จากใจ บ.ก.ใกล้ตัว Lite Talk

ฉบับที่ ๙ ทวิตเตอร์โพล


dlite_27


จากโพลที่ผมทำในทวิตเตอร์
ที่ได้ข้อสรุปแรกตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
คือคุณๆส่วนใหญ่ "อยากได้สติที่สุด"
http://twtpoll.com/peo8j6

เมื่อถามในโพลต่อมาว่า
การมีสติอยู่กับปัจจุบันหมายถึงอะไร
คำตอบคือ "มีอะไรกำลังปรากฏเด่นให้รู้ก็รู้"
http://twtpoll.com/9bkv90

ระหว่างวันของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
สิ่งที่เกิดบ่อยไม่ใช่เรื่องภายนอก แต่เป็นภายใน
นั่นคือความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดเคือง
ต่อให้คนอารมณ์ดีที่สุด
ก็เจอเรื่องน่าหงุดหงิดได้บ่อยๆ

หากอยากมีสติจริง
และมีสติไปเพื่อรู้อะไรที่กำลังปรากฏเด่น
ก็ต้องรู้จักโทสะในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี
ฉะนั้น เมื่อถามว่าตอนโกรธคุณทำอย่างไรบ้าง
หมายถึง "ส่วนใหญ่" นะครับ อาจจะไม่ใช่ทุกครั้ง
คำตอบจึงเป็นอยากดูเข้ามาที่ความร้อนและความอึดอัด
ไม่ใช่อยากฮึดฮัดหรือแสดงท่าทีฉุนเฉียวเหมือนคนทั่วไป
http://twtpoll.com/7952sr

ก่อนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ขอให้อ่านที่ผมใช้คำไว้ดีๆนะครับ
ผมใช้คำว่า "อยาก" นำหน้า
หมายความว่าไม่ใช่จะทำได้จริงหรือไม่จริง
คิดว่าคงเป็นข้อตกลงที่เข้าใจได้ร่วมกัน

จากนั้นสิครับน่าสนใจ
เมื่อถูกถามว่าที่ดูความร้อน ความอึดอัดนั้น
เกิดอะไรขึ้น
ผลคือส่วนใหญ่รู้สึกว่าความโกรธเหมือนไฟไหม้ฟาง
วูบมาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
หรือที่ได้ผลรองไปกว่านั้น
คือทราบได้ว่าโกรธแบบร้อนน้อยลง
http://twtpoll.com/vxuvse

ถ้ารู้แล้วยิ่งแน่น ยิ่งกลายเป็นโกรธง่ายหายยาก
อันนี้ขอให้ทราบว่าไม่ใช่เรียกเจริญสติ
แต่เป็นการกดข่มบังคับใจตนเอง
ห้ามใจตนเอง ซึ่งต้องผ่านกันทุกคนในขั้นแรก
ต่อเมื่อค่อยๆสังเกต ค่อยๆเห็นอาการทางใจ
ว่าไม่ต้องห้ามแต่รู้สึกถึงความโกรธได้คืออย่างไร
ไม่นานก็จะได้ผลเหมือนกับนักเจริญสติส่วนใหญ่

คำถามต่อมาเหมือนไม่เกี่ยว
แต่ความจริงก็คือเกี่ยวอย่างใหญ่หลวง
นั่นคือถ้าประสบกับเหตุการณ์จวนตัว
มีรถจะวิ่งมาชน
คุณจะยืนอยู่บนถนนหรือขับรถสวนกันก็ตาม
ในฐานะของผู้เจริญสติเห็นจิต เห็นอารมณ์ตนเองมา
คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คำตอบส่วนใหญ่คือรู้สึกว่าน่าจะเห็นกายใจเป็นของถูกทิ้ง
ให้คะแนนได้ว่าน่าจะมีสิทธิ์ถึงนิพพาน
http://twtpoll.com/r5wsk4

สำหรับท่านที่เข้าใจว่าจะนึกคิด
หรือไปพยายามตั้งสติเอาในชั่วขณะคับขันได้
ผมขอให้ลองสังเกตจิตของตัวเองใหม่นะครับ
เอาจากตอนเกิดเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานกะทันหัน
แบบที่ต้องขัดเคืองรุนแรง
คุณสามารถปลอบตัวเองด้วยโวหารใดๆได้ทันไหม
?
คุณสามารถสั่งให้ตัวเองตั้งสติดีๆได้แค่ไหน?

ความขัดเคืองแรงๆกับความตกใจมากๆ
มีมูลรากอันเดียวกันคือโทสะ
จิตจะมีลักษณะช็อค เกิดความร้อนวาบ
คิดอ่านอะไรไม่ออก
ถือเป็นจิตที่เศร้าหมอง มีความมืดเป็นอกุศล
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าจิตเป็นเช่นนั้นก่อนตาย
อบายหรือทุคติภูมิก็เป็นที่หวังได้

ที่ผมเคยเห็นคนถูกรถชนกับตา
เขาเห็นรถเข้ามาแล้วไม่มีเลยนะครับ
ที่จะไหวติงคิดหลบ
มีแต่ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาตะลึง
อานุภาพความตกใจสะกดไม่ให้สติทำงาน
ซึ่งตามกลไกธรรมชาติของจิตแล้ว
หากจิตถือเอาความตกใจเป็นที่ตั้ง
ต่อให้มีบุญเก่าแค่ไหนก็รอเข้าคิวไปก่อนครับ
หลุมดำของความตกใจจะยึดตรึงไว้
ให้วนเวียนอยู่แถวที่ตายพักหนึ่ง
กว่าแรงสะกดของความตกใจจะคลาย
จิตดับจากความเป็นเปรตเฝ้าถนน
เคลื่อนไปอุบัติในภพใหม่ตามบุญบาปที่สั่งสมมา

แต่หากฝึกสติมาดีจนอยู่ตัว
สังเกตจากที่ว่าถ้าเห็นความโกรธได้เหมือนไฟไหม้ฟาง
คุณจะพบว่าแม้มีเรื่องน่าตระหนกใดๆเกิดขึ้นปุบปับ
จิตก็จะไม่ถูกสะกดหรือยึดตรึงไว้แน่นเหนียวเนิ่นนาน
ตรงข้าม จะเหมือนมีความสว่างเย็นช่วยมาช้อน
แม้กำลังฟุ้งๆคิดๆเรื่องอะไรอยู่
ความฟุ้งคิดก็จะระงับ หรือถูกตัดฉับ
กลายมาเป็นสติรู้สึกปลอดภัยอยู่กับสภาพกุศลของตนเองไป

ถ้าคุณเห็นความโกรธว่ามันวูบมาแล้ววาบหาย
อีกทั้งรู้สึกขึ้นมาจริงๆจังๆว่ามันไม่ใช่เรา
นั่นแหละครับ ถ้าต้องตายกะทันหัน มีสิทธิ์ได้มรรคผลแน่ๆ
เพราะเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนเกิดอะไรขึ้นกับกายใจ
จะเกิดธรรมชาติของกุศลจิตที่ผนึกกำลังได้หนักแน่น
ย้อนรู้เข้ามาเองว่ากายใจที่กำลังปรากฏ
สักแต่เป็นก้อนธาตุอะไรก้อนหนึ่งที่ใกล้ถึงเวลายุติ
จิตจะปล่อยออกหมด จากที่ยึดมั่นถือมั่นมานานว่าเป็นเรา ของเรา
ตรงขณะแห่งกายปล่อยหมด ไร้อุปาทาน ตั้งมั่นเป็นฌานนั่นแหละ
คือขณะของการเกิดมรรคผล รู้จักนิพพานเป็นครั้งแรก

หากผลโพลเป็นความจริง
ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
หมู่พวกเราในแวดวงธรรมะนี้
มีผู้มาสว่าง และจะไปสว่างยิ่งกันเยอะเหลือเกิน
แต่สำหรับท่านที่ตอบซื่อๆว่าคงตกใจกลายเป็นเปรต
ก็ไม่เป็นไรนะครับ
หลังจากทำโพลแล้วก็ฝึกสติกันใหม่ได้
ภพภูมิต่างๆไม่ได้บอกว่าเราสูงต่ำตายตัว
ทุกอย่างเปลี่ยนกันได้ เลื่อนกันได้
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกเส้นทางกรรมแบบใด
การเจริญสติก็เป็นกรรมนะครับ
เป็นกรรมใสที่เหนือกรรมดำกรรมขาว
อยู่บนเส้นทางนี้แหละ อย่าลังเลหรือเลือกไปไหนอื่นอีกเลย
ที่รออยู่ข้างหน้า ถ้าไม่สวรรค์ก็นิพพานนั่นแหละ

มาถึงเรื่องทวิตเตอร์ @Howfarbooks
ผมรามือระยะหนึ่งกะเก็บรวบทีเดียว
แต่หลายท่านอดรนทนรอไม่ไหว
ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่เสนอจะถ่ายทอดให้
ทุกท่านถ่ายทอดได้ดีกว่าผมกันหมด
ผมไม่อยากเลือกใครคนใดคนหนึ่งเลย
แต่มีคุณเฮด (น้องชายคุณฮาร์ต นักร้อง-พิธีกรชื่อดัง)
ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไมโครบล็อกของ Howfarbooks
จะโกอินเตอร์ได้ก็น่าจะด้วยความฉลาดเลือกคำของคนนี้เอง

head

ผมอยากทราบว่าทำไมคุณเฮดจึงใช้ภาษาได้ขลังนัก
สืบมาจึงทราบว่าคุณเฮด (อานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล)
จบโท
Management Science จาก University of California, San Diego
หลังเรียนจบได้กลับมารับราชการที่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ๖ ปี
ประจำที่คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) อีก ๖ ปี
จากนั้นจึงมาทำกับฟอร์ด ประเทศไทย

สรุปคือขอประกาศให้ทราบทั่วกันนะครับ
http://twitter.com/howfarbooks ตอนนี้ผมยกให้คุณเฮด
เป็นผู้ดำเนินการแทน
ข้อความตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน เป็นของคุณเฮดทั้งสิ้น
ซึ่งก็คงจะเห็นทั่วกันว่าดีขึ้นกว่าเดิมจมหู :-)

ขอทิ้งท้ายอีกนิดผมจะไปพูด
ในงานประชุมวิชาการพระพุทธศาสนานานาชาติเทิดพระเกียรติ งานฉลองพระชันษา ๙๖ ปี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เรื่อง พระพุทธศาสนาสู่ศตวรรษใหม่
วันที่ ๓ ตุลาคม เวลา ๑๔.๓๐-๑๕.๓๐ นี้ครับ

รายละเอียดของงาน

สถานที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

ดังตฤณ
กันยายน ๕๒

 

thai5

 

บทสัมภาษณ์คีย์บอร์ดคู่มือของคุณดังตฤณ
(จากคอลัมน์ a pen interview 108 นิตยสาร a day)

keyboard

 

๑. เล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่าคุณมาเป็นคีย์บอร์ดในมือของดังตฤณได้ยังไง?

ผมเป็นเทคโนโลยีสะดวกพิมพ์ที่ยังไม่ตกรุ่น เจ้านายของผมโปรดปรานเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการเขียนหนังสืออย่าบอกใคร และที่เขาเลือกผมก็เพราะแป้นพิมพ์บนตัวผมนิ่มพอดี รัวง่าย แถมตัวผมมีการทำงานเป็นแบบไวร์เลส ซึ่งหมายความว่าเจ้านายของผมเอาผมวางบนตักได้อย่างสะดวก และถอยห่างจากหน้าจอได้ตามต้องการ โดยไม่ติดสายคีย์บอร์ดเกะกะ เห็นแกบอกใครต่อใครว่าวางคีย์บอร์ดบนตักนี่ตัดปัญหาปวดไหล่จากการทำงานนานๆไปได้เลย และจากที่ผมเห็นนะ เจ้านายของผมจะใช้ปากกาแท่งละสามบาทหลากยี่ห้อ ตอนอยู่ห่างจากคอมพ์เป็นครั้งคราวเท่านั้น บางทีถึงขั้นจักจี้ เขียนผิดเขียนถูกเพราะลืมวิธีเขียนด้วยปากกาเลยทีเดียว!

 

๒. คุณพอจะรู้ไหมว่า ทำไมฆราวาสอย่างเขาจึงมุ่งมั่นกับการเขียนหนังสือธรรมะมากว่า ๑๘ ปี?

สมัยวัยรุ่นเจ้านายผมเป็นพวกอารมณ์แรง แบบติสต์ๆ ถ้าอยากรู้อะไรแล้วได้รู้ ก็จะอยากผลักดันความรู้นั้นไปให้คนทั้งโลกรู้ตาม เขาเชื่อว่าการล่วงรู้ความลับของชีวิต คืออภิสิทธิ์ของคนไม่กี่คน โชคดีที่เขาเป็นหนึ่งในนั้น มันไม่ยุติธรรม เขาจึงพยายามเอาตัวเข้าทุ่มกับการโพนทะนาบอกกล่าวในสิ่งที่ตัวเองรู้ ด้วยความเชื่อว่ายิ่งเริ่มเร็วเท่าไรยิ่งดี เพราะแค่อยากให้คนครึ่งโลกรู้ความจริงของชีวิตพร้อมกัน ก็ต้องใช้เวลามากหน่อย ว่ากันหลายสิบปี ไม่ใช่แค่สองสามปีแล้วจะเป็นไปได้

 

๓. คุณว่าอะไรทำให้เขานำธรรมะมาแปรรูปให้เป็นหนังสือฮาวทู โดยเฉพาะ เสียดาย คนตายไม่ได้อ่าน หนังสือ how to die อันโด่งดังของเขา?

‘เสียดาย... คนตายไม่ได้อ่าน’ ไม่ใช่แผนการเรียกร้องความสนใจด้วยชื่อหนังสือ มันเป็นกลุ่มคำที่ร้อยเรียงขึ้นในหัวของเจ้านายผม ขณะที่เขาคิดถึงคนป่วยหนักคนหนึ่ง ด้วยความสงสัยว่าเสียชีวิตไปหรือยัง จะทันได้อ่านหนังสือที่เขาคิดเขียนให้อ่านก่อนตายไหม เขารู้สึกน่าเสียดายจริงๆถ้าเขียนไม่ทัน คราวนี้คุณเดาออกแล้วใช่ไหมว่าชื่อนี้มาจากไหน มันมาจากความรู้สึก ความรู้สึกนั่นแหละจุดชนวนให้เกิดชื่อหนังสือเตะตาเตะใจขึ้นมา ตลอดจนกลายเป็นแรงบันดาลให้หัวแล่น คิดออกตลอดสาย คือถ้าบอกว่าก่อนตายน่าเสียดายไม่ได้รู้ ไม่ได้อ่าน มันมีอะไรอยู่บ้าง

 

๔. เขามีเสบียงแบบไหนในการเขียน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว หนังสือที่ตอบทุกข้อสงสัยในพุทธศาสนา?

เจ้านายของผมรู้จริงแค่เรื่องเดียว คือวิธีดูตัวเอง ซึ่งสิ่งนั้นแหละที่เขาพยายามบอก พยายามถ่ายทอด เขาพบว่าถ้าดูตัวเองเป็น อ่านออกไม่หลอกตัวเอง ไม่ปกป้องตัวเอง ทุกคำตอบที่น่าสนใจจริงๆจะรวมอยู่ที่นั่นหมด เจ้านายของผมพบว่าคนส่วนใหญ่วิ่งไล่หาคำตอบผิดๆกันทั้งชีวิต คือถ้าไม่สนใจเรื่องจิตและกายของตนเอง ที่เป็นเรื่องจริงสำหรับคุณยิ่งกว่าอะไร คุณจะมองออกนอกตัว แล้วเริ่มตั้งคำถามผิดๆ นำมาซึ่งวิธีหาคำตอบผิดๆ และก่อให้เกิดมุมมองผิดๆร่ำไป ฉลาดแค่ไหนตอนมีชีวิต ก็รู้สึกว่าโง่ตอนใกล้ตายกันทั้งนั้นแหละ เมื่อเจ้านายของผมมีวิธีดูตัวเองอย่างถูกหลัก ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ ก็เท่ากับชีวิตของเขาผูกโยงอยู่กับใจกลางพระพุทธศาสนา รู้จักตัวเองดี ก็รู้จักคนอื่นและสิ่งอื่นได้ ไม่น่าแปลกใจหากเขาจะตอบทุกคำถามได้ด้วยมุมมองแบบคนเห็นโลกด้วยตาเปล่า หรือเข้าใจโลกด้วยจิตที่ปราศจากอคติ

 

๕. เขานิยามงานเขียนของตัวเองว่า ‘ธรรมะเคลือบหวาน’ ในฐานะคีย์บอร์ดคู่ใจ คุณคิดว่าอะไรคือน้ำตาลในงานเขียน?

แต่ไหนแต่ไรมา ชาวไทยผูกคำว่า ‘ธรรมะ’ เข้ากับคำว่า ‘ขม’ ทั้งนี้เพราะวิธีสืบทอดพุทธศาสนาแบบไทยๆนั้น มักไม่พูดเรื่องจริงที่ใกล้ตัวตรงหน้า แต่กลับไปพูดเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงไกลตัวออกไป แถมจะใช้ศัพท์แสงที่คนพูดคนสอนเองยังไม่เข้าใจคำแปลกระจ่างเลยด้วยซ้ำ เวลาเจ้านายของผมลงนั่งเขียนนวนิยายอิงธรรมะ อย่างเช่นเรื่อง ‘ทางนฤพาน’ และ ‘กรรมพยากรณ์’ จึงใช้ความสามารถในเชิงภาษาที่เรียบง่าย ประพันธ์เรื่องให้สนุก ตื่นเต้น ขบขัน เป็นการล่อใจให้ติดตาม ตลอดจนอินไปกับตัวละครในเรื่อง กระทั่งคนอ่านไม่รู้ตัวว่าเข้าใจเหตุผลของกรรมวิบากตามตัวละครไปตั้งแต่เมื่อไร น้ำตาลของเจ้านายผมคือความฝันที่เหมือนจริง จับต้องได้ พอเอาน้ำตาลแบบนี้มาเคลือบธรรมะนะ ในที่สุดคนอ่านก็พบความจริงว่าธรรมะอันเป็นแก่นนั้น มีรสหวานชื่นยิ่งกว่าน้ำตาลเคลือบผิวนอกเสียอีก

 

๖. อะไรทำให้เขาเชื่อว่า นวนิยายเชิงธรรมะจะสามารถสื่อสารแก่นธรรมได้ไม่แพ้งานเขียนแบบ non-fiction?

เขาเห็นว่าตอนอ่านนิยายเรื่องโปรด ทุกคนจะมีชั่วขณะหนึ่ง ที่รู้สึกเหมือนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ตามท้องเรื่อง หรือกระทั่งแปลงร่างเป็นตัวละครสักตัวในเรื่อง ซึ่งหมายความว่าถ้าตัวละครนั้นมีเหตุกระทบให้พลิกมุมมองชีวิต ชีวิตของคนอ่านก็อาจถูกพลิกไปจริงๆ เจ้านายของผมปลื้มเสมอเมื่อได้ยินว่าบางคนอ่านนิยายของเขาแล้วสนใจใคร่ศึกษาพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง หรือบางคนก็ออกบวชไปเลย และที่ได้ยินบ่อยคือบางฉากซึ่งมีพลังกระแทกแรงๆ ถึงกับทำให้คนอ่านตั้งใจเปลี่ยนนิสัยของตนเองเสียใหม่เลยเชียว การเปลี่ยนแปลงชีวิตมาสู่แสงสว่างทางธรรมเป็นของจริง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจาก fiction หรือ non-fiction ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ใครแคร์เล่าว่าตัวเองใช้ประตูไหนพาออกจากห้องมืดมาอยู่ในห้องสว่าง สิ่งสำคัญสูงสุดคือตอนได้มาอยู่ในห้องสว่าง ไม่ใช่ตอนใช้ประตูบานไหนก้าวผ่านเข้ามา

 

๗. แล้วธรรมะใกล้ตัว นิตยสารธรรมะออนไลน์ล่ะ เขาตั้งใจจะสื่อสารกับใครเป็นพิเศษ

‘ธรรมะใกล้ตัว’ เป็นการต่อยอดจากการเขียนจดหมายข่าวให้แฟนคลับอ่านฟรี เจ้านายของผมเขียนจดหมายข่าวอยู่สองปี ชักขี้เกียจ อยากหยุด แต่ก็พบว่ามีจำนวนแฟนตามอ่านอยู่ร่วมหมื่น เลยเสียดาย อย่ากระนั้นเลย เขาลองประกาศหาแนวร่วม อาสาสมัครที่อยากช่วยกันยกระดับจดหมายข่าวให้เป็นนิตยสารออนไลน์ มีคอลัมน์และนักเขียนหลากหลาย นับตั้งแต่ธรรมะจากพระผู้บริสุทธิ์จากกิเลส ไปจนกระทั่งธรรมะจากปุถุชนกิเลสหนา พูดง่ายๆคือกลุ่มเป้าหมายของนิตยสารธรรมะใกล้ตัวนั้น ครอบคลุมตั้งแต่คนที่ยังติดหนังติดละคร ตลอดไปจนกระทั่งคนที่ใกล้ปลายทางพระนิพพานแล้ว ปัจจุบันมีคนตามนิตยสารอยู่หลายหมื่น เจ้านายผมก็ดีใจที่คิดถูก ที่ใช้หลักร่วมแรงร่วมใจ สร้างความแปลกใหม่ให้ปรากฏ ยิ่งวันทีมงานก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วไอเดียก็กระฉูดไม่หยุด อย่างเช่นกำลังจะทำโครงการ “สองวันฉันทำได้” ซึ่งน่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงๆ ลองเข้าไปดูเองแล้วกันที่ http://dlitemag.com/

 

๘. คีย์บอร์ดนักเขียนอย่างคุณช่วยวิเคราะห์หน่อยสิว่าทำไมหนังสือธรรมะถึงได้รับความนิยมมากในยุคนี้?

หนังสือไม่มีพลังเท่าปากคน ถ้าไม่มีคนพูด ไม่มีคนแสดงให้เห็นจริงว่าฉันเย็น ฉันเป็นสุข ฉันพ้นทุกข์ได้ ก็จะไม่มีแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างเชื่อว่าธรรมะเป็นของใกล้ตัวชาวบ้าน และปากคนนั่นเอง จะบอกต่อว่าเขาได้วิธีพ้นทุกข์มาจากหนังสือหรือสื่อชนิดไหน เจ้านายของผมคิดว่าหนังสือเป็นเพียงสื่อชนิดหนึ่ง และทุกวันนี้เขาก็กำลังคิดถึงสื่อชนิดอื่นอยู่

 

๙. เคยได้ยินมาว่าเป้าหมายในการเขียนหนังสือของดังตฤณคือให้คนได้รู้จักพระพุทธเจ้ามากขึ้น คุณพอจะขยายความหน่อยได้ไหมว่าเราควรจะรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างไร?

เวลาคุณเริ่มทำความรู้จักใคร คุณจะต้องไม่สนใจว่าเขามีหน้าตาท่าทางอย่างไร แต่ต้องฟังว่าเขาพูดอะไร และดูว่าเขาทำอะไร สำหรับการทำความรู้จักกับพระพุทธเจ้านั้น นอกจากฟังว่าพระองค์ตรัสอะไร มีปฏิปทาในการดำเนินชีวิตแบบไหน คุณควรทราบด้วยว่าพระองค์เข้าถึงสิ่งใด และจะเป็นไปได้ไหมที่คุณจะเข้าถึงสิ่งนั้นตาม เพราะพระองค์ทรงย้ำเสมอว่าการเห็นกายเนื้อหรือพระกรัชกายไม่ได้เป็นการเห็นพระองค์จริงๆ ต้องเห็นธรรมที่พระองค์เข้าถึงเท่านั้น ถึงจะอ้างได้เต็มปากว่าเห็นพระองค์แล้ว เข้าใจพระองค์แล้ว พูดอย่างกระชับที่สุดคือถ้าคุณรู้จักกายใจของตัวเองให้ดี เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน หลุดพ้นออกไปเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่งได้ ก็ชื่อว่าพบพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าองค์อมตะกันจริงๆ ไม่ใช่โฉมพระพักตร์ในอดีตที่เสื่อมได้ สาบสูญได้แต่อย่างใด

จากจุดเริ่มต้นในการเขียนบทความ ‘ปฏิบัติธรรมด้วยกระดาษ’ เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน ดังตฤณเขียนอะไรไว้มาก ที่กระจัดกระจายหายสูญก็ไม่น้อย ส่วนที่ยังคงอยู่ก็รวบรวมไว้ให้อ่านฟรีทั้งหมดที่ dungtrin.com ตลอดมา ผลงานเล่มล่าคือ ‘คู่มือกรรมพยากรณ์’ นั้น มีวางจำหน่ายแต่ในบุ๊คสไมล์ ร้านหนังสือในเครือข่าย 7 Eleven ในราคา ๓๙ บาท เพื่อจุดประกายให้คนไทยตื่นตัวกันทั่วประเทศ เห็นว่าพุทธศาสนาก็สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับความรักได้ละเอียดลออ หลากแง่หลากมุมอย่างที่คุณไม่เคยพบที่ไหน!


 


เนื่องในโอกาสที่ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก"
ทรงเจริญพระชันษาครบ ๘ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคมที่จะถึงนี้
คอลัมน์ "สารส่องใจ" จึงขออัญเชิญพระนิพนธ์ในพระองค์ท่าน
มาเป็นกำลังใจแก่พวกเราทีมงานและผู้อ่านทุกท่าน
ในตอน "
ความดีเปรียบประดุจแสงสว่าง" ค่ะ (-/\-)

เป็นที่รู้กันว่า ถ้าอยากทำสมาธิและเจริญสติได้ดี
ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์
แต่หากพลาดพลั้งทำผิดศีลไปแล้ว จะมีวิธีแก้ตัวอย่างไร
พบคำตอบจาก "คุณดังตฤณ" ที่คอลัมน์ "ดังตฤณวิสัชนา"
ในตอน "ผิดศีลไปแล้ว จะภาวนาได้อย่างไร" ค่ะ

สำหรับใครที่แอบรออ่านคอลัมน์ "เพื่อนคู่ใจไขปัญหา"
ฉบับนี้คงยิ้มออกแล้วนะคะ ^_^
เมื่อคุณ Tkorn ประสบปัญหาหลายอย่างพร้อมกัน
ทั้งเรื่องงาน เงิน และความรัก
"คุณ Aims Astro" จะไขปัญหานี้อย่างไร
ติดตามได้ในฉบับค่ะ

การสะสมความเกลียดชังไว้ในจิตใจ
"คุณชลนิล" เปรียบไว้ว่า ไม่ต่างอะไรกับการวางยาพิษตนเองค่ะ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ติดตามได้ที่คอลัมน์ "ห้องดับเพลิง"
ในตอน "โรคชังคนชั่ว" ค่ะ

ทุกปัญหามีทางออก รวมถึงปัญหาหนี้สินนะคะ
ใครที่เป็นหนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังเจอทางตัน
"คุณ North Star" มีทางออกให้ที่คอลัมน์ "กระปุกออมสิน"
ในตอน "กลยุทธ์หลุดหนี้ (ตอนที่ ๒)" ค่ะ ^_^







ข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจ

เนื่องในมงคลวโรกาศคล้ายวันประสูติครบรอบ ๙๖ พรรษา ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
ทีมงานขอเชิญชาว dlitemag ร่วมกันถวายพระพร
แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังมปริณายก
ตามรายละเอียดที่เว็บไซต์นี้ค่ะ _/|\_
http://www.sangharaja.org/home/index.php?gest=1



ชมรมพุทธธรรม การประปานครหลวง
ขอเชิญร่วมฟังธรรมเทศนา โดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ในวันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ น.
ณ อาคารอเนกประสงค์ สำนักงานใหญ่การประปานครหลวง
ถนนประชาชื่น(ตรงข้าม Sport City)
งานนี้ไม่ต้องสำรองที่นั่งค่ะ

แผนที่ : http://www.wimutti.net/karn_pra_pa.pdf



วันที่ ๒๔ กันยายนของทุกปีเป็นวันมหิดลค่ะ
ในวันนี้ จะมีน้องๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ออกขายธงและสติกเกอร์ที่ระลึก
เพื่อหารายได้สมทบทุนเข้าศิริราชมูลนิธิ สำหรับซื้ออุปกรณ์การแพทย์ และช่วยเหลือคนไข้อนาถา
หากท่านใดพบเห็นน้องๆ ก็อย่าลืมอุดหนุนกันนะคะ
หรือหากท่านใดสนใจร่วมบริจาค
สามารถโอนเข้าบัญชีได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ค่ะ ^_^

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช
บัญชีกระแสรายวัน ๐๑๖-๓-๐๐๐๔๙-๔
ชื่อบัญชี ศิริราชมูลนิธิ

ธนาคารทหารไทย สาขาศิริราช
บัญชีออมทรัพย์ ๐๘๕-๒-๐๘๙๙๕-๒
ชื่อบัญชี ศิริราชมูลนิธิ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
http://www.si.mahidol.ac.th/th/Mahidolday52.htm




ทีมงาน Make it happen to you
เปิดตัวโครงการ "Makeithappen2u โครงการ ๑: แบ่งปันหนังสือรักแท้...มีจริง"
เพื่อแบ่งปันรักแท้สู่สังคม
ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ *^^*
http://larndham.net/index.php?showtopic=35553







ประชาสัมพันธ์โครงการ "สองวัน...ฉันทำได้"
ตอน "สามเดือนไวเหมือนฝัน...ชาวสองวันจำจากลา T_Tv
"


เริ่มนับเวลาถอยหลังกันแล้วนะคะ กับโครงการ "สองวัน...ฉันทำได้กับธรรมะใกล้ตัว Lite"
จนถึงขณะนี้เรามีผู้เข้าร่วมโครงการกว่าร้อยท่านที่ได้แวะเวียนเข้ามาตั้งจิตอธิษฐานกันกับพวกเรา
แน่นอนว่าแต่ละท่านที่เข้ามาร่วมโครงการนั้น ก็ได้พกพาความตั้งใจที่ดีๆกันเข้ามา
และได้เอ่ยปากลั่นวาจาอธิษฐานต่อหน้าสาธารณชนในสิ่งที่ตนต้องการทำ
ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าอนุโมทนาและเอาใจช่วยกันเป็นอย่างยิ่งค่ะ _/|\_ ^_^

หลังจากเมื่อได้ออกมากล่าวคำอธิษฐานต่อหน้าเพื่อนฝูง
และลงมือทำในสิ่งที่อธิษฐานสำเร็จตามความตั้งใจไว้แล้ว
ผู้ร่วมโครงการจำนวนไม่น้อยเลยอาจจะได้รับรู้และสัมผัสถึงความรู้สึกที่แปลกออกไป
นั่นก็คือ รู้สึกถึงความเข้มแข็ง ความเชื่อมั่นในตัวเองที่เพิ่มพูนขึ้น
ว่าเราเองก็ทำได้ในสิ่งนั้นๆ นะ จากเดิมที่บางครั้งอาจลังเลใจว่าเรานั้นทำไม่ได้เลย

ซึ่งถ้าท่านใดได้สัมผัสความรู้สึกนั้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ทางทีมงานก็ขอกระซิบบอกดังๆไว้ ณ ที่นี้เลยนะคะว่า
คุณได้บรรลุเป้าหมายของโครงการนี้แล้วค่ะ ^^v

(แต่สำหรับท่านใดที่ยังไม่ทันได้รู้สึก ก็อย่าเพิ่งน้อยใจหรือเสียใจไปนะคะ
ลองอธิษฐานและทำใหม่ให้สำเร็จ ก็จะเกิดความรู้สึกได้ง่ายๆเช่นเดียวกันค่ะ)

เมื่อได้เคยสัมผัสถึงความรู้สึกเข้มแข็งในจิตใจของตัวเองแล้ว
ก็อยาก ขอเชิญชวนพวกเราให้นำพลังที่ได้นั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรากันต่อไป
แม้ว่าโครงการของเราจะสิ้นสุดลงไปแล้วนะคะ
มีหลายต่อหลายเรื่องเลยที่พวกเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เลยทันที
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการงานหรือการใช้ชีวิตในทางโลก
หรือในทางธรรมเพื่อดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ ตามเส้นทางสายเอกของพระพุทธเจ้าของเรา

สิ่งใดก็ตามที่ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่สว่าง
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในสิ่งที่ดีที่มีอยู่แล้วในตนให้ดียิ่งๆขึ้นไป
หรือจะเป็นการลด ละ เลิกการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่มีอยู่ ให้ลดน้อยลงจนไม่มีในที่สุด
เชื่อได้ว่าหลักการ "สองวัน...ฉันทำได้" นั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งสิ้นค่ะ

ในแต่ละการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆแต่ละครั้ง ล้วนต้องใช้พลังงานอย่างมากในการขับดัน
ขอเพียงเราไม่ท้อถอย ตั้งต้น นับหนึ่งใหม่ ในทุกๆวัน
รักษาความสดใหม่ของประกายความฝันของตัวเองไว้ให้เหมือนกับในวันแรกๆ
ค่อยๆก้าว ค่อยๆเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องอย่างมั่นคง
ถ้าทำเช่นนี้ได้ ก็ขอให้มั่นใจได้เลยว่า
ในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะถึงจุดหมายปลายทางที่เราตั้งไว้อย่างแน่นอนค่ะ

และทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ "สองวัน...ฉันทำได้"
จะกลายเป็น "ทุกๆวัน...ฉันทำได้" ในที่สุดค่ะ ^_^
v



ป.ล. สำหรับผู้ร่วมโครงการท่านใดที่ยังไม่ได้แจ้งชื่อที่อยู่มายังทีมงานนะคะ
กรุณากรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มนี้ --> คลิก
ทางทีมงานจะทำการจัดส่งของที่ระลึกไปให้ทุกๆท่านเมื่อเสร็จสิ้นโครงการค่ะ ^_^/



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP