สารส่องใจ Enlightenment

การคบเพื่อนเพื่อทำปริญญาในจิตใจ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่




พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตา ตรัสว่าการคบเพื่อนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ถ้าเราคบค้าสมาคมกับเพื่อนที่ดีๆ ชีวิตของเราก็เจริญรุ่งเรือง
แต่ถ้าเราคบกับเพื่อนที่ไม่ดี ชีวิตของเราก็จะตกต่ำ

พระพุทธเจ้าเมตตาตรัสสั่งสอนว่า “การคบเพื่อนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ”


ทำอย่างไรเราถึงจะได้คบเพื่อนที่ดี มีเพื่อนที่ดี?


ประการแรก เราต้องเริ่มที่ตัวก่อน เราต้องเป็นดี เป็นคนขยัน
เป็นคนอดทน กระตือรือร้น กระทำแต่สิ่งที่ดีๆ
สิ่งไหนไม่ดีเราไม่ทำ ไม่พูด ไม่ปฏิบัติ
ไม่ติดสุข ไม่ติดสะดวกติดสบาย ติดนอนตื่นสาย เป็นคนอืดอาด



ต้องทำความดีแข่งกับเวลา ขยันมากๆ พอใจ สุขใจในการทำความดี
เป็นคนกตัญญูกตเวที เชื่อฟังพ่อแม่ เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา
การงานหนักก็เอาเบาก็สู้ อดทน รู้จักคิด รู้จักผิด รู้จักถูก
ไม่เป็นคนเอาแต่ใจตนเอง เป็นคนเอาแต่อารมณ์ตนเอง
เป็นคนที่ให้แต่พ่อแม่บุคคลอื่น เขาเอาอกเอาใจ
ต้องเป็นคนช่วยเหลือคนอื่น เอาใจคนอื่น ให้ความรักความเมตตาคนอื่น

“เป็นคนพันธุ์ขยันไม่เป็นคนพันธุ์ขี้เกียจขี้คร้าน”


ไม่เป็นคนอ่อนแอ ว่าตนเองสุขภาพไม่ดีมีโรคโน้นโรคนี้
มันเป็นโรคทางกายอยู่แล้ว ทีนี้มันก็เลยเป็นโรคทางใจขึ้นมาอีก
ไม่เป็นคนทิฐิมานะมาก ปากจัด เจ้าอารมณ์ ชอบพูดย้อนศร
มีอาการกิริยาบึ้งตึง ไม่พูดไม่จา นำพาบรรยากาศสิ่งแวดล้อมให้เป็นพิษ
จิตใจเจ้าอารมณ์ สั่งสมแต่ความขัดเคือง ความโกรธ ความพยาบาท เอาแต่ใจตัวเอง
ถ้าเราเป็นคนอย่างนี้นะ เพื่อนที่ดีๆ ที่ไหนเขาก็จะคบค้าสมาคมกับเรา



คนเรานี้ถ้าไม่มีเพื่อนมันทุกข์มาก คนไม่มีเพื่อนแสดงว่าเป็นคนที่ไม่น่ารัก ไม่น่านับถือ
ปกติคนเรานะ จะคบค้าสมาคมกับใครก็ต้องได้รับผลประโยชน์จากคนผู้นั้น
การคบค้าสมาคมกัน ถ้าไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วก็คบกันลำบาก
เช่นเราจะคบค้าสมาคมกับพระพุทธเจ้า เช่นเราจะคบค้าสมาคมกับพระอรหันต์
ก็เพราะเราต้องการผลประโยชน์จากท่าน
ถ้าเราคบกันท่านแล้วเราจะได้รับประโยชน์ ได้มรรคผลนิพพาน
ได้ธรรมะคำสั่งสอนที่ประเสริฐจากท่าน
ถ้าเราคบค้าสมาคมกับท่าน จะนำเราสู่คุณธรรม นำเราสู่มรรคผลนิพพาน
ท่านเป็นตัวอย่างพาทำแต่สิ่งที่ดีๆ พูดแต่สิ่งที่ดีๆ
ผลประโยชน์ก็เกิดแก่เรามากมาย
ท่านเป็นตัวอย่าง ท่านบอก ท่านสอน ท่านนำเราสู่หนทางที่ประเสริฐ



เช่นเราเป็นพระเป็นเณรอย่างนี้ ตามหลักเกณฑ์นี้
พระพุทธเจ้าท่านให้เราคบให้เราเกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์ กับเพื่อนภิกษุสามเณรผู้ที่ไว้วางใจได้
เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ข้อวัตรปฏิบัติเข้มแข็ง
เวลาไปอยู่ใกล้ เราไปสมาคมก็จะได้พูดแต่เรื่องประพฤติปฏิบัติ
ไม่พูดเรื่องทางโลก ทางกิน ทางเที่ยว ทางที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ถ้าเราไปคบกับเพื่อนที่มีอินทรีย์ยังอ่อน หรือยังอ่อนกว่าเราอีก ก็มีแต่จะฉุดลากกันลงที่ต่ำ



เราอยู่ในบ้านในสังคม ผู้ที่อินทรีย์บารมียังอ่อนอยู่นั้นมีมาก
ไม่ว่าเพื่อนฝูง การทำมาหากินน่ะ ส่วนใหญ่มีแต่ชักนำเราไปสู่ที่ต่ำ
พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาบอกเราว่าการคบเพื่อนนี้สำคัญนะ
เราไปอยู่กับหมู่ที่เขาขี้เกียจขี้คร้าน มันก็ขี้เกียจขี้คร้าน
เราไปอยู่กับพวกเด็กแว้น มันก็เป็นเหมือนเขา
ไปอยู่กับกลุ่มที่เขาเสพยา มันก็เป็นเหมือนเขา
ยากที่จะไม่เป็นเหมือนเขา



ถ้าเราอยู่ในบ้าน อยู่ในสังคม อยู่ในโรงเรียน ถ้าเพื่อนส่วนใหญ่มันไม่ดี
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราร่วมกินร่วมนอน
คบค้าสมาคมกันก็พอสมควรนะ นิดๆ หน่อยๆ ก็เพียงพอ
ถ้าเราคลุกคลีร่วมเป็นร่วมตาย ชีวิตของเราต้องตกต่ำแน่นอน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนไม่ดีคนเดียวมันสามารถทำให้คนดีๆ เป็นร้อยเป็นพันเสื่อมไปด้วย



สิ่งสำคัญที่สุดก็ตัวเรานี้แหละ มันมีทั้งสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดีอยู่ที่จิตที่ใจของเรา
“มันมีทั้งพญามารและพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเรา”



พญามารก็ได้แก่ความขี้เกียจขี้คร้านนี่แหละอยู่ในใจของเรา
เราอย่าไปคบค้าสมาคม มันจะพาเราไปทำ ไปพูด ไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี
ให้เราเชื่อพระพุทธเจ้า อันไหนมันดีเราถึงคิด ถึงพูด ถึงทำ
ให้เรามีความตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า เป็นคนละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
คนเราต้องแก้ไขที่ตัวเอง ปรับปรุงที่ตัวเอง
ถ้าเราไม่แก้ไขที่ตัวเอง ปรับปรุงที่ตัวเอง มันจะเปลี่ยนแปลงตัวได้อย่างไร
มันก็เป็นคนเก่านั่นแหละ มันจะเป็นคนดีคนมีประโยชน์ไปไม่ได้



“คนดีต้องแก้ไข คนที่ฉลาดมีปัญญาต้องปรับปรุง”
เริ่มต้นเราต้องเป็นคนขยันคนเสียสละ “คนเรานี้ถ้าไม่เสียสละมันไม่เจริญ”
เป็นการสะสม หมักหมมสิ่งที่มันไม่ดีไว้ในจิตในใจ
คนเราน่ะเกิดมาก็ครั้งเดียว ตายก็ครั้งเดียว พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำความดี
เวลารํ่ารวย มีฐานะ มียศ มีตำแหน่ง มีคุณธรรม
ใครเขาก็อยากมาเป็นเพื่อน ใครเขาก็อยากเป็นญาติเป็นวงศ์ตระกูล


อย่าไปติดความสุขความสะดวกความสบาย ให้เสียสละไว้มากๆ
เราเกิดมานี้เรามีภาระนะ เรามีร่างกาย เราต้องให้ปัจจัย ๔ แก่ร่างกาย
คือให้อาหาร ให้ที่อยู่อาศัย ให้เสื้อผ้าอาภรณ์ ให้ยารักษาโรค แก่ร่างกายเรา
ถ้าเราไม่ขยันไม่หมั่นไม่เพียร ปัจจัย ๔ เราจะเอามาจากที่ไหน
เราช่วยเหลือตนเองได้ ยังจะต้องช่วยเหลือพ่อแม่ญาติพี่น้อง ประเทศชาติบ้านเมือง
เราจึงมีความจำเป็นที่ต้องขยันหมั่นเพียร อดทนให้มากๆ ไว้



พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราโทษตนเองว่าเราจน เราลำบาก
ถ้าจะโทษ ก็โทษว่าเราขยันไม่พอ
เราเป็นคนขี้เกียจมันถึงจนทรัพย์สินเงินทอง จนใจ จนปัญญา มันจนทั้งกายทั้งใจ
เพราะเราเป็นคนขี้เกียจ เป็นพันธุ์ขี้เกียจ พันธุ์ใช้ไม่ได้ เป็นพันธุ์เปรต พันธุ์ผี พันธุ์พญามาร
เราต้องปรับปรุงตนเอง เป็นคนพันธุ์ดี เป็นพันธุ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้พันธุ์ขยันนะ
เทคโนโลยีมันมีมาก ความสะดวกสบายมันมีมากเท่าไร คนมันยิ่งติดยิ่งขี้เกียจ



เขาจะแก้ไขฐานะ แก้ไขการงาน เขาก็แก้ที่จิตที่ใจ ให้เป็นคนพันธุ์ขยัน
เมื่อเราเป็นคนขี้เกียจ ลูกเกิดมาหลานเกิดมาก็ต้องเป็นพันธุ์ขี้เกียจ
กลายเป็นพันธุ์ทุกข์ยากลำบากยากจน เป็นคนไม่ปรับปรุงไม่พัฒนาสายพันธุ์
พืชผักผลไม้ต่าง ๆ เขายังมีการปรับปรุงสายพันธุ์นะ
แต่มนุษย์เรานี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เน้นการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อให้สายพันธุ์ดี



การพัฒนาสายพันธุ์มาพัฒนาให้เป็นคนดีคนขยันนี้แหละ
ถ้าเราไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเอง เราก็เป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป เป็นทาสของพญามาร
สุดท้ายเราก็เป็นลูกจ้าง เป็นทาสของเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน เป็นคนงานบริษัทโน้นบริษัทนี้
สาเหตุก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจ ความขยันไม่เพียงพอ



การเรียนการศึกษาของเรามันน่าจะไปไกลกว่านี้มากอยู่นะ
ก็เพราะความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่พากเพียร
ความไม่เอาใจใส่ ความไม่กระตือรือร้น
มัวแต่เอาเวลาไปใช้ในการโทรศัพท์ ไปเล่นอินเตอร์เน็ต
ดูหนัง ฟังเพลง ดูคอนเสิร์ต ไปเที่ยว ไปเล่น สรวลเสเฮฮา
เวลาเรามันจำกัด ปีหนึ่งก็ ๓๖๕ วัน มี ๓ เทอม
เราเป็นคนไม่รู้จักคุณค่าของเวลา เวลาจะสอบเราจะเอารู้ความสามารถมาจากที่ไหน
เพราะเราอ่านหนังสือท่องหนังสือไม่เพียงพอ บาปกรรมมันเลยตามสนองเรา
ถึงเวลาสอบเหงื่อกาฬกำปากกาจนมือเปียกหมด คิดอะไรไม่ออก



คนเรามันชอบตั้งแต่แต่งกาย แต่งตัว แต่งหน้า
เพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดูดี ดูโก้ ดูสวย มันยังใช้ไม่ได้
มันต้องแต่งปฏิปทา แต่งการประพฤติปฏิบัติของเรา
คนเรานะ ความสวยความงามมันอยู่ที่เป็นคนดีเป็นคนขยัน
คนสวยๆ งามๆ อยู่ร่วมรวมกันไม่กี่วัน เดี๋ยวก็เห็นยักษ์เห็นมารออกมา



เราจะไปโทษคนอื่นว่าเขาไม่รักเรา เขาไม่เคารพนับถือเรา พูดอย่างนี้มันไม่ถูก
คนเราจะรักเคารพใครเขาต้องดูให้ดีๆ ถึงจะเคารพรักได้
เพราะคนเรามันเคารพกันอยู่ที่ความดี มันต้องมีความดีให้รักให้เคารพ ถึงจะเคารพได้
เราจะไปว่าคนอื่นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้
เพราะปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ปฏิปทาของเราเอง
เราอยู่กับคนอื่น เราก็ต้องเป็นผู้ให้คนอื่น
ไม่ใช่คอยเผาคนอื่น คอยเอาประโยชน์จากคนอื่น



“ถ้าเราเป็นคนมักง่าย จะเป็นเหตุให้ลำบากภายหลัง”


สิ่งที่มันทำยาก สิ่งที่มันต้องฝืน ต้องอด ต้องทน
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่เราจะได้ฝึกตน
ถ้านักเรียนเรียนดี ๆ คุณครูเขาก็จะจัดให้ไปอยู่ห้องเดียวกัน
เพื่อจะได้แข่งขันทำความดีกัน
หมู่บ้านไหนเขาขยัน ส่วนใหญ่เขาขยันกันหมด สถานะเขาถึงทัดเทียมกัน
อย่างคนประเทศสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ เท่ากับอำเภอหนึ่งของประเทศไทยเรา
ทรัพยากรเขาก็ไม่มีนะ เขาอยู่กันน้อยๆ เขาเป็นคนขยัน แข่งขันกันทำความดี
ประเทศเล็กๆ เขาไม่น่าจะรวยกว่าเราเลย แต่เขารวยกว่าเรา
เราต้องเป็นลูกน้องเขา เป็นลูกจ้างเขา
เพราะถือว่าเขาเป็นคนขยันกว่าเรา เขามีสติมีปัญญากว่าเรา
เพราะคนขยันคือคนมีสติปัญญา คนขี้เกียจขี้คร้านก็คือคนไม่มีสติไม่มีปัญญา



อย่างประเทศเรานี้ ที่ดินก็มีมาก ทรัพยากรก็มีมาก
แต่มันแพ้เขาเพราะความขยันไม่เพียงพอ
ถ้าขยันมากกว่านี้ มีความกระตือรือร้น ปรับปรุงสายพันธุ์ขยันขึ้นอีก
ชีวิตมันคงดีกว่านี้ คุณธรรมมันคงมีมากกว่านี้นะ



ถ้าเราไม่ขยันเราก็เป็นคนยากจน
ถ้าเราเป็นพระที่ขยัน เราก็เข้าถึงคุณธรรมก็เป็นพระอริยเจ้า
เรื่องพูดไม่ได้เทศน์ไม่ได้นี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่หมดกิเลส ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ถ้าเป็นพระเรานี้ เราต้องพัฒนาตัวเราเอง อย่าไปแก้ไขภายนอก
เพราะปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ตัวเองมันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก
ถ้าเป็นโยมก็พัฒนาที่ตัวโยมเอง พัฒนาอาชีพ พัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน
อย่าพากันหนีไปเมืองอื่น ให้พัฒนาตัวเองและอาชีพของตัวเอง
เราไปอยู่เมืองหลวงไปอยู่เมืองนอกเมืองนา
แสดงว่าเรามันเป็นคนที่ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่พัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดอาชีพการงาน



คนเราถ้ามันขยันมันต้องรวย รู้จักใช้สติใช้ปัญญาในการทำมาหากิน
เราต้องเป็นคนคิดให้เป็นนะ จะมัวแต่ไปเป็นลูกจ้างเขาอย่างเดียวมันไม่ถูกต้อง
มันต้องอดต้องทนเก็บหอมรอมริบ เพราะต้นทุนเรายังต่ำ เรามันยังเป็นคนจนอยู่
มันจะขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ มันจนทั้งทางกายจนทั้งทางใจอยู่



เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ
เราต้องต่อสู้ กระตือรือร้น
เราจะไปโทษว่าเรามันเป็นคนจนอยู่ในสถานที่แห้งแล้ง
เราไปคิดอย่างนั้นมันไม่ถูก ใช้ไม่ได้ ยิ่งเราจนเราก็ต้องยิ่งขยัน
ยิ่งเราไม่มีคุณธรรม เราต้องยิ่งทำความเพียร



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก “สมบัติของพ่อ เล่มที่ ๒” พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP