ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

คำว่าโลภบุญหมายความว่าอย่างไร



ถาม – คำว่า “โลภบุญ” หมายความว่าอย่างไรคะ
ถ้ามีคนมาแนะนำให้เราเลือกทำเฉพาะบุญใหญ่ๆ เช่น สร้างพระ ทำสังฆทาน
หรือสรรหาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อไปทำบุญด้วย เนื่องจากได้บุญเยอะ
อย่างนี้เข้าข่ายการโลภบุญหรือเปล่าคะ เนื่องจากเคยได้ยินมาว่าการทำบุญคือการละวาง



การทำบุญเอาตรงนี้ก่อนนะ ตรงสุดท้ายเลย
คุณจะได้ยินมาอย่างไรก็ตาม มาเคลียร์กันด้วยพุทธพจน์นะครับ
การทำบุญก็คือการที่เราได้ทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น
หรือว่าได้มีใจหักห้าม ไม่เบียดเบียนใคร
เมื่อมีเรื่องยั่วยุให้ต้องเบียดเบียน เราไม่เบียดเบียน
อย่างนี้เรียกว่าทำบุญแล้วนะ
คือพูดง่ายๆ ว่าที่มาแห่งบุญ
มันต้องเป็นการให้ทาน แล้วก็เป็นการรักษาศีล

นอกจากนั้นบุญอันสูงสุดเลยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ก็คือบุญอันเกิดจากการภาวนา
คือการเจริญสติ
เห็นกายเห็นใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
เพื่อที่จะปล่อยวาง เพื่อที่จะให้จิตคลายออกมาจากอุปาทานทั้งปวง



ถ้าหากว่าเรายึดตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นกรอบอย่างนี้ มันชัดเจนเลย
บุญระดับล่างคือการทำทาน บุญระดับที่สองคือการรักษาศีล
นั่นหมายความว่า ถ้ามีน้ำใจให้นี่ดีนะ
แต่ยังต่ำชั้นกว่าการรักษาใจให้สะอาดด้วยกรอบของศีล
แล้วก็ยังสู้ไม่ได้เลยนะ กับการที่เราจะเห็นกายเห็นใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
ถ้าหากว่าทำบุญได้ครบวงจรแบบนี้ ถือว่าได้ทำบุญในพุทธศาสนาครบถ้วน
หรืออีกนัยหนึ่งคือได้มากอบโกยสมบัติที่พระพุทธศาสนากองไว้ให้
กองไว้ให้โกยเนี่ย ได้ครบถ้วนนะครับ



คำว่า “โลภบุญ” หมายความว่าอย่างไร
คำว่าโลภบุญเนี่ย ในความหมายของคนไทยที่ใช้กันทั่วๆ ไป
ก็คือว่าอยากได้บุญ อยากได้เกินไป อยากได้จนกระทั่งว่าเราไม่เข้าใจว่า
น้ำใจในการให้ทาน คือการคิดเผื่อแผ่ ไม่ใช่คิดจะเอา

คิดจะเอาเข้าตัวนี่ไม่ใช่ว่าไม่เป็นบุญนะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบไว้ว่า ถ้าหากทำด้วยความคาดหวังว่าจะได้กำไรคืน
เหมือนกับนักธุรกิจ ลงทุนไปแล้วได้กำไรคืนมา
แบบนี้ได้บุญเหมือนกัน แต่เป็นบุญชั้นต่ำที่สุด
ท่านเปรียบเป็นชั้นสวรรค์นะ ทำบุญแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นชีวิต
ก็ได้ไปแค่จาตุมหาราชิกาคือสวรรค์ชั้นแรก ไปเป็นเทวดาชั้นที่ต่ำสุด



แต่ถ้าหากว่าให้โดยไม่มีความคาดหวัง ไม่ได้ผูกพัน
ไม่ได้มีความอยากจะเสวยบุญอะไร ให้เพราะว่ามีน้ำใจอยากให้จริงๆ
คือพูดง่ายๆ ว่าคิดอยากสงเคราะห์คน คิดอยากสงเคราะห์สัตว์
เพราะความสงสาร เพราะความมีใจเมตตา เพราะความรู้สึกว่าการช่วยเป็นของดี
การช่วยเหลือกันและกัน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในใจเราเอง
อย่างนี้ได้ยกระดับขึ้นไปได้อีกชั้นหนึ่ง คือไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เปรียบเทียบให้นะ ว่าไปสวรรค์ชั้นใดด้วยการทำบุญแบบไหน



การโลภบุญ เอาแบบที่ว่าจะต้องไปทำเฉพาะที่
นั่นไม่ใช่น้ำใจแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของความผูกพันความคาดหวังเต็มๆ เลย

ว่าเราต้องทำที่นี่เท่านั้นถึงจะได้บุญ
เราต้องทำกับท่านองค์นั้นองค์นี้เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าเป็นการลงทุนที่จะได้คุ้ม
นี่เป็นนักธุรกิจบุญ แล้วหลายคนก็เป็นนักธุรกิจบุญข้ามชาติด้วย
คือหวังจะได้ไปสวรรค์ หวังจะได้ถึงนิพพาน ด้วยการทำบุญกับท่านใดท่านหนึ่ง
องค์นั้นองค์นี้ วัดใดวัดหนึ่ง ในจังหวัดโน้นจังหวัดนี้
การที่เรามีความคาดหมาย การเล็งไว้ว่าทำแล้วจะได้
จิตมันแคบเรียบร้อย
จิตมันมืดเรียบร้อย
จิตมันถูกห่อหุ้มด้วยความโลภ จิตถูกครอบงำด้วยความอยากได้

มันไม่มีหรอกความสว่าง มันไม่มีหรอกความเยือกเย็น มันมีแต่ความเร่าร้อน
เวลาที่ผลบุญได้ถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผล มันก็จะมาแบบร้อนๆ นั่นแหละ



ยกตัวอย่างเช่น ลองดูทุกวันนี้มีเยอะแยะเลย
ประเภทที่ว่าเกิดมาร่ำรวยก็จริง แต่ว่าไม่มีความสุขกับเงินทองที่ตัวเองมีนะ
ตรงข้ามต้องฟาดฟันกับพี่น้อง บางทีพ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าแม่อะไรแบบนี้นะ
เพื่อที่จะแย่งชิงสมบัติ
สมบัติที่มันล่อตาล่อใจอยู่ นึกว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต
ถึงกับทำให้กำจัดสิ่งที่เป็นต้นตอชีวิตอย่างพ่ออย่างแม่ได้
แล้วก็ทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมันไร้ค่าไป
ทั้งๆ ที่มีเงินนี่ไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไร
เอาไปประกวดประชัน หรือว่าจะไปชิงดีชิงเด่นเอาอำนาจอะไรนักหนา
แต่พอได้มา แล้วไม่มีใครเหลืออยู่เลย ฆ่าทิ้งไปเหี้ยน
หรือว่าเราไปกำจัดคนที่เป็นมิตร ทำให้มิตรกลายเป็นศัตรู
หรือว่าทำให้ศัตรูกลายเป็นเพชฌฆาต อยากจะเข้ามาฆ่าฟันเรา



ผมเคยเห็นมานะพี่น้องที่เกิดมาท้องเดียวกันนะ มาจากท้องเดียวกันเลย
แล้วก็ทำงานออฟฟิศที่หลังคาติดกันด้วยนะ
คืออยู่ในออฟฟิศเดียวกัน แยกเป็นคนละห้องคนละอาคารนิดเดียว
แต่ว่าจะไปไหนมาไหน คือเห็นๆ หน้ากันอยู่
แต่ไม่สามารถที่จะบอกให้อีกฝ่ายรู้ได้ ว่าจะไปเมื่อไหร่ จะกลับมาเมื่อไหร่
เพราะกลัวอีกฝ่ายจะจ้างมือปืนไปยิง นี่อย่างนี้มีนะ มีในโลก
แล้วก็ลองดูเถอะว่าต้นตอของการที่จะได้เงิน ได้เงินร้อนนี่คืออะไร
ก็คือทำบุญร้อนนั่นแหละ
อยากได้จัด แล้วก็ได้จริงๆ สมใจอยากแหละ
แต่ว่าก็มาพร้อมกับความร้อนนะครับ


เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คือเรามองเป็นเรื่องของผลที่จะได้มาจากเหตุแบบใดแบบหนึ่ง
ก็ว่ากันไม่ได้ ถ้าหากว่าไม่มีใครไปชี้นำ หรือว่าชักชวนให้เห็นถูกเห็นชอบ
ตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นี่นะ
ก็บางทีถือว่าต่างคนต่างไป บางทีไปพูดมากๆ เขาโมโห
แล้วก็หาว่าไปขวางบุญเขา ก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP