำลังจะบ่นต่อ แต่เห็นลูกสาวยืนจ้องข่าวในทีวีราวโดนมนต์สะกด จึงต้องหันกลับไปดูตาม

            ในนั้นเป็นภาพของผู้อ่านข่าวทางสถานีโทรทัศน์ กำลังอ่านข่าวด่วนคั่นรายการอยู่...

            “ขณะนี้เราได้รับข่าวด่วนมาว่า...มาตา นักร้องสาวชื่อดังได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ พร้อมกับคุณหญิงรัดเกล้า กรรมการมูลนิธิ....ที่จังหวัด....”

            ลานน้ำค้างไม่ได้ตั้งใจดูทีวีนักหรอก แค่มองผ่านตามประสาเท่านั้นเอง พอหูได้ยินคำว่า ‘ข่าวด่วน’ ก็เกิดความสนใจโดยอัตโนมัติ นัยน์ตาจับจ้องผู้ประกาศ ตั้งใจฟังข่าวด้วยความสนใจ

            ได้ยินข่าว ใจหายวาบ บุคคลที่หล่อนรู้จักถึงสองคนเกิดอุบัติเหตุพร้อมกันที่ต่างจังหวัด อาการเป็นอย่างไรไม่ทราบชัด ขณะนี้กำลังอยู่โรงพยาบาล

            ความเป็นห่วงทำให้ลืมปัญหาตัวเองชั่วขณะ ลืมว่าตนกำลังอยู่โรงพยาบาล ลืมว่าตนเองเป็นโรคร้ายที่ใครก็หวาดกลัว

            ใจหวนนึกถึงคนอีกสองคนความเป็นห่วง อยากช่วยเหลือ...

            โดม...เขารู้ข่าวนี้หรือยัง ถ้ารู้แล้ว เวลานี้จะเป็นเช่นไร?

            ปันปันล่ะ...หนูน้อยเหลือเพียงแม่กับพี่ชาย จะโศกเศร้าขวัญหายเพียงใด หากได้ยินข่าวนี้...

            ลานน้ำค้างรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา พอเห็นใบหน้ามารดาก็ยิ้มแหย ๆ

            “ขอลานใช้โทรศัพท์หน่อยนะคะ” ถึงพูดเชิงขออนุญาต แต่มือก็กดหาเบอร์แล้ว

            คุณดาริกาได้แต่ส่ายหน้า ขัดไปก็ไม่มีประโยชน์ รู้ว่าลูกสาวเป็นคนเช่นไร...ห่วงคนอื่นก่อนเสมอ ตัวเองลำบากไม่เป็นไร ขอให้คนรอบข้างสบายใจก็พอแล้ว

            นี่ถ้าเจ้าหล่อนไม่ติดว่าต้องอยู่โรงพยาบาล ป่านนี้คงรีบออกไปตามข่าว หาทางช่วยเหลือคนที่หล่อนรู้จักแล้ว

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            สนามบิน...

            ใบหน้าโดมเผือดซีด เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดเต็มหน้าผาก ขาก้าวยาว ๆ เดินค่อนข้างเร็วไปทางช่องผู้โดยสารขาออก ตั๋วเครื่องบินอยู่ในกระเป๋า พร้อมบัตรเครดิตที่แม่ให้...เขาไม่เคยคิดจะใช้มันเลย จนกระทั่งถึงวันนี้

            ..........

               ...โดมยังอยู่ในห้องซ้อม เหงื่อโซมตัว เมื่อได้รับข่าวอันน่าตกใจ...

            “โดม...ดูทีวี ฟังวิทยุบ้างหรือเปล่า” พี่พนักงานในบริษัทเดินเข้ามาถาม ขณะที่เขาเพิ่งพักจากการซ้อมเรียนเต้นรำ

            “ผมอยู่ห้องซ้อมตั้งแต่เที่ยง ไม่รู้ข่าวอะไรหรอกพี่...มีอะไรเหรอ” โดมถามกลับอย่างแปลกใจ เมื่อวันนี้ไม่มีการแถลงข่าว เขาจึงกลับบริษัท เข้าเรียนตามปกติ

            “พี่เพิ่งได้ยินข่าวด่วนจากทางวิทยุ...เรื่องของมาตา”

            ชื่อมารดากระทบหู โดมเงยหน้ามองอย่างสนใจ...

            “มาตาเกิดอุบัติเหตุที่ต่างจังหวัด ข่าวเพิ่งออกตะกี้เอง”

            โดมลุกพรวด แววตาตระหนก ใจหายวูบ รีบย้อนถามเสียงรัวเร็ว

            “เขาเป็นยังไงบ้าง...” ถึงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจแล้วว่าจะมีใครรู้ความสัมพันธ์แม่ลูกหรือไม่ ความเป็นห่วงกังวลใจมีมากเกินกว่าจะมาทำเสแสร้ง

            คนให้ข่าวก็พอรู้ข่าวลือสัมพันธ์แม่ลูกของโดมกับมาตาเลา ๆ จากคนในบริษัท จึงจงใจเอาข่าวนี้มาเล่าให้ฟัง ได้เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ก็หมดสงสัย จึงพยายามเล่ารายละเอียดเท่าที่รู้ให้ฟังจนหมด แต่คนฟังก็ยังไม่พอใจ รู้สึกค้างคาใจจนอดไม่ได้ ต้องต่อโทรศัพท์ถึงผู้จัดการส่วนตัวของมารดา

            “ป้าแหม่ม...แม่ผมเกิดอุบัติเหตุจริง ๆ ใช่มั้ย” โดมใช้สรรพนามเรียกขานอย่างคุ้นเคย

            “จริง” ดูท่าคนพูดจะเหนื่อยกับการตอบคำถามนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆเหมือนกัน

            “แล้วแม่เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือยัง” เขาถามอย่างมีความหวัง

            “ป้ายังไม่รู้อะไรมากเลย” คนตอบอึดอัดใจไม่น้อยไปกว่าคนถาม “แต่ป้าจองเครื่องบินเที่ยวคืนนี้ไว้แล้ว”

            “จองเครื่องเที่ยวกี่ทุ่ม...ทำยังไง...ผมจะไปด้วย” เด็กหนุ่มพูดสรุปเสียงรัวเร็ว

            คุณแหม่มถอนใจพลางอธิบายอย่างใจเย็น พออีกฝ่ายเข้าใจจึงวางหู...

            โดมดูนาฬิกา ยังมีเวลาเหลือ รีบกลับห้องเช่า เงินติดตัวเขาไม่พอซื้อตั๋วเครื่องบินแน่...สายตาเหลือบไปเห็นบัตรเครดิตที่แม่ให้ไว้ ยังวางอยู่บนหัวเตียง...ไม่เคยคิดจะใช้มันเลย แต่วันนี้จำเป็นเสียแล้ว

            โดมโทรศัพท์จองตั๋วเครื่องบิน แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว ไปถึงสนามบินก่อนเวลา ใจคอร้อนรุ่ม เหงื่อผุดเต็ม หน้าผาก ก้าวขายาว ๆ มองหาคุณแหม่ม คนที่น่าจะช่วยเหลือ ให้คำแนะนำได้ดีที่สุดในเวลานี้

            ผู้คนในสนามบินพลุกพล่าน โดมเกือบเดินหลงด้วยความไม่คุ้นเคย ยังดีที่อาศัยคำอธิบายดูป้ายและจำจุดนัดพบได้

            ในที่สุด พบคุณแหม่มยืนรออยู่ตรงทางเข้าผู้โดยสารขาออก

            “หลบมานี่ก่อนโดม ระวังเจอพวกนักข่าว” คุณแหม่มฉุดมือเขาหลบมายังมุมอับสายตา

            “ได้ข่าวแม่เพิ่มเติมมั้ยครับ” โดมรีบถาม

            “ป้าโทรไปถามทางโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ห้องไอซียู”

            ได้ยินอย่างนี้ใจยิ่งฝ่อแป้วลงแทบหมดแรง

           “พอจะย้ายเข้ากรุงเทพฯได้มั้ย” เขานึกถึงโรงพยาบาลของพ่อ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย และทีมแพทย์ที่น่าจะชำนาญการมากกว่า

            “ยังหรอกโดม ต้องรอให้โรงพยาบาลทางนั้นเขาดูแลจนพอวางใจได้ก่อน” คุณแหม่มพูดพลางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเมตตา สงสาร

            “อ้าว...แล้วเราไม่ได้เอากระเป๋าเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเหรอ” ผู้สูงวัยกว่าทักขึ้น เมื่อเห็นเขามาตัวเปล่า

            โดมเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกจากห้องเช่าทันที โดยไม่คิดก่อนว่าต้องอาจนอนค้างดูแลแม่...เวลานั้นสมองมันไม่ทำงานแล้ว แค่รู้ว่าต้องใช้บัตรเครดิตมาซื้อตั๋วเครื่องบินได้ก็ดีถมไปแล้ว

            “เฮ้อ...จริง ๆ เลยนะเรา” คุณแหม่มบ่นพลางส่ายหน้า มองเหมือนเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ จากนั้นก็หันไปเปิดกระเป๋าตนเอง หยิบหมวกออกมาสวมให้เด็กหนุ่ม

           “สวมหมวก เก็บผมเก็บเผ้าให้เรียบร้อยซะ...แล้วนี่แว่นตา ใส่ด้วย” พูดจบก็ยื่นแว่นเลนส์กระจกให้

           “อย่าลืมว่าตอนนี้เราเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ยังไงก็อย่าเพิ่งให้นักข่าวจำได้ ตอนขึ้นเครื่องบินก็เดินห่าง ๆ ป้าหน่อย นั่งคนละที่กันอยู่แล้วใช่มั้ย...ยังไงค่อยไปเจอกันที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน”

            โดมฟังคำพูดคุณแหม่ม เหมือนฟังนิยายสืบสวน เขาไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องทำตัวเหมือนโจรขโมยกลัวตำรวจแบบนั้น แต่คร้านจะเถียง ไม่อยากพูดจาอะไร ในอกมีก้อนแข็ง ๆ ถ่วงทับ ชวนอึดอัด กระวนกระวายใจ เบื่อหน่ายจะพูดจา

            “ป้ารู้ว่าโดมเป็นห่วงแม่ คิดว่าเรื่องที่ป้าให้ทำมันไร้สาระ แต่ยังไงก็ขอให้เชื่อป้าก่อนเถอะนะ”

            โดมรับแว่นมาสวมโดยไม่พูดจา เวลานี้ให้เขาทำอะไรก็ได้เพื่อพบแม่...แม่ที่เขารู้สึกว่ามีความสำคัญเหลือเกิน...สำคัญจนกล้าที่จะแลกทุกอย่างในชีวิต เพื่อให้แม่ปลอดภัย...ให้แม่ยิ้มกับเขาอีกสักครั้ง แล้วบอกว่า...

            “ดูสิ...แม่ไม่เป็นอะไรสักหน่อยโดม ตื่นเต้นไปได้”


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ลงจากเครื่องบิน นั่งรถไปถึงโรงพยาบาล โดมค่อยมองเห็นประโยชน์จากความรอบคอบของป้าแหม่มเดี๋ยวนี้เอง...ที่หน้าโรงพยาบาลมีนักข่าวเต็มไปหมด ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ ทุกคนอยากรู้ความคืบหน้าอาการของมาตา ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง และใครที่อยู่ในข่ายให้ข่าวได้ ล้วนไม่รอดสายตาเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย

            คุณแหม่มโดนรุมสัมภาษณ์ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล โดมต้องหาทางเลี่ยงไม่ให้นักข่าวเห็น ยังโชคดีที่ภาพของเขาในนิตยสารไม่ชัดเจนนัก แค่ใส่หมวก สวมแว่นตาก็ไม่เป็นที่สังเกตแล้ว

            ลอบเข้าโรงพยาบาลอีกทาง เดินลัดเลาะหาห้องไอซียูจนเจอ แต่โดมก็ต้องถอนใจเหนื่อยหนัก เมื่อเห็นนักข่าวจำนวนหนึ่งยืนรออยู่นอกห้อง ดูท่าเตรียมสัมภาษณ์หมอ หรือพยาบาลทันทีที่ออกมา

            โดมกระสับกระส่าย อยากผลุนผลันเข้าไปถึงหน้าห้อง อยากมองหน้าแม่ชัด ๆ ให้รู้ว่าแม่ยังปลอดภัย แต่ขาทั้งสองข้างแข็งนิ่ง ไม่อาจขยับ เขาไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนักข่าวในเวลานี้ เขาไม่อยากพูดเรื่องเกี่ยวกับแม่และตนเองให้ใครฟัง ไม่กล้าตอบคำถามหลายข้อในเรื่องเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว

            เวลานี้มีทางเลือกสองทาง คือเข้าไปอาละวาด ไล่ตะเพิดนักข่าว หรือยืนมองแม่อยู่ห่าง ๆ เช่นนี้...

            เด็กหนุ่มยืนรออยู่เนิ่นนาน จนเกิดทางเลือกที่สาม...เขาเดินไปหลบมุมเงียบ ๆ อยู่ตรงบันไดหนีไฟ นั่งกอดเข่าคุดคู้ด้วยใจอันเหน็บหนาว ไม่ต่างจากเด็กน้อยหลงทาง ในใจร่ำร้อง ภาวนาซ้ำ ๆ ซาก ๆ ขอให้แม่ปลอดภัย...

            ...อย่าเป็นอะไรไปนะแม่...อย่าเป็นอะไรเลย...ผมยังไม่เคยทำตัวเป็นลูกที่ดีเลยสักครั้ง...แม่ต้องปลอดภัยนะ...รอดกลับมาให้ได้...คราวนี้ผมจะยอมทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ...อย่าเป็นอะไรไปนะ...อย่าตายนะแม่...จะให้ทำอะไรก็ได้ ผมยอมแล้วทุกอย่าง...

            เวลาผ่านไปนานเท่าใดเขาไม่รับรู้ หัวใจยังคร่ำครวญ ภาวนาซ้ำไปซ้ำมา ราวกับกลัวว่า เมื่อใดที่ตนหยุดภาวนา ขอร้อง แม่จะไม่ปลอดภัย

            เสียงประตูเปิด ปลุกสติขึ้นมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังก้องเป็นจังหวะ ก่อนที่ป้าแหม่มจะโผล่หน้า...

            “หลบมาอยู่นี่เอง ป้าตามหาเสียแทบแย่” ป้าแหม่มถอนใจโล่งอก

            โดมเงยหน้า รีบลุกขึ้นถามรัวเร็ว

            “แม่เป็นยังไงบ้างป้า...แม่ปลอดภัยใช่มั้ย...”

            “ใช่” ป้าแหม่มพยักหน้าตอบสั้น ๆ

            โดมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างโล่งใจ ก้อนแข็ง ๆ ที่หน่วงในหัวอกหลุดหาย รอยยิ้มผลิบานบนใบหน้า ขณะที่น้ำตารินไหลช้า ๆ หัวใจเต็มตื้นบอกไม่ถูก

           “ขอบคุณครับ...ขอบคุณมากครับ...” เขาพร่ำพูดคำนี้ซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตั้งใจบอกแก่ใคร...ป้าแหม่มผู้นำข่าวดีมาให้ หรือเหล่าคุณหมอที่ช่วยชีวิตแม่ได้สำเร็จ

            คุณแหม่มเห็นสีหน้ากิริยาเด็กหนุ่มแล้ว จำต้องหยุดปาก ไม่ยอมให้คำพูดต่อจากนั้นหลุดออกมา
   
            ...หมอบอกว่ามาตาพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง...แต่ยังต้องรอดูอาการบางอย่าง...อีกทั้งยังให้ญาติเตรียมใจไว้บ้าง

               เพราะหล่อนมีโอกาสเป็นเจ้าหญิงนิทรา...

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ลานน้ำค้างเตรียมตัวรับยาคีโมครั้งแรกด้วยใจหวาดหวั่น การได้ฟังถึงผลข้างเคียงของยาทำให้อดนึกกลัวไม่ได้ สีหน้าท่าทางภายนอกยังแสดงอาการปกติ ยิ้มแย้ม พูดคุยกับมารดาราวกับไม่มีอะไรค้างคาในใจ

            “โทรเช็คข่าวได้หรือยังล่ะลูก” คุณดาริกาถาม

            “ยังค่ะ” หญิงสาวหน้าม่อย ถอนใจ

            วันนี้หล่อนได้รู้ข่าวอุบัติเหตุรถชนของคุณหญิงรัดเกล้าและมาตาตอนบ่าย จึงพยายามโทรถามรายละเอียดด้วยความกังวลเป็นห่วง แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า

            โดมปิดโทรศัพท์มือถือเช่นเคย ไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนพี่มุก เลขาคุณหญิงก็กำลังวุ่นวาย หัวปั่น ทั้งเรื่องเคลียร์งาน และพยายามติดต่อบอกข่าวกับเลียบเมือง จึงแทบไม่รู้อะไรมากไปกว่าข่าวในโทรทัศน์ ล่าสุดบอกว่าจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว จะเดินทางไปจังหวัดนั้นโดยเร็วที่สุด

            จากนั้นการติดต่อก็เงียบหาย ลานน้ำค้างได้แต่ติดตามข่าวทางทีวี ซึ่งยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม นอกจากบอกว่า ทั้งคู่กำลังรับการรักษาอยู่ที่ห้องไอซียู

            “น่าสงสารคุณหญิงเธอนะ” ถึงแม่จะไม่เคยเจอคุณหญิงรัดเกล้า แต่ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเธอไม่น้อย

            “ลานเป็นห่วงน้องปันปัน” ลานน้ำค้างพูดถึงเด็กหญิงที่ตนคุ้นเคย “ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ลานไม่กล้าโทรไปถามที่บ้าน กลัวเขาจะวุ่นวายใจกันเปล่า ๆ จะถามพี่มุกก็เกรงใจ แกคงยุ่งจริง ๆ แหละวันนี้”

            “โดมก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน” คุณดาริการู้ว่าโดมเป็นลูกของมาตาจากลานน้ำค้าง หลังจากเห็นภาพที่เป็นข่าวดังในนิตยสาร

            “นั่นสิ เจ้าโดมก็เหลือเกิน ชอบปิดโทรศัพท์จนเป็นนิสัยแบบนี้ไม่ไหวเลย” หญิงสาวบ่น การได้พูดถึงคนอื่นเช่นนี้ ทำให้ความกังวลเรื่องของตนเองลดลง

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลานน้ำค้างเห็นชื่อของพี่มุกโชว์อยู่ที่หน้าจอ

            “ค่ะ...พี่มุก เป็นยังไงบ้างคะ” ลานน้ำค้างถามข่าวด้วยความเป็นห่วง

            “พี่มาถึงโรงพยาบาลแล้ว...” เสียงพี่มุกเงียบหายไปครู่หนึ่ง “ลาน...พี่มาไม่ทัน...คุณหญิงท่าน...ท่านเสียแล้ว

            ลานน้ำค้างตัวชา ใจหายวูบบอกไม่ถูก...ถ้าไม่นับบิดาตน นี่เป็นคนที่หล่อนรู้จักคุ้นเคยคนแรกที่เสียชีวิต!

            เสียงสะอื้นร้องไห้ของพี่มุกดังมาตามสาย ชวนให้จิตใจหดหู่พาลจะร้องไห้ตาม ลานน้ำค้างพยายามตั้งสติ เลือกหาคำพูดมาปลอบใจสาวรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกัน

            “อย่าเสียใจนะคะพี่มุก ตั้งสติดี ๆ พี่มีเรื่องต้องช่วยคุณหญิงท่านอีกเยอะ”

            “นั่นสิ” พี่มุกยังสะอื้น “พี่กลัวจังเลย...ไม่รู้จะบอกกับคุณเลียบเมืองยังไง”

            นี่คืองานชิ้นแรกที่พี่มุกต้องทำ...

            “ใจเย็น ๆ ค่ะพี่มุก...พี่ต้องทำได้สิคะ” ลานน้ำค้างไม่รู้จะหาคำแนะนำไหนได้ดีกว่านี้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งปลอบใจคนเรื่องความตายเป็นครั้งแรก

            “จ้ะ...พี่จะพยายามใจเย็น ตั้งสติ คิดว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง...แต่มันไม่ไหวจริง ๆ นะน้องลาน สมองมันตื้อ คิดอะไรไม่ออก พี่อยู่กับคุณหญิงมาเป็นสิบปี พอท่านมาจากไปแบบนี้ ก็เหมือนเราสูญเสียญาติผู้ใหญ่คนสำคัญไป”

            ลานน้ำค้างถอนใจ มีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน ถึงอย่างนั้นก็พยายามพูดจาให้กำลังใจอีกฝ่ายเท่าที่ทำได้ จนครู่ใหญ่พี่มุกค่อยวางหู

            คุณดาริกามองสีหน้าเครียดปนหมองของลูกสาวอย่างเข้าใจ...ลานน้ำค้างกำลังหดหู่กับการเสียชีวิตของคุณหญิงรัดเกล้า จนลืมไปว่าตนเองก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องเผชิญเช่นกัน...

            ประตูห้องคนป่วยเปิดออก พยาบาลสาวเดินยิ้มเข้ามาหา...

            “ได้เวลาไปรับยาแล้วค่ะ”

            คำพูดนี้ทำให้ลานน้ำค้างลืมเรื่องการเสียชีวิตของคุณหญิงรัดเกล้าชั่วขณะ ใจหดหู่เปลี่ยนเป็นหวั่นวูบ ก่อนสูดลมหายใจยาวลึก มองหน้ามารดาแล้วฝืนยิ้มเต็มที่

            “พร้อมแล้วค่ะ”

            เสียงตอบไม่สดใสดังเคย แต่บอกให้เห็นถึงจิตใจที่พยายามเข้มแข็ง ต่อสู้ และกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่คนทั่วไปหวาดกลัว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP