ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เหตุใดภาวนามยปัญญาจึงเป็นบุญอันยิ่งใหญ่



ถาม – เหตุใดจึงกล่าวว่าภาวนามยปัญญาเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่สุดคะ
ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยๆ จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเกิดปัญญา
และคนที่ภาวนาทุกคนจะเกิดปัญญาได้ทั้งหมดไหมคะ


ผมขอยกพุทธพจน์มา มีอยู่คำหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
คนมีอายุร้อยปี พูดง่ายๆ ว่าอยู่มาร้อยปีเนี่ยนะ
มีประโยชน์ไม่เท่าคนที่มีชีวิตเพียงวันเดียว แล้วรู้ว่ากายใจนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
นี่เพราะอะไร เพราะว่าการสามารถรู้สึกถึงความเป็นกาย รู้สึกถึงความเป็นใจ
โดยความไม่เที่ยง โดยความไม่ใช่เป็นตัวตน
มันจะพาให้ออกจากความทุกข์ หรือว่าการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เสียได้



พระพุทธเจ้าท่านถือมากที่สุดเลยนะ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ถืออย่างนี้เลยว่า มีจุดยืนอย่างนี้นะว่า
ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ นึกว่ากายใจนี้เป็นตัวเป็นตน
เกิดใหม่ลืมหมดนะ แล้วก็มายึดใหม่ว่ากายนี้ใจนี้
ที่อยู่ๆ เห็นออกมาแต่อ้อนแต่ออกน่ะนะ เป็นตัวของเรา เป็นตนของเรา
นี่ตัวนี้แหละ พุทธศาสนาถือว่าเป็นภัยอันใหญ่หลวง เป็นความผิดมหันต์ สำคัญที่สุด



ถ้าหากว่าเมื่อไหร่ ชาติไหน สามารถรู้เสียได้
ว่ากายนี้ใจนี้เป็นเพียงเครื่องล่อให้เกิดอุปาทานไป
กระตุ้นให้เกิดความสำคัญผิดนึกว่าการยึดมั่นถือมั่นเป็นของดี
การมีตัวมีตน เป็นของวิเศษ เป็นของที่น่าหวงไว้
นี่ตัวนี้เป็นโทษ เป็นภัยอย่างมหันต์
ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นเสียได้ก็เท่ากับถอดโทษ ถอดภัยออกไป
มันถึงได้เป็นบุญใหญ่
บุญในคำจำกัดความว่าจะสร้างความสุขความเจริญในระยะยาวให้กับเรา
ไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่าการที่ได้รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เป็นการรู้ด้วยสัมมาสติ ไม่ใช่รู้ด้วยอาการคิดๆ เอาหรือว่าฟังใครเขามา



บุญมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ทาน ศีล แล้วก็ภาวนา
บุญในการคิดให้ คิดช่วยคนอื่น
จะทำให้เราอยู่ดีมีสุข จะทำให้เรามีคนรักมากนะ
แต่ถ้าหากว่าเรารักษาศีลได้สะอาดก็จะเป็นผู้ไม่มีภัย ไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียน
จะอยู่ห่างจากโลกของความเดือดร้อนวุ่นวายนะครับ
ส่วนบุญอันเกิดจากการภาวนาที่มันมากกว่าบุญสองระดับข้างต้นที่กล่าวมา
ก็เพราะว่าจะทำให้เรานะมีเป้าหมายปลายทางชัดเจน
ในการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไปไม่ใช่สู่สุคติภพ
แต่ว่าไปสู่การพ้นจากภพจากภูมิ
จากการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่เสียได้
เนี่ยถึงเรียกว่าเป็นบุญใหญ่สูงสุด



การภาวนาไปเรื่อยๆ แล้วจะเกิดปัญญา
ที่เกิดปัญญามันเกิดตรงที่ใจของเรามีความเป็นปกตินะ
เห็นว่าตัวนี้ใจนี้กายนี้ มันไม่ใช่อะไรเลยที่เรานึกว่ามันเป็นมาตลอด
นึกว่ามีอัตตาอยู่ นึกว่ามีสมบัติของเราอยู่ เราสามารถควบคุมได้
มันไม่ใช่เลย มันพลิกไปหมด
พลิกแบบชนิดที่เหมือนกับอยู่ๆ เรายืนอยู่ด้วยความมั่นใจว่ามีพื้นมีฐาน
อยู่ๆ พื้นมันทะลุหายไป ตกลงเราไม่มีอะไรเลยที่เป็นของของเราอย่างแท้จริงนะ



มันจะเกิดอิสระทางใจ
อิสระแบบที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกพันธนาการอย่างเหนียวแน่นมาตลอดด้วยอุปาทาน
มันกลายเป็นปัญญาที่ได้มีความแจ่มกระจ่าง สว่าง
ที่จะทำให้เกิดความสุขแบบที่ไม่กลับไม่เปลี่ยนอีก
ตัวปัญญา ดูง่ายๆ ก็แล้วกัน พูดคำเดียวก็คือจิตมีความเป็นอิสระจากทุกข์
ถ้าหากว่าจิตยังไม่สามารถเป็นอิสระจากทุกข์
ต่อให้ไอคิวสูงแค่ไหน พุทธศาสนาถือว่ายังโง่อยู่ ยังมีโมหะปกคลุมจิตอยู่



ส่วนที่ถามว่าจะต้องใช้เวลาแค่ไหนถึงจะเกิดปัญญา
บางคนใช้เวลาแค่อึดใจเดียวครับ
พบพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นคนที่มีทานมีศีลดีอยู่แล้ว มีโครงสร้างของปัญญาพร้อมอยู่แล้ว
พอพระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ดูเข้ามา นี่ ดูสิ ลมหายใจนี่
แต่ละลมหายใจแต่ละระลอก มันมีไหมที่มันเที่ยง มันมีไหมที่จะอยู่กับเราตลอดไป
หรือว่าความสุขความสบายใจ แม้แต่ความอึดอัดที่มันกำลังกัดอกอยู่เกาะอกอยู่เนี่ย
ดูเถอะ มีระลอกไหนของความสุขความทุกข์ที่มันจะครอบงำเราไปได้ตลอดไป ไม่มี
แม้กระทั่งความทรงจำที่เราหวงนักหวงหนา บอกว่านี่เป็นความทรงจำของฉัน
ก็ไม่มีความทรงจำชุดไหนที่มันอยู่กับเราไปได้
ท่องเลขไม่เท่าไรนะ จำได้แป๊บเดียวลืมแล้ว
หรือแม้แต่หน้าคน หรือแม้แต่ชื่อคน ห่างกันไปไม่นาน มันก็ลืม
ต่อให้เป็นคนเคยรักเป็นคนเคยชอบ ไม่ได้เจอกันยี่สิบสามสิบปี ลืม
ลืมความรู้สึกนั้นไป ลืมความรู้สึกรัก แล้วก็นึกไม่ออกว่าเคยรักได้อย่างไร
หรือแม้กระทั่งเจตนาจะดีจะชั่ว ในอดีตเคยเป็นคนแบบหนึ่ง
เวลาผ่านไป โตขึ้น มันกลายเป็นตรงกันข้ามกับคนที่เราเคยเป็น คนที่เราเคยตั้งใจจะเป็น



นี่พอเห็นอย่างนี้นะ แม้แต่การรับรู้ เดี๋ยวก็กระโดดจากการรับรู้ทางตาไปเป็นทางหู
ทางหูไปเป็นทางจมูก ทางจมูกไปเป็นทางกาย ทางกายไปเป็นทางใจนะ
มันสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ไม่มีอะไรที่มันแสดงความเป็นตัวเราสักอย่างเดียว



พอฟังพระพุทธองค์ท่านตรัสถึงความจริง
ที่มันเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตามาตลอดชีวิตแบบนี้
คนบางคนสามารถบรรลุธรรมได้ทันที ไม่ใช่แค่เกิดปัญญาธรรมดานะ

แต่ถ้าหากว่าเรายังมีโครงสร้างพื้นฐานของจิตใจที่ยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่น
แล้วก็ยังติดอยู่กับบาปอยู่กับกรรม ชอบที่จะประกอบอกุศลมากๆ
ชอบโกหก ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น
แบบนี้มันไม่สามารถที่จะไปรู้ไปเห็นอะไรตามจริงได้



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP