สารส่องใจ Enlightenment

เล่นสงกรานต์ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖



เราเทียบนะ เทียบให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ระหว่างธรรมกับโลก
คือกิเลส เสียงกิเลส เสียงโลก จะเป็นดังที่เราว่านี้ ไม่ได้ศัพท์ได้แสง
เสียงอยู่อย่างนี้ละ เสียงดังลั่น หากไม่ได้ศัพท์ได้แสง
แต่เสียงไม่ได้ศัพท์ได้แสงนั่นละมันกวนโลก มันกวนทุกหัวใจคน
มันออกจากนี้ไปแล้วไปกระทบนั้นกระทบนี้ เรื่องราวนั้นเรื่องราวนี้
ก็ย้อนมาหาเจ้าของซึ่งเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุมันเกิดขึ้นที่นี่ ออกนะ
เสียงมันจะไม่มีสงบเลย กี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นอยู่อย่างนี้
อันนี้เทียบเข้ากับเสียงธรรม เสียงธรรมจะเงียบเลย ไม่มีอะไรกวน
ว่าสุขก็สุขไม่มีอะไรกวน ทุกอย่างเรียบหมด



นั่นละเทียบกันได้กับเสียงของโลก ของวัฏวน มันหมุนกันไปหมุนกันมา
เสียงมันจึงหาความสงบไม่ได้ เพราะกิเลสนี้จะไม่มีวันหลับนอน ในขณะที่มันออกทำงาน
มันจะหลับนอนตอนเวลาเจ้าของนอน ถ้าเรานอนหลับสนิท นั้นแหละคือกิเลสก็หลับสนิท
แหม เมื่อคืนนี้นอนหลับสนิทดี ไม่ฝันเลย คือวันนั้นสบายการหลับ
ถ้ามีการฝันรบกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว นอนก็ไม่ค่อยสบาย
ทีนี้เรื่องธรรมสงัด สงัดไม่มีฝัน ไม่มีอะไรกวนใจ
เรื่องธรรมเป็นความสงัดเงียบ
ท่านผู้ทรงขันธ์อยู่ที่จิตใจบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จิตของท่านก็สงบเงียบตลอดเวลา
จะมีแต่เสียงตา หู จมูก ลิ้น กาย
แล้วจะมีเสียงอยู่ข้างนอก แว้วๆ ๆ อยู่ในวงขันธ์วงสมมุติ



ส่วนจิตที่เป็นธรรมทั้งแท่งจะเงียบตลอด ไม่มีอะไรกวน
ที่ท่านให้นามว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
คำว่า
ปรมํ สุขํนี้คือโลกมีสมมุติ พอทำกรุยหมายปลายทางให้ว่า ความสุขอย่างยิ่ง
โลกจะได้สมมุติ จะได้คาดว่า โห สุขอย่างยิ่งนี้สุขยิ่งกว่าเราเป็นสุขนี้ สุขขึ้นเป็นลำดับลำดา
คือจิตมันจะคาดของมัน ถึงคาดไม่ถูกก็ตาม
เมาอารมณ์ เป็นบ้าอารมณ์ตนก็พอใจ ธรรมชาตินั้นจริงๆ มันเลย ปรมํ ไปเสียทุกอย่าง
นี่ที่ว่าธรรมเลยโลก เหนือโลก ท่านเหนืออย่างนั้น



ท่านผู้เป็นเช่นนี้เรียกว่าเที่ยงตลอดไปเลย
ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงตลอดอนันตกาล ท่านจึงให้ชื่อว่านิพพานเที่ยง
นี้เกิดมาจากการวิ่งเต้นขวนขวายของผู้บำเพ็ญเองนะ พยายามคุ้ยเขี่ยขุดค้น
หาได้วันละเล็กละน้อยอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ก็ค่อยเพิ่มขึ้นๆ
สุดท้ายก็เต็ม เมื่อเต็มก็ผ่านได้เลย
นี่ผู้มีความดีภายในใจ มีจุดหมายปลายทาง แม้จะไกลก็มีจุดหมาย
ไกลก็จะใกล้ วันนี้ถึง ไกลวันหน้าถึง ก็มีวันจะถึง
ไม่เหมือนผู้ที่ไม่ได้สร้างอะไรไว้เลย คุณงามความดีติดจิตติดใจไม่มี
มีตั้งแต่ความเสียหายทำลายตัวเอง ด้วยการทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย
ทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทีนี้ความชั่วมันก็เพิ่มเข้ามาได้



เช่นเดียวกับเราสร้างความดี เพิ่มความดีจนหลุดพ้นได้
ทีนี้สร้างความชั่ว สร้างมันเต็มเหนี่ยวแล้วมันก็จมได้
แต่มีผิดกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า
นิพพานนี้เที่ยงแล้วพ้นไปเลย ไม่มีอะไรพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง
แต่กฎของโลกอนิจจังนี้ แม้จะไปตกนรกนานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์
มันก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ช้าเร็วของมันเอง
นั่นละกว่าจะพ้นมา คือผู้ทำความชั่วมากๆ นี้จะจมลงไป
ประหนึ่งว่าจะไม่มีทางขึ้นมาได้เลย
เพราะนานแสนนานกว่าโลกอนิจจังจะค่อยแปรขึ้นมาได้นะ



ไม่มีใครที่เมตตากว่าพระพุทธเจ้า เพราะทรงเห็นทุกอย่าง
ทุกข์ขั้นมหันตทุกข์พระพุทธเจ้าก็เคยเจอมาแล้ว
สุขเป็นบรมสุขพระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่แล้วในพระทัย
แล้วประกาศธรรมสอนโลก ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว จึงไม่มีคำว่าผิด
เพราะเอาพระองค์เองซึ่งเป็นนักรู้ทุกอย่างออกประกาศแก่โลกจึงไม่มีอะไรผิด
อย่างท่านสอน ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนเรา จะมีมากน้อยเพียงไรก็ตาม
ความผิดพลาดแห่งธรรมมีผิดพลาดตรงนั้นนิดๆ หน่อยๆ ไม่มี
ตรงแน่ว ๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใดจะถูกต้องไปโดยลำดับลำดา
นี้จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบตั้งแต่ต้นทางจนถึงที่สุดของทาง
ทางนี้ตรงแน่วต่อจุดหมายปลายทาง
นี้คือธรรมของศาสดาสอนโลกด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบๆ



สิ่งใดที่พระองค์ทรงตำหนิแล้วอย่าพากันฝืนนะ
ฝืนก็คือการทำลายตัวเองมากน้อยนั้นแล
เราฝืนมากทำลายตัวเองมาก ฝืนน้อยทำลายน้อย
ไม่ฝืน พยายามตะเกียกตะกายตามพระพุทธเจ้า
ฝืนก็ฝืนกิเลสเพื่อก้าวตามพระพุทธเจ้านี้จะไม่ผิดพลาด จะค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย
ถึงระยะที่จะรวดเร็วมันก็รวดเร็วเอง
เหมือนรถที่ออกจากที่จอดใหม่ๆ มันก็ค่อยเคลื่อนย้ายออกไป เอื่อยๆ
พอได้จังหวะแล้วมันก็พุ่งๆ
การเคลื่อนย้ายของเราด้วยคุณงามความดีก็เหมือนกับเขาขับรถ
เบื้องต้นไม่ค่อยเข้าอกเข้าใจการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลภาวนา
ตลอดการรักษาตัวเพื่อความดีทั้งหลายนี้
มันมีขัดๆ ข้องๆ ก็เหมือนกับว่าเอื่อยอ่ายๆ ผิดพลาดบ้าง



แต่ครั้นนานไปๆ ก็เหมือนรถออกจากที่จอด แล้วลงถนน ทีนี้ก็พุ่งๆ
ยิ่งถนนตรงแน่วเท่าไร ทางดีเท่าไรรถยิ่งพุ่งเร็ว
การบำเพ็ญของเราเมื่อแรกมันก็ขลุกขลัก
ให้พึงทราบว่าการขลุกขลักนี้มันมีเสี้ยนมีหนามอยู่นั้นด้วย
คือกิเลสนั้นแหละทำให้ขลุกขลัก ไม่ให้ราบรื่น มันกีดมันขวาง
เมื่อเราปัดกวาด หรือปัดออก ๆ ไปเรื่อยก็ค่อยราบรื่นไปๆ
ทีนี้เวลาทำไปๆ ก็เหมือนรถออกจากที่ เข้าสู่สายทาง ได้จังหวะแล้วรถก็พุ่ง ๆ ตัว
อันนี้การบำเพ็ญของเราเมื่อได้จังหวะของความดีทั้งหลายแล้วจะพุ่งอย่างนั้นเหมือนกัน
ไม่มีคำว่าถอย มีแต่พุ่ง ๆ เรื่อยไป จนถึงจุดที่หมาย



เพราะฉะนั้นจึงให้ใช้ความพยายาม จำไว้ทุกอย่างๆ ที่เบื้องต้นขลุกขลัก
การจะสร้างความดีต้องได้เจออุปสรรคมากน้อย คือกิเลสอยู่โดยดี
ต้องได้พยายามตะเกียกตะกาย เวลานานเข้ามันก็ค่อยชินเข้า
เพราะถูกบังคับตลอด บังคับเข้าสู่ความดีมันก็ค่อยชิน
ก็เหมือนทางชั่ว ทางชั่วก็อาศัยเพื่อนชักชวนบ้าง บังคับบ้างนะ
ส่วนนิสัยสันดานเจ้าของอยากจะทำความชั่วเสียจริงๆ แล้วมีน้อยมาก
ส่วนมากมักจะถูกเพื่อนฝูงชักชวน แล้วบีบบี้เอาโดยทางตรงทางอ้อม
แล้วก็ทำความชั่วไปตามเขา
เมื่อรู้ช่องรู้ทางจนกลายเป็นนิสัยแล้ว ตัวเสียเองเป็นผู้นำตัวเอง
มิหนำซ้ำยังนำผู้อื่นทำความชั่วได้อีก
คือมันคล่องตัวอยู่ในตัวของมันเอง



การสร้างความดีมีวันจะราบรื่น มีวันจะหลุดพ้นจากทุกข์ มีจุดหมายปลายทาง
ไม่เหมือนการสร้างความชั่ว
การสร้างความชั่วนี้ลำบากลำบนเหมือนกันกับทางกุศล ทางดีนั้นแหละ
แต่ใจมันสมัคร ประหนึ่งว่าไม่มีลำบากลำบน ความจริงมันลำบากเหมือนกัน
คนทำชั่วคนทำดีก็อาศัยการทำเหมือนกัน
ต้องใช้กำลังวังชา ความพินิจพิจารณา
ความพยายามในทางหรือในหน้าที่ของตนเหมือนกัน จึงต้องมีทุกข์เหมือนกัน
แต่จิตใจพอใจแล้วมันก็เหมือนไม่ทุกข์
เหมือนผู้บำเพ็ญความดีทั้งหลายนี้ ถึงจะทุกข์ขนาดไหน เมื่อใจยินดีแล้วมันก็ไม่ทุกข์นะ
บืนไปเท่าไรบืนได้ด้วยความพอใจๆ แล้วก็พุ่งไปได้เลย



คนสร้างความดี มีจุดหมายปลายทาง มีที่ยึดที่เกาะ และถึงจุดที่หมายได้
ไม่เหมือนคนทำความชั่ว ซึ่งทำเท่าไรก็ทำลายตัวเองไปตลอด
หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ คือคนทำความชั่วนั้นแหละ
ให้พากันจดจำเอานะ ให้เอาวันละเล็กละน้อย
เฉพาะการภาวนาได้สอนพี่น้องทั้งหลายแล้ว
ขอให้ทำความสงบใจในวันหนึ่งๆ ด้วยพุทโธ หรือ ธัมโม หรือสังโฆ
โดยมีสติเป็นเครื่องกำกับคำบริกรรมของตน ให้สติจ่ออยู่กับคำบริกรรมนั้น
จะได้เวลาเท่าไรเอ้าพยายามๆ มันจะมีวันหนึ่งแน่นอนเราไม่สงสัย
คือจิตนี้เมื่อทำอยู่ตลอด แล้วจะมีเจอจนได้ ก็เราหาของดี



เหมือนอย่างเราขุดภูเขาทั้งลูก แร่ธาตุที่ดีเยี่ยมอยู่ในนั้น
ไม่ใช่ว่าขุดจ๊อกๆ ลงไปจะไปเจอเอาทีเดียว
ขุดแล้วขุดเล่าไม่เจอๆ ขุดไปขุดมาก็เจอ เพราะแร่ธาตุมีอยู่ ความดีมีอยู่ ธรรมมีอยู่
เป็นแต่เพียงกิเลสมาปกปิด จึงขุดกิเลสออก ขุดไปขุดมาก็เจอ เจอความสงบของใจ
นึกพุทโธๆ เหมือนกับว่าขุดตลอด เอาจอบเอาเสียมขุดลงไป แล้วก็ไปเจอพุทโธจนได้
คือความสงบเย็นใจ จิตใจสว่างไสวขึ้นมาได้ในวันหนึ่งไม่สงสัย
นี้ละการอุตส่าห์พยายามในทางด้านจิตใจ แม้เราจะไม่เจอไม่เห็นก็ตาม
การภาวนามีอานิสงส์มากกว่างานทั้งหลายนะ



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/2mB8WA9


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP