ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
การพิจารณาถึงความไม่เที่ยงเป็นประจำ จะส่งผลดีอย่างไร
ถาม – เมื่อพบเหตุที่ทำให้เป็นทุกข์หรือสุข ดิฉันจะคิดว่ามันเป็นของไม่เที่ยง
เราไม่ได้ทุกข์หรือสุขในเรื่องนั้นๆ ตลอดไป
ซึ่งก็ทำให้เลิกคิดซ้ำๆ ในเรื่องที่เป็นทุกข์ และเลิกหลงใหลกับความสุขได้ในระดับหนึ่ง
ถ้าหากพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะช่วยทำให้เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่คะ
การคิดถึงความไม่เที่ยง ถ้าหากว่าทำเป็นประจำจริงๆ มันกลายเป็นสติได้เหมือนกัน
ตัวสตินี่ที่มันจะเกิดหรือไม่เกิด
เราดูตรงที่ความสามารถในการระลึกได้
แล้วรู้สึกถึงความเป็นเช่นนั้นเป็นปกติได้หรือเปล่านะ
ถ้าหากว่าเราคิดถึงความไม่เที่ยงว่า เออ ความสุขแบบนี้ เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป
แล้วเราเกิดความสลดใจ ไม่ยึดติดกับความสุขนั้นมากเกินไป
ก็ถือว่าได้มีสติขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง
สลดใจในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราหมดความสุขนะ ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นความทุกข์ไปแทน
คำว่าสลดใจหรือสลดสังเวช
ในความหมายที่แท้จริงคือเกิดความรู้สึกว่าไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
เห็นว่ามันเป็นแค่อะไรอย่างหนึ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
แต่เราก็เสพสุขอยู่อย่างนั้นแหละ ความรู้สึกเป็นสุขไม่ได้หายไปไหน
แต่ความรู้สึกสลดสังเวชมันเพิ่มเข้ามา
มันมีความไม่อยากจะไปเอาอะไรกับมันมากนะ
หรือว่าไม่ได้อยากจะยื้อไว้ให้มันนานๆ หรืออยู่กับตัวเราตลอดไป
คือมันมีความตระหนักขึ้นมาว่าความสุขจะสุขแค่ไหน ในที่สุดมันก็หายสุข
ถ้าหากว่าเราคิดมากๆ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่ามันไม่เที่ยง
นี่เรียกว่าเป็นการปลุกอนิจสัญญาด้วยการคิด
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกิดสมาธิจิตตั้งมั่นถึงขั้นจะเกิดมรรคเกิดผลได้นะ
แต่ก็จะเป็นพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยให้เกิดความมีปัญญาแบบพุทธ
เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาได้ในที่สุดเช่นกันนะครับ
คือการเบื่อเวียนว่ายตายเกิดนี่ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ นะ
ไม่ใช่แค่ไปปลงกับความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ชั่วขณะที่เกิดขึ้น
จะต้องเห็นเข้ามาตลอดทั่วทั้งสภาวะทุกสภาวะในกายในใจนี้
คำว่าทั่วในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเก็บทุกเม็ดนะ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเห็นกระดูกชิ้นนั้นชิ้นนี้เสียก่อน
เราจะต้องเห็นลมหายใจอยู่ตลอดเวลา หรือว่าเราจะต้องเห็นตับไตไส้พุงอะไร
หรือความสุขความทุกข์แบบไหนๆ ให้มันครบถ้วนเสียก่อน
ไม่ใช่ถึงขนาดนั้น ไม่ได้เก็บขนาดนั้น
แต่หมายความว่าความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์หรือว่าภาวะทางกายทางใจอย่างไร
ที่เคยล่อให้เราหลงติดหลงยึดหรือเกิดอุปาทานได้นะ เราเห็นหมดว่ามันไม่เที่ยง
นี่แค่นี้เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผล
แต่ถ้าหากว่าพิจารณาความสุขความทุกข์โดยความเป็นของไม่เที่ยงผ่านความคิด
คิดแต่ละครั้งที่เกิดความสุขหรือความทุกข์ที่มันโดดเด่นขึ้นมา
คิดว่ามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง
ในที่สุดมันเกิดเป็นความเห็นขึ้นมาจริงๆ ว่าความสุขความทุกข์นี่มันเปลี่ยนได้
ตอนที่เราคิดเป็นการจูงจิตเหนี่ยวนำจิต ให้เข้าไปรู้เข้าไปเห็นความจริงระดับหนึ่งแล้ว
ถึงแม้ว่าเรากำลังสุขมากแล้วเราคิดว่า เออ ความสุขนี้ไม่เที่ยง
ความสุขนั้นยังไม่ได้ผ่านไป แต่เดี๋ยวหนึ่งมันก็จะต้องผ่านไปจริงๆ
แล้วตรงที่มันผ่านไปแล้วนั่นแหละ
มันจะเตือนให้เราเกิดความระลึกขึ้นมาได้ว่า เออ มันไม่เที่ยงจริงๆ
นี่ก็สรุปก็คือว่าเราจะได้นิสัย ได้ปัจจัยไปเป็นทุนให้เกิดพุทธิปัญญา
แม้ว่าจะไม่ถึงระดับที่จะตั้งมั่นมากพอจะเกิดสัมมาสมาธิ เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาได้นะ
แต่ก็จะเป็นบันไดขั้นแรกๆ นำไปสู่มรรคผลเช่นกันนะครับ
ถ้าหากว่าสะสมอนิจสัญญา ความหมายมั่นความหมายรู้ว่าอะไรๆ ไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเกือบจะสิ้นชีวิตนะ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เหมือนกันที่ก่อนตายมันจะไปรวม
เกิดความรู้สึกว่าชีวิตไม่เที่ยง แล้วก็ไม่อยากยึดมั่นถือมั่น
อาจบรรลุมรรคผลได้ถึงในขณะนั้นนะ
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าจิตก่อนตายมีความหนักแน่นมีประโยชน์มาก
ถ้าหากว่าทำให้จิตก่อนตายโน้มน้อมไปทางไหน
ก็จะไปบรรลุสภาพที่มันสอดคล้องกันแบบนั้นแหละ
อย่างตอนพระสารีบุตรท่านไปโปรดลูกศิษย์ท่านที่เป็นพราหมณ์
คือลูกศิษย์ท่านนับถือท่านเป็นส่วนตัว ไม่ได้นับถือท่านเพราะว่าท่านเป็นภิกษุในพุทธศาสนา
พราหมณ์นั้นก็ได้มีความยินดีในภพของพรหม
เป็นผู้ที่มีความอาลัย เป็นผู้ที่มีความใยดี
เป็นผู้ที่มีความมุ่งหมายที่จะไปรวมกับพระพรหมตามความเชื่อแบบพราหมณ์
พอท่านพราหมณ์นี้ใกล้จะสิ้นชีวิตก็ให้คนไปนิมนต์พระสารีบุตรมา
เพื่อที่จะมาโปรดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไป
พระสารีบุตรท่านก็เห็นว่าพราหมณ์นี้มีความศรัทธาในพรหม
ก็เลยสอนให้แผ่เมตตา เพราะว่าการแผ่เมตตาไปยังทิศทั้งสี่
จนเกิดอัปปมัญญาสมาบัติ จะเป็นเหตุให้ได้เข้าถึงพรหมอย่างแท้จริง
คือตลอดชีวิตมาพราหมณ์ผู้นี้ไม่เคยทำสมาธิได้ถึงฌานเลยนะ
แต่พอพระสารีบุตรมานำทางให้ก่อนตาย
ว่าให้แผ่เมตตาไปตามทิศนั้นทิศนี้
ให้มีความกรุณา ให้มีความมุทิตา ให้มีความอุเบกขา
แล้วจิตก็เกิดความตั้งมั่นระดับฌาน เข้าถึงพรหมได้จริงๆ เหมือนกัน
นี่เป็นตัวอย่างว่าขนาดคนไม่เคยได้ถึงฌานเลยชั่วชีวิตนะ
แต่พอมีคนไปแนะนำให้แผ่เมตตาได้อย่างถูกทางก่อนสิ้นใจ ก็เข้าถึงพรหมภูมิได้
แต่พอพระพุทธเจ้าท่านทราบความ คือท่านรู้ของท่านได้เองนะ มีพระญาณ
ท่านก็เรียกพระสารีบุตรมา ตรัสตำหนิเลยนะ ตรัสตำหนิต่อหน้าภิกษุจำนวนมากเลย
บอกว่าเธอส่งพราหมณ์ไปแค่พรหมโลกเองเหรอ จริงๆ แล้วยังส่งไปได้มากกว่านั้น
คือท่านก็ตรัสเป็นนัยๆ แหละว่าไปได้ถึงนิพพาน ทำไมไม่ส่ง
พระสารีบุตรก็ทูลตอบไปว่าเห็นพราหมณ์อยากไปพรหมโลกก็เลยสงเคราะห์
คือยังมีความติดใจมีความยินดีอยู่
คือด้วยญาณของท่านพระสารีบุตร เห็นว่าพราหมณ์น่าจะไปได้แค่พรหม
ก็ไม่นึกว่าจะไปถึงนิพพานได้
จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าถ้านำทางอีกนิดหนึ่งให้ปล่อยวาง ไปได้ถึงนิพพานเลย
อันนี้ก็เล่าไว้เป็นเกร็ดว่าถึงแม้ระหว่างมีชีวิตเราจะทำสมาธิยังไม่ได้ถึงไหน
แต่ถ้าหากสะสมอะไรไปมากๆ แล้วไปรวมกัน ณ ขณะที่ใกล้จะสิ้นชีวิตนะ
ก็มีสิทธ์ที่จะบรรลุถึงภาวะที่สอดคล้องกัน
ถ้าหากว่าเราเห็นอนิจจังไว้ระหว่างมีชีวิตมากๆ
ก็จะไปได้รางวัล ไปได้ผลรวมเอาตอนที่จิตมีความหนักแน่นที่สุดในชีวิต
คือใกล้ตายนั่นแหละ
ใกล้ตายนี่จะรวมเอาสิ่งที่เราผูก เรายึด เราโยง เรามีความเยื่อใย
หรือเรามีการพิจารณาไว้มากที่สุดในชีวิต
มารวมให้เกิดผลรวมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนะครับ
สรุปง่ายๆ ดีนะ ถ้าหากว่าคิดๆ ไปเรื่อยๆ ว่าอะไรๆ ไม่เที่ยง
ไม่ต้องกลัวว่าความสุขมันจะหายไป เรายังเสพสุขได้เต็มที่แหละ
แต่ว่ามันมีความรู้อยู่ มีความเห็นอยู่ว่าความสุขชนิดนี้นะที่กำลังเสพ
จะสนุกแค่ไหน จะมีความปลาบปลื้มยินดีแค่ไหน
ในที่สุดแล้วเดี๋ยวมันจะต้องหายไป เดี๋ยวมันจะต้องเปลี่ยนไป
เรียกว่าเป็นการสะสมอนิจสัญญา
< Prev | Next > |
---|