ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะหายกลัวผีได้อย่างถาวร



ถาม - ช่วงนี้ดิฉันสนใจธรรมะเกี่ยวกับเรื่องอนิจจัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ทำให้รู้สึกปลงได้มากขึ้นและไม่กลัวตาย แต่ก็คงยังกลัวผี กลัวความมืดอยู่ดี
แบบนี้จะเรียกว่าปลงได้จริงๆ หรือว่าแค่อุปาทานไปเองคะ
แล้วควรจะทำอย่างไรให้หายกลัวผีได้สนิทใจจริงๆ เสียที



ความกลัวตายกับความกลัวผี มันคนละส่วนกันนะ
คำถามของคุณที่ว่ากลัวตายกับกลัวผี มันมาด้วยกันได้หรือเปล่า ตั้งโจทย์อย่างนี้ก็แล้วกัน
คือคุณไปเข้าใจว่าความกลัวตายกับความกลัวผี เป็นความกลัวชนิดเดียวกัน
ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่นะ ขอให้เปรียบเทียบอย่างนี้ก็แล้วกัน
บางทีเราอาจจะไม่นึกกลัวตายขึ้นมา ถ้าหากความตายมันไม่มาอยู่ตรงหน้าจริงๆ
คือบางคนนะจะรู้สึกว่าแค่คิดถึงก็ขนหัวลุกแล้ว
แค่นึกว่าบุคคลอันเป็นที่รักจะต้องจากเราไป ก็ทนไม่ได้แล้ว
แบบนี้เรียกว่าอุปาทานไปล่วงหน้า
ยังไม่ได้มีของจริงมาให้สัมผัส ไม่ได้มีของจริงมาให้กระทบกระเทือนใจ



ถ้าของจริงหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า สมมุติเรานั่งไปในรถที่เบรกแตก คนขับบอกว่า อุ๊ย เบรกแตก
นี่อย่างนี้เรียกว่าความตายอาจจะเข้ามาเคาะประตูเรียกอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว
แล้วเรารู้สึกขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังว่ามีสิทธิ์ตายได้แน่ๆ
ถ้าหากว่าคนขับบังคับพวงมาลัยไม่ดีนิดเดียว คว่ำคอหักตายได้เลย อะไรแบบนั้น
นี่เรียกว่าความตายมาประชิดตัวของจริงนะ
ถ้าหากว่าเราจะรู้ตัวว่าความกลัวตายมันไม่มีอยู่ในจิตใจจริงๆ ก็ไปรู้เอาตอนนั้น
ไม่ใช่มารู้เอาด้วยการปลง หรือว่าไปอ่านคำสอนหรือว่าฟังพระเทศน์เกี่ยวกับมรณานุสติ
แล้วก็จะเป็นมาตรวัดได้ว่าเรากลัวหรือไม่กลัวนะครับ



ส่วนเรื่องกลัวผี มันเป็นอะไรที่มาประชิดตัวได้ง่ายๆ
เช่น คนเข้าไปอยู่ในที่ที่มืด
หรือเข้าไปอยู่ในบรรยากาศที่เราเคยปรุงแต่ง อุปาทานไป คุ้นเคยไป
ว่านี่เป็นสิ่งที่จะไปเรียกผีมาได้ ความมืด นึกว่าความมืดเรียกผีมาได้
หรือว่าเห็นที่ที่มีต้นไม้ใหญ่เยอะๆ นะ แล้วเคยนึกกลัว เคยถูกหลอกมา
เคยถูกคนอื่นไซโค (
psycho) มา ว่านี่แถวนี้ผีเฮี้ยนอะไรแบบนั้น
พอไปกระทบกระทั่งกับผัสสะแบบที่เราเคยอุปาทานไปว่าน่าจะมีผี
อย่างนี้ก็เกิดความกลัวขึ้นมาได้เป็นธรรมดา


เพราะฉะนั้น สรุปว่าเรื่องความกลัวหรือไม่กลัว
ไม่ใช่ว่าเราไปนึกเอาเอง นึกอยู่ในใจ ในสถานการณ์ที่ดูอบอุ่นปลอดภัย
แล้วจะวัดกันได้ว่าเราหายกลัวอะไรแล้วหรือยัง
ให้ดูตอนที่มีสถานการณ์วัดใจ หรือว่ามีผัสสะมากระทบจังๆ
ว่าเรากำลังกลัวอะไรได้บ้าง


ความกลัวขอให้ทราบว่ามีมูลมาจากมูลเดียวกัน คือโทสะ
โทสะเป็นมูลให้เกิดความกลัว เป็นปฐมเหตุให้เกิดความกลัว
หมายความว่าถ้าเราไม่ชอบใจอะไร เรามีความขัดเคืองอะไรมากๆ
แล้วจิตสามารถกระโดดเข้าไปยึดสิ่งนั้นได้แน่นๆ
ตัวนี้แหละที่ก่อให้เกิดความกลัวขึ้นมา
ตัวนี้แหละที่ก่อให้เกิดความมืด ความทึบ อาการหดตัวของจิตขึ้นมา
ถ้าอาการหดตัวของจิตเกิดขึ้นมาแล้ว
เราสามารถเห็นนะว่าอย่างนี้เรียกว่าเป็นอาการหดตัวของจิต เป็นความมืดของจิต
แล้วเห็นว่าอาการมืดหรืออาการหดตัวของจิต มันแสดงความไม่เที่ยงได้


อย่างตอนแรกนะ สมมติมีความมืดเข้ามากระทบ
แล้วความมืดนั้นทำให้นึกถึงผี รู้สึกว่าเป็นประตูเรียกผีมาหาเราได้
เหมือนกับจะมีอะไรมาทำร้ายเราได้
อย่างนี้ก็เรียกว่าเราเจอผัสสะกระทบให้จิตหด
หรือผัสสะกระทบให้จิตมีความมืดคลุ้มขึ้นมา เกิดความกลัวขึ้นมา
ถ้าหากเรายังนึกถึงผีที่ไม่มีตัวตน ผีที่ยังไม่ปรากฏตัวมากๆ อย่างนั้นเรียกว่าจิตส่งออกนอก



แต่ถ้าหากเราเห็นว่าอาการของใจ มีความมืด มีความหด มีความรู้สึกทึบ มีความรู้สึกแน่น
อย่างนี้แป๊บๆ ไม่เกินสองสามอึดใจนะ
หายใจได้สองสามครั้ง เราจะรู้สึกขึ้นมาว่า เออ อาการหดตัวของจิตมันคลายออก
ดูได้อย่างไรว่ามันคลายออก
คืออาการที่จินตนาการไป หรืออาการกลัวสุดขีด รู้สึกจะทนไม่ได้นี่มันลดลง
นี่แหละพออาการกลัวสุดขีดมันลดลงนะ
เราจะรู้สึกจิตใจมันปลอดโปร่ง จิตใจมันสบายขึ้น
นี่เรียกว่าเห็นความไม่เที่ยงของอาการหดแคบของจิตแล้ว



ถ้าเห็นไปเรื่อยๆ นะ มันอาจจะยังกลัวอยู่ แต่กลัวน้อยลง
แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คืออาการปรุงแต่งไปเองของจิตนั่นแหละ
เราจะรู้สึกขึ้นมาชัดๆ เลยว่าทั้งหลายทั้งปวงนะ
ส่วนใหญ่แล้วมันเกิดขึ้นที่ความคิด ที่จินตนาการ ที่อุปาทานไปเองทั้งสิ้น
ไม่ได้มีอะไรที่เข้ามากระทบเราอยู่จริงๆ หรอกนะ
แม้แต่สมมติว่านะเราเจริญสติไปเรื่อยๆ แล้วสามารถเห็นอาการหดแคบของจิต
แล้วก็เห็นความไม่เที่ยงของอาการหดแคบของจิตไปนานๆ เข้า
จนเกิดความเคยชิน จนเกิดความชำนาญ
ชำนาญที่จะมีสติ ชำนาญที่จะเห็น ณ ขณะจุดเกิดเหตุ
เวลาที่มันเกิดขึ้นทุกครั้ง เราเห็นทุกครั้ง
ผลในระยะยาวก็คือว่าต่อให้เกิดสถานการณ์จวนเจียนเข้ามาพิสูจน์ใจจริงๆ
ว่าเรายังกลัวตายอยู่หรือเปล่า
เราเห็นอาการที่จิตมันกลัวตายเวลาใกล้จะประสบอุบัติภัย
หรือว่ามีสถานการณ์ล่อแหลมเข้ามา
จิตมันจะเกิดอัตโนมัติเข้ามาเห็นอาการหดแคบของตัวเอง เห็นความมืดของตัวเอง
แล้วรู้สึกว่า เออ มันมีอยู่แค่นี้เอง ไม่เห็นมีอะไรเลย



ที่สุดแล้วต่อให้จะต้องตายไปจริงๆ
ถ้าหากจิตไม่หดแคบมันจะมีสติ มันจะมีความสว่าง มันจะมีความปลอดโปร่ง
แล้วความปลอดโปร่ง ความมีสตินั่นแหละ ตัวนี้แหละที่จะทำให้ไม่กลัว
ตัวความรู้สึกว่า เออ ไม่เห็นจะมีอะไร นอกจากอาการของใจ
ทั้งชีวิตของเรา มีแต่อาการของใจอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏอยู่ตลอดเวลา
แล้วก็คลี่คลายกลายเป็นอื่นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน



เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ นะ
เมื่อรู้สึกว่าแม้กระทั่งเกิดเหตุจวนเจียนมาพิสูจน์ใจ เราก็ไม่กลัวตาย
ในที่สุดมันจะรู้สึกแบบที่ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป เกิดความแจ่มแจ้งขึ้นไป
ว่าอาการของใจ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
สักแต่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มันปรากฏปรุงแต่งด้วยอะไรอย่างหนึ่งมากระทบ
ถ้าหากว่าเราไม่คิดต่อ ถ้าหากว่าเราไม่ปักใจคิดมากลงไปในอาการนั้นๆ
ในที่สุดอาการนั้นๆ จะแสดงความคลี่คลายกลายเป็นอื่นให้ดูเสมอ
นี่ตรงนี้มันจะเป็นปัญญา มันจะเป็นพุทธิปัญญานะ เกิดความสว่างแจ่มแจ้งขึ้นมา
โดยที่ไม่มีความคิดต่อ ไปในทางที่ปรุงแต่งแบบอื่นๆ นี่ตรงนี้แหละที่จะเกิดสมาธิ



จำไว้เลยว่า เมื่อเกิดการเห็นภาวะความไม่เที่ยงของใจ แล้วไม่มีความคิดปรุงแต่งต่อ
ไม่มีอาการคิดซ้ำ ไม่มีอาการย้อนกลับมาว่า เอ๊ะ! มันจะมีอะไรหรือเปล่า
มีแต่ความนิ่งเงียบ มีแต่ความรู้สึกปลอดโปร่งอยู่
นั่นน่ะตรงนั้นน่ะ สมาธิที่ท่านเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ
จะปรากฏต่อเนื่องมาในเวลาไม่นานนะครับ
ก็ฝึกไปจนกระทั่งมีความตั้งมั่น อย่างนี้แหละที่มันจะหายกลัวผีได้จริงๆ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP